องค์รักษ์กุกวี

EP. 8 : เพื่อนใหม่ของยูจอง

“อื้อ ย..หยุดก่อน” มือเรียวสวยปล่อยสายบังเหียนที่เคยจับเอาไว้แน่นมาหยุดมือใหญ่ที่กำลังจะปลดกระดุมเสื้อเม็ดที่สองออก สติอันน้อยนิดที่สั่งการให้แทฮยองกระตุกสายบังเหียนอีกครั้ง ก่อนที่ม้าจะหยุดวิ่งและทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆสงบ ทั้งเสียงลมที่พัดผ่านหรือแม้แต่เสียงดังระรัวในอกที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ

“อย่าทำแบบนี้เลย” ประโยคที่หลุดออกจากปากของแทฮยองไม่ได้ดังนัก แต่ในกลับชัดเจนในความรู้สึกของคนทั้งคู่เมื่อไม่มีเสียงลมพัดผ่าน มือเล็กแกะเอามือใหญ่ที่ยังจับสาบเสื้อเขาอยู่ ปลดปล่อยสัมผัสที่ทำให้ใจสั่นเมื่อมันขัดกับความถูกต้อง

“ทำไม” แทฮยองแค่นยิ้มให้กับคำถามที่คนถามน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วท่านจองกุกลืมไปหรือเปล่าว่าเราไม่ใช่คุณข้าหลวง”

“…”

“หลายครั้งที่ผ่านมา ถึงเราไม่ได้พูดแต่ก็ไม่ใช่จะไม่คิด ท่านจองกุกอาจทำไปเพราะความเหงา แต่ลืมหรือเปล่าว่าเราเองก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่ ท่านจองกุกรู้จักครอบครัวเราดี อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่กับพี่ชายเราบ้าง ถ้าจะหาใครสักคนแก้เหงา ขอร้องเถอะว่าอย่าเอาเราไปรวมด้วย” แทฮยองไม่รู้หรอกว่าคนที่นั่งซ้อนหลังเขาอยู่จะมีสีหน้าแบบไหนหลังจากที่พูดประโยคนั้นออกไปแล้ว  มีเพียงความเงียบที่ชัดเจนมากขึ้นเมื่อไม่มีคำพูดใดที่หลุดออกจากปากของจองกุกเลย

สัมผัสเบาๆที่ชนแผ่นหลังทำให้รู้ว่าจองกุกก้าวลงจากหลังม้าไปแล้ว แทฮยองถึงเคลื่อนย้ายตัวเองลงมาบ้าง เขามองใบหน้าคมคายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของคนตรงหน้า ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วโรงฝึกเมื่อไม่มีใครเอื้อนเอ่ย และแทฮยองได้แต่มองริมฝีปากหนาที่ปิดสนิท ราวกับเป็นการยอมรับกลายๆว่าจองกุกเองก็ไม่ได้จริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้

“ขอโทษ” ทั้งที่แทฮยองควรจะสบายใจที่ได้ยินคำนั้นเพราะอย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าคงจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่สิ่งที่ชัดเจนในความรู้สึกกลับเป็นความอึดอัดที่บีบรัดแน่นจนเจ็บไปหมด

“อืม” แค่พยางค์เดียวสั้นๆที่ร่างบางตอบกลับไป ไม่ได้สื่อความหมายอะไรนอกจากความว่างเปล่าที่ไม่ต่างอะไรกับใจของจองกุก แทฮยองพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์อึดอัดในโรงฝึกขี่ม้า ขาที่สั่นนิดๆเพราะบาดแผลที่ได้รับไม่สามารถกลบความเจ็บจากแรงบีบแน่นในอกที่แทฮยองไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

จองกุกมองคนตัวบางที่เดินจากไปแล้ว ประโยคที่แทฮยองพูดยังวนเวียนอยู่ในหัว แต่แรกแทฮยองคือเด็กรั้นที่เขาต้องปราบพยศ เขาไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นตัวแทนของคุณข้าหลวงหรือมองเป็นคนแก้เหงาเลยสักครั้ง จองกุกยอมรับว่าอาจทำเกินเลยไปบ้างในหลายๆครั้ง เมื่อที่ผ่านมาแทฮยองไม่เคยห้ามและตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดจะหยุด เขาไม่ได้ตั้งใจจะหยามเกียรติของแทฮยองหรือครอบครัวของอีกฝ่าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจงใจจะมองข้ามเรื่องนี้แล้วปล่อยความเผลอไผลให้เป็นไปตามที่ใจต้องการ

 

738299vt6qv1ppxh

 

ในยามสายที่แสงแดดยังไม่ได้แรงมากนัก องค์หญิงยูจองเดินออกมาจากตำหนักของตัวเอง เพราะยังมีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะถึงคาบเรียนของเช้าวันนี้ เธอจึงตัดสินใจออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ข้างตำหนักเพื่อรอเวลาที่เพื่อนสนิทสองคนจะมาถึง ดวงตายิบหยีสังเกตเห็นบางคนที่คุ้นเคยในชุดข้าราชการเต็มยศกำลังแบกกระบอกพลาสติกเดินมาแต่ไกล จุดหมายปลายทางคงจะเป็นตำหนักขององค์ชายนัมจุนที่อยู่ถัดไปไม่มาก

“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านโฮซอก” องค์หญิงทักทายผู้เป็นอาจารย์ที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“อรุณสวัสดิ์ขอรับองค์หญิง” โฮซอกหยุดยืนแล้วโค้งคำนับให้กับองค์หญิง มองใบหน้ากลมที่หน้าผากบวมปูดออกมาอย่างนึกสงสัยวีรกรรมความซนของลูกศิษย์ผู้สูงศักดิ์

“กำลังจะไปหาพี่นัมจุนหรอคะ”

“ขอรับ องค์ชายเรียกประชุมเรื่องวางแผนรับมือปัญหาน้ำท่วม แล้วดูเหมือนวันนี้อาจจะต้องออกนอกวังไปดูสถานการณ์กันด้วยขอรับ”

“ที่แม่น้ำแกรนด์น่ะหรอคะ อยากออกไปนอกวังด้วยจังค่ะ แต่พี่นัมจุนคงไม่ยอมแน่” ถึงยูจองจะไม่ได้รู้เรื่องบ้านเมืองมากนัก แต่ก็รับรู้ปัญหาน้ำท่วมที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ บริเวณริมสองฝั่งของแม่น้ำแกรนด์ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองจนทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ

“ข้างนอกไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกขอรับ”

“ไม่จริงหรอกค่ะ ข้างนอกมีอะไรที่ในวังไม่มีตั้งมากมาย” องค์หญิงยูจองค้านเต็มที่ เพราะคราวก่อนที่ไปเที่ยวสนามม้า ไม่ว่าจะเป็นความสนุกหรือเงินรางวัลจากการแทงม้าก็กลายมาเป็นประสบการณ์ที่แสนพิเศษจนอยากจะไปอีก

“งั้นไว้กระผมจะหาของมาฝากองค์หญิงแทนนะขอรับ ถือว่าเป็นของขวัญที่ตั้งใจเรียน” เมื่อจนใจจะเถียง โฮซอกเลยเลือกจะหาวิธีใหม่เพื่อรับมือกับองค์หญิง ในใจก็นึกเห็นใจคนเด็กกว่าที่ได้แต่อยู่ในวัง และคงอยากออกไปดูบ้านเมืองรอบนอกบ้าง

“รับปากแล้วนะคะ จะตั้งใจรอของฝากอย่างดีเลยค่ะ อ่อ ขอของฝากที่ไม่มีในวังนะคะ” ยูจองเอ่ยน้ำเสียงสดใส แล้วเปิดทางให้โฮซอกไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ เพราะดูจากเวลาก็เข้าใกล้คาบเรียนของตัวเองเข้าไปทุกทีแล้วด้วย

 

125849364

 

นิ้วสั้นสะกิดแขนเพื่อนชายตัวเล็กให้เงยหน้าขึ้นมาดูปฏิกิริยาของคนที่เอาแต่นั่งเหม่อ ตั้งแต่ที่เริ่มคาบเรียนการครัวของคุณข้าหลวง แทฮยองก็เอาแต่นั่งนิ่งจนยูจองกับจีมินได้แต่สงสัยอาการที่แปลกไปของเพื่อน

“จีมินถามสิ”

“องค์หญิงก็ถามสิขอรับ” สุดท้ายเมื่อเกี่ยงกันสักพัก จีมินเลยต้องเป็นคนเอ่ยถาม

“แทฮยองเป็นอะไรหรือเปล่า หรือยังเจ็บแผลอยู่ท่าทางไม่ดีเลย” จีมินสะกิดแขนแทฮยองจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว และหันหน้ามาส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะก้มหน้าลงไปวุ่นวายกับขนมที่อยู่ในมือ

เพราะคาบเรียนการครัววันนี้เป็นการทำขนมฮวาจอน ที่นำแป้งต็อกมานวดเป็นแผ่นกลมขนาดเล็กแล้ววางด้วยกลีบดอกไม้ก่อนจะนำไปทอดจนแป้งสุก แทฮยองมองจานขนมของเขาที่เพิ่งจะมีขนมที่ทำเสร็จพร้อมทอดอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นในขณะที่ในจานของเพื่อนสองคนกลับมีขนมที่ทำเสร็จแล้ววางเอาไว้มากมาย

 

กลิ่นหอมของขนมที่ทอดเสร็จลอยอบอวลอยู่ในห้องเครื่องของตำหนัก แทฮยองหันไปมองเจ้าของขนมฮวาจอนสีสวยที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีขั้นตอนอะไรมากมายแต่สุดท้ายขนมของคุณข้าหลวงก็ออกมาดูดีกว่าขนมของเขาอยู่มาก จนอดเปรียบเทียบตัวเองกับอีกฝ่ายไม่ได้ แทฮยองรู้ดีว่าตัวเขาไม่มีอะไรสู้คุณข้าหลวงได้สักอย่าง อีกฝ่ายเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมทั้งงานบ้านและงานครัว ในขณะที่เขาเป็นแค่เด็กที่ดื้อรั้นไปวันๆ แล้วผู้ชายอย่างท่านจองกุกจะมาสนใจเขามากกว่าคุณข้าหลวงได้อย่างไรกัน

 

“คุณข้าหลวงเอาขนมใส่กล่องอีกแล้ว สงสัยจะเอาไปให้ท่านจองกุกเหมือนเดิม” จีมินกระซิบกระซาบเบาๆพอให้เพื่อนสองคนได้ยิน

“แหม น่าสงสารจริงๆ สงสัยคุณข้าหลวงจะพลาดแล้วล่ะ เพราะพี่นัมจุนออกไปดูเรื่องน้ำท่วมนอกวังทั้งวัน ท่านจองกุกก็ต้องตามไปด้วยสิ วันนี้คงจะได้อยู่เจอใครหรอก” องค์หญิงเล่าเรื่องที่รู้มาให้เพื่อนสองคนฟัง เสียงหัวเราะคิกคักดังออกจากริมฝีปากเล็กประสานไปกับน้ำเสียงใสๆของจีมิน โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตสีหน้าหม่นหมองของเพื่อนอีกคนในกลุ่ม ไม่แค่ใช่คุณข้าหลวงที่ไม่รู้ว่าท่านจองกุกจะไม่อยู่ แม้แต่แทฮยองที่ต้องไปที่ฝึกซ้อมทุกเย็นก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

 

จีมินเดินถือห่อผ้าที่มีขนมฮวาจอนอยู่หลายชิ้น ตั้งใจจะเอากลับไปกินที่บ้าน แต่สุดท้ายก็เดินมาเจอใครบางคนที่ดักรออยู่ระหว่างทางซะก่อน สีหน้าลังเลไม่แน่ใจของคนตัวขาวสร้างความตลกขบขันให้จีมินแทนที่ความหงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อน สุดท้ายคนตัวเล็กเลยเป็นคนเอ่ยปากถามอาการบาดเจ็บของคนที่ยืนรออยู่

“ข้อมือหายแล้วหรอ” เพราะเป็นประโยคทักทายดีๆครั้งแรกที่ได้รับ ทำให้ดวงตารีเบิกกว้างขึ้นจนดูน่าขำกว่าเก่า

“ตกลงว่าหายหรือยัง”

“อ..เอ่อ ก็ดีขึ้นแล้ว แล้วท่านจีมินล่ะ” ยุนกิตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักเมื่อคนตัวเล็กถามคำถามเดิมเป็นครั้งที่สอง รอยยิ้มสดใสที่ได้รับทำเอาหัวใจพองโตจนรู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นความฝัน เหมือนภาพเดิมในวัยเด็กกลับมาซ้อนทับกับภาพปัจจุบันจนแนบสนิท รอยยิ้มน่ารักที่ของเด็กคนนั้นที่เขาเคยเจอในงานเลี้ยงเมื่อสิบสี่ปีก่อน

“เราไม่เจ็บแล้วล่ะ” หลังประโยคนั้นความเงียบก็เข้ามาแทนที่ จีมินก้มลงมองห่อขนมในมือที่ถืออยู่ จากที่ตั้งใจจะเอากลับไปกินเองที่บ้าน แต่พอคิดจะมอบให้คนที่มายืนรอก็อดเสียดายไม่ได้

“วันนี้เราทำขนมฮวาจอน อยากกินด้วยกันมั้ย” จีมินถามออกไปก่อนจะได้รับการพยักหน้ารัวกลับมาแทนคำตอบ เขาเดินนำยุนกิไปตามทางเดินกลับบ้าน คนตัวเล็กกับคนตัวขาวเดินเคียงข้างกันไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางแสงสีส้มที่พาดผ่านท้องฟ้าในบรรยากาศที่อบอุ่น

 

ถึงแสงอาทิตย์จะเริ่มลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆแต่ใครบางคนยังคงยืนเตะเม็ดทรายบนพื้นลานฝึกทหารอยู่ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ความน้อยใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ถึงจะรู้มาจากองค์หญิงว่าจองกุกต้องติดตามองค์ชายนัมจุนไปทำงานนอกวัง แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มาบอกอะไรเขา แทฮยองเลยเลือกที่จะมายืนรอที่ลานฝึกทหาร แต่ไม่ว่าจะยืนนานแค่ไหนก็ไม่มีวี่แววของจองกุกให้เห็น เขาไม่โกรธถ้าอีกคนมีธุระต้องไปทำ แต่แค่รู้สึกเหมือนตัวเองไม่สำคัญพอให้จองกุกเสียเวลามาบอกกล่าว

แทฮยองไม่รู้ว่าตัวเองยืนมานานเท่าไหร่แล้ว แต่เพราะขาที่เริ่มปวดหนึบและท้องฟ้าที่ขึ้นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ บอกให้รู้ว่าถึงเวลาควรจะกลับบ้านแล้ว สองขาก้าวเดินออกจากลานฝึกอย่างเชื่องช้า คำพูดขององค์หญิงยูจองย้อนกลับมาในความคิดของเขา คงไม่ใช่แค่ขนมฮวาจอนของคุณข้าหลวงที่เสียเปล่า เพราะห่อผ้าที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้ก็คงตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

องค์หญิงยูจองยังคงตื่นมาเดินเล่นในตอนเช้า สูดอากาศสดชื่นจนชุ่มปอด ก่อนจะต้องแปลกใจกับใครบางคนที่วันนี้ถือกะละมังหูหิ้วมาไม่ใช่กระบอกพลาสติกเหมือนเมื่อวาน

“อะไรหรอคะท่านโฮซอก” ยูจองเอ่ยถามคำถามที่สงสัย พลางมองโกะละมังหูหิ้วที่ถูกวางลงบนพื้นตรงหน้า

“ของฝากไงขอรับ เมื่อวานที่ไปสำรวจแม่น้ำแกรนด์กระผมเจอเจ้านี่อยู่ แล้วมันก็ไม่มีในวังด้วย เลยเอามาฝากองค์หญิง” ดวงตายิบหยีจ้องมองลงไปในกะละมังหูหิ้วที่มีน้ำอยู่ จนเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ว่ายวนอยู่ในนั้น

“นี่ปลาอะไรหรอคะ”

“ปลาบู่ไงขอรับองค์หญิง จับมาจากแม่น้ำแกรนด์เลยนะขอรับ” ยูจองได้แต่มองปลาสีดำที่ว่ายวนไปมาอยู่ในกะละมังหูหิ้วสลับกับมองหน้าท่านโฮซอก เพราะมันเป็นของฝากที่เกินความคาดหมายมากจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แต่จะปฏิเสธออกไปก็กลัวจะเสียน้ำใจคนที่หิ้วมันมา เลยจำใจต้องหิ้วกะละมังใบนั้นเข้าไปในตำหนัก

องค์หญิงยูจองได้แต่บ่นขมุบขมิบกับตนเองไปตลอดทางเดินเข้าตำหนัก นึกแปลกใจในความคิดของท่านโฮซอก ต้องคิดอะไรกันถึงได้จับปลาบู่มาฝากคนอื่น

“อ๊ะ องค์หญิงหิ้วอะไรมาเพคะ” ยูจองหันไปตามเสียงคุณข้าหลวงที่ตะโกนถามมาแต่ไกล ในขณะที่เร่งฝีเท้าเพื่อเดินเข้ามาใกล้กะละมังหูหิ้วที่เธฮวางไว้ที่พื้น ยูจองมองดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างขึ้น แต่ก็เอามือปิดปากไว้ทันก่อนเผลอปล่อยคำอุทานออกมา

“ปลาบู่นินา องค์หญิงจะเอามานึ่งซีอิ๊วหรือเพคะ” คุณข้าหลวงถามอย่างสงสัย พลางก้มลงไปมองปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ

“ไม่นะคุณข้าหลวง จะเอาปลาเราไปกินได้ยังไง นี่สัตว์เลี้ยงของเราเชียวนะ” มือเล็กหิ้วกะละมังหูหิ้วขึ้นมาอีกครั้งอย่างหวงแหนก่อนเดินหนีไปทางอื่น ถึงมันจะเป็นแค่ปลาบู่ธรรมดาไม่ได้ดูสวยงาม แต่อย่างน้อยท่านโฮซอกก็ตั้งใจหิ้วมาฝาก เพราะฉะนั้นเธอไม่ยอมให้ใครเอามันไปทำอาหารกินหรอก

 

ในตอนเย็นหลังคาบเรียนสิ้นสุด แทฮยองเป็นคนหิ้วกะละมังเดินไปพร้อมกับองค์หญิงและจีมิน หลังจากที่ทั้งวันองค์หญิงต้องเอาปลาบู่มานั่งเรียนด้วยเพราะกลัวจะมีใครเอามันไปต้มกินเสียก่อน พอจบคาบเรียนทั้งสามคนเลยตั้งใจจะเอามันไปปล่อยลงสระใหญ่ที่อยู่ในวังหลวงเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด

“หืม หอมกลิ่นอะไรน่ะ” จีมินทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมา เพื่อนสนิททั้งสามคนเดินตรงไปเรื่อยๆ จนเห็นผู้ชายสองคนในชุดราชองค์รักษ์ที่กำลังวุ่นวายกับการทำอะไรสักอย่างอยู่ข้างสระน้ำ

“นั่นท่านซอกจินกับท่านจองกุกหนิ ทำอะไรกันอยู่นะ” องค์หญิงยูจองมองสองคนที่นั่งอยู่ที่พื้นข้างสระ กิ่งไม้และใบไม้ถูกเอามากองสุมกันจุดเป็นกองไฟขนาดย่อม และมีไม้ปลายแหลมที่กำลังย่างอะไรบางอย่าง

“ทำอะไรกันอยู่หรอคะ” องค์หญิงเอ่ยถามสองคนที่กำลังวุ่นวายกับไม้ในมือ

“ย่างปลาน่ะขอรับ เพิ่งจับขึ้นมาจากสระเลย ตัวอ้วนๆอร่อยมาก องค์หญิงสนใจไหมขอรับ” ซอกจินยื่นปลาไม้ที่เสียบปลาในมือซึ่งย่างเสร็จแล้วมาไปให้องค์หญิงยูจอง ก่อนจะเอากลับไปเมื่อเธอส่ายหน้าปฏิเสธ

“ท่านจองกุกกับท่านซอกจินไม่มีอะไรกิน จนต้องมาจับปลาในสระกินเลยหรอคะ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นขอรับ แค่ถ้ามีเวลาว่างพอก็จะมานั่งย่างปลากินเล่นเฉยๆ”

องค์หญิงยูจองได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆให้พี่ชายเพื่อนสนิท ไม่คิดว่าราชองค์รักษ์ประจำตัวพี่นัมจุนจะมีงานอดิเรกเป็นการจับปลาในสระมาย่างกิน แล้วก็ได้แต่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิททั้งสองคนแบบปลงๆ ดูเหมือนความคิดที่จะเอาปลามาปล่อยคงต้องล้มเลิก ดีไม่ดีปล่อยไปวันนี้ พรุ่งนี้อาจลงไปอยู่ในท้องของสองคนนี้ก็ได้

 

แทฮยองมองใบหน้าคมคายของคนที่นั่งก้มหน้านิ่ง ทันทีที่สบตากันตอนที่เขาเดินมาถึงข้างสระดวงตาคมก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปเสียดื้อๆ ทั้งที่เขาต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายเมินแต่สุดท้ายกลับเป็นคนถูกเมินเอาได้

แทฮยองแค่นยิ้มให้กับประโยคสุดท้ายของซอกจินแล้วก็อดขุ่นเคืองไม่ได้ น่าแปลกเหลือเกินที่อีกคนมีเวลามานั่งย่างปลา แต่ไม่มีเวลาไปอธิบายสาเหตุที่เมื่อวานปล่อยให้เขารอเก้อ หรือแม้แต่ตอนเย็นในอีกไม่ถึงชั่วโมงต่อจากนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะพบเจ้าตัวที่สนามฝึกซ้อมหรือเปล่า หรือจะถูกปล่อยทิ้งอีกหน

ดวงตากลมโตยังคงไม่ละสายตาไปจากคนที่ไม่แม้แต่จะหันมาเผชิญหน้า และปฏิบัติเหมือนเขากับเพื่อนไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ ความรู้สึกหลากหลายตีรวนขึ้นมาจนบอกไม่ถูก ทั้งอึดอัด น้อยใจ โกรธเคืองและไม่เข้าใจที่ถูกเมินเฉยละเลยราวกับเป็นฝ่ายผิด แทฮยองนึกถึงคำที่อีกฝ่ายมักชอบต่อว่าว่าเขาเป็นเด็ก และครั้งนี้เขารู้สึกว่าตนเองคงเป็นเด็กจริงๆ ถึงไม่สามารถทนกับความอึดอัดแบบนี้ได้อีก เขาอยากจะพูดคุยให้จบๆไป ติดที่คนที่แสดงตัวว่าเป็นผู้ใหญ่ต่างหากที่พยายามจะหลีกเลี่ยงทุกอย่าง

“แล้วแทฮยองหิ้วอะไรมาหรอ” เสียงซอกจินเรียกเอาสติและความสนใจของร่างบางกลับมาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรองค์หญิงยูจองก็ตอบปัดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือพวกเราต้องรีบไปก่อน” แล้วมือเล็กก็รุนหลังเพื่อนตัวเองให้รีบเดินไปเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของปลาในกะละมังหูหิ้ว แทฮยองหันกลับมามองใบหน้าที่ก้มนิ่ง ไม่แม้แต่ชายตามามองพวกเขาที่เดินห่างออกมาเรื่อยๆ

125849364

 

องค์หญิงยูจองยืนดูพวกทหารที่ถูกเรียกมาขุดดินในสวนดอกไม้ข้างตำหนัก เพราะตัดใจปล่อยปลาลงในสระใหญ่ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องให้ทหารมาขุดสระเล็กภายในสวนดอกไม้เพื่อเป็นบ่อเอาไว้ให้ปลาบู่อยู่

“ขุดลึกอีกนิดนึงนะ แต่ไม่ต้องกว้างมากนะ” น้ำเสียงสดใสสั่งกำชับให้พวกทหารทำตามความต้องการของตัวเอง

 

กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก…..

องค์หญิงยูจองหันรีหันขวางเพื่อมองหาที่มาของเสียงที่ดังขึ้น จนเห็นสิ่งมีชีวิตที่ตีปีกพับๆอยู่ในมือของผู้ที่เดินเข้ามาใหม่

“องค์หญิงทำอะไรแต่เช้าหรือขอรับ” โฮซอกเอ่ยทักอย่างยิ้มแย้มที่เห็นลูกศิษย์ดูวุ่นวายแต่เช้าตรู่ มือหนาลูบหัวเจ้าไก่ชนที่เพิ่งจับมาด้วยเมื่อวานอย่างเบามือ ในขณะที่สายตาก็ทอดมองสิ่งมีชีวิตในมืออย่างเอ็นดู

“ว่าจะขุดสระน้ำทำบ่อปลาน่ะค่ะ ว่าแต่ท่านโฮซอกเลี้ยงไก่ด้วยหรอคะ ไม่เคยรู้มาก่อน” องค์หญิงยูจองได้แต่มองอย่างสงสัย คิดในใจว่าท่านโฮซอกคงพาไก่ออกมาเดินเล่น

“อ่อ นี่ไม่ใช่ของกระผมหรอกครับ”

“อ้าว แล้วของใครหรอคะ”

“ขององค์หญิงไงขอรับ เมื่อวานกระผมไปนอกวังแล้วเจอเจ้านี่เลยเอามาฝากองค์หญิงด้วย”

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

เข็มเล่มเล็กถูกปักลงบนผืนผ้าก่อนที่ด้ายสีสดใสจะร้อยผ่านเนื้อผ้าสีชมพูอ่อนจนขึ้นเป็นเค้าโครงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะออกมาเป็นรูปร่างอะไรกันแน่

พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ

จีมินยกขาขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงเจ้าสิ่งมีชีวิตขนสีน้ำตาลปนดำและน้ำเงินเข้มที่ตีปีกบินไปมาอยู่ในห้องเรียน ในขณะที่นิ้วเล็กๆยังคงสาละวนอยู่กับการปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในมือ

“ปักดอกไม้สีแดงดีกว่าเนอะ” แทฮยองจิ้มเข็มลงบนเนื้อผ้าในส่วนที่ว่างเมื่อจินตนาการถึงรูปร่างของดอกไม้ที่ตัวเองจะปัก ก่อนละสายตาไปมองสิ่งมีชีวิตที่ส่งเสียงร้องไม่หยุด

กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก…..พร้อมทั้งตีปีกวิ่งวนไปรอบๆห้อง

“โอ๊ย แทฮยองทำเข็มจิ้มมือเราอีกแล้ว” แล้วเสียงของจีมินก็ดังคลอไปกับเสียงของไก่ เมื่อทั้งคาบเรียนวันนั้นความสนใจของแทฮยองถูกดึงไปที่สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ขององค์หญิงจนเผลอทำเพื่อนตัวเองเจ็บตัวไปหลายครั้ง

จีมินเดินเข้ามาตามทางเดินเข้าตำหนักองค์หญิงพร้อมกับแทฮยองที่เจอหน้าตำหนัก โดยที่บทสนทนาของทั้งคู่ไม่ห่างไปจากนิ้วป้อมๆของจีมินที่ถูกพันไว้เพราะเมื่อวานโดนเข็มของแทฮยองจิ้มไปหลายรอบ

“จีมินยังเจ็บหรือเปล่า เราขอโทษนะ เมื่อวานเราไม่ตั้งใจ”

“ฮืออ ฮือออ” เสียงร้องไห้ที่ดังออกมาจากในห้องเรียนดึงเอาความสนใจของแทฮยองกับจีมินไปจนหมด สองเพื่อนสนิทค่อยๆเดินย่างเท้าอย่างเงียบเชียบก้าวไปใกล้ห้องเรียนที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงเพื่อหาต้นตอเสียงร้องไห้ในเวลาเช้าเช่นนี้

แอ๊ดดดด

ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก จีมินกับแทฮยองก็แทบจะวิ่งเข้าไปหาเพื่อนสาวที่นั่งร้องไห้อยู่แทบไม่ทัน สีหน้าขาวซีดและใต้ตาดำคล้ำขององค์หญิงยูจองทำเอาแทฮยองกับจีมินร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก เอาแต่กังวลและเป็นห่วงว่าองค์หญิงจะเจ็บป่วยตรงไหนหรือเปล่า

“องค์หญิงร้องไห้ทำไม ไม่สบายหรอ”

“องค์หญิงสีหน้าไม่ดีเลย”

น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตายิบหยีนำเอาความรู้สึกหดหู่มาให้เพื่อนทั้งสอง องค์หญิงที่มีแต่ความสดใสและรอยยิ้มบนใบหน้าจนมักจะเห็นลักยิ้มเล็กๆที่มุมปาก แต่วันนี้ใบหน้ากลมกลับมีแต่หยดน้ำใสๆที่คลออยู่ในดวงตาเล็ก

กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก…..และข้างๆกันมีไก่ตัวใหญ่ที่วิ่งวนอยู่ภายในห้อง

“ฮือออออ” เสียงร้องไห้ยังดังออกมาจากริมฝีปากเล็ก จีมินต้องกวาดนิ้วเช็ดน้ำตาขององค์หญิงยูจองออก แล้ววางมือป้อมลงบนหน้าผากนูนเผื่อวัดดูอุณหภูมิว่าผิดแปลกหรือเปล่า

“องค์หญิงอย่าร้องไห้สิ เป็นอะไรบอกแทฮยองกับจีมินนะ” ยิ่งเห็นเพื่อนร้องไห้มากเท่าไหร่ แทฮยองกับจีมินก็ยิ่งหน้าเสียมากเท่านั้น จนแทฮยองต้องยื่นมือไปลูบหลังคนที่ยังสะอื้นไม่หยุด

“ฮืออ ม..เมื่อคืนเราไม่ได้นอนเลย ฟืดด อองตวนเอาแต่ตีปีกบินพึ่บพึ่บ ล..แล้วก็ขันไม่หยุด เราปวดหัวไปหมดเลย ฮืออ ฟืดด” น้ำเสียงตะกุกตะกักสลับกับเสียงสูดน้ำมูกเมื่อพูดถึงไก่ชนที่ได้มาใหม่ มันทั้งฟังดูตลกและน่าสงสาร แต่เพราะสภาพที่ไม่สู้ดีขององค์หญิงทำเอาแทฮยองกับจีมินหัวเราะไม่ออก

“ไม่เป็นไรนะองค์หญิง เดี๋ยวจีมินกับแทฮยองดูแลอองตวนให้ องค์หญิงจะได้ไปนอนพัก แล้วเดี๋ยวตื่นมาเราค่อยไปหาอะไรทำกันดีไหม” จีมินเอ่ยถามพร้อมเอื้อมมือสองข้างไปคว้าเอาไก่อองตวนให้หยุดอยู่นิ่งๆ เลิกวิ่งไปวิ่งมาในห้อง

“เราอยากไปเที่ยวข้างนอกวัง ฟืดด ไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว ฟืดด” มือเล็กปาดเอาน้ำตาและน้ำมูกออกก่อนจะเอื้อมไปจับแขนของเพื่อนทั้งสองไว้ จนชุดราชองค์รักษ์เริ่มเปียกด้วยของเหลวสีใสและเหนียวหนืด

“ได้สิองค์หญิง เดี๋ยวรอบ่ายแก่ๆเราค่อยไปเที่ยวกันดีไหม ยังไงแทฮยองก็ไม่ได้ไปฝึกซ้อมตอนเย็นอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกเราสามคนไปเที่ยวกันเนอะ” แทฮยองยิ้มให้ก่อนจะดันองค์หญิงยูจองให้กลับไปนอนพักผ่อนด้วยความเป็นห่วง ส่วนในใจก็นึกไปถึงใครอีกคนที่สุดท้ายก็ปล่อยให้เขายืนรอเก้อเป็นครั้งที่สอง จนแทฮยองตัดสินใจแล้วว่าเย็นนี้เขาคงไม่เสียเวลาไปรอคนที่ยังไม่พร้อมจะออกมาเผชิญหน้ากันอีก

ใส่ความเห็น