ตลอดไปมินวี

OS : A Kind of Sorrow

ผมไม่เคยอิจฉาดวงอาทิตย์ที่ยังส่องสว่างบนท้องฟ้า หากแต่มีความโศกเศร้าบางอย่าง เมื่อตัวผมนั้นเหลือเพียงแค่ความเข้มแข็งและรูปถ่ายใบเดียว

 

 
ลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างอยู่ที่หน้าเว็บไซต์เดิมมาเกินกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อเดินไปปิดมันไม่ให้อากาศภายในห้องสี่เหลี่ยมที่นั่งอยู่ตอนนี้เย็นเกินไปนัก

ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งสวมสเวตเตอร์และเสื้อโค้ทตัวยาวสัญจรไปมาอยู่ด้านนอก ผมกระชับผ้าพันคอที่ผูกอยู่ให้แน่นขึ้นก่อนจะละสายตาจากภาพบรรยากาศที่เห็นจนคุ้นชินในช่วงฤดูกาลนี้เพื่อเดินกลับมานั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ลังเลนิดหน่อยกับตัวเลขวันเวลาที่ปรากฏอยู่บนตรงหน้า

’19 มกราคม 2020′ ผมมีเวลาเหลืออีกสามอาทิตย์กว่าสำหรับการซื้อตั๋วละครเวทีเรื่องหนึ่งที่กำลังจะมาเปิดการแสดงที่นี่

กระดาษแผ่นเล็กถูกหยิบออกจากกระเป๋าสตางค์ใบเดิมที่ผมพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ในขณะที่สายตาก็ไล่ไปตามเฉดสีที่ซีดลงไปตามกาลเวลา นานเหลือเกินกับรูปถ่ายใบเดิมที่ไม่เคยยอมปล่อยให้มันหายไปไหน ถึงแม้กระเป๋าสตางค์จะถูกเปลี่ยนใหม่ใบแล้วใบเล่าก็ตาม

“ไทม์ ถ้านายยังไม่รีบแต่งตัวล่ะก็พวกเราต้องสายแน่” น้ำเสียงหงุดหงิดเร่งให้ผมรีบปิดคอมพิวเตอร์เพื่อจัดการตัวเองตามที่เพื่อนสาวตัวดีพูด นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลา 5 โมงกว่า ซึ่งดูจะไม่เพียงพอนักสำหรับการเดินทางไปยังจุดหมายให้ทันท่ามกลางการจราจรติดขัดของเย็นวันศุกร์

“กะอิแค่ซื้อตั๋วละครเวทีนี่ต้องคิดหนักขนาดนั้นเลยหรอ แล้วรูปถ่ายนั่นอีก เห็นนายดูมันมาตลอดสามปีที่เรารู้จักกัน ตกลงคืออะไรยังไง”

“ก็แค่รูปถ่ายใบนึงเท่านั้นแหล่ะเจน แต่ตอนนี้เธอควรจะมาช่วยฉันเลือกเสื้อผ้านะ ถ้าไม่อยากให้พวกเราสายทั้งคู่” เสียงจิจ๊ะในลำคออย่างขัดเคืองใจดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็เลือกจะมองข้ามมันไปเพราะรู้ว่าเป็นปกติของเจนนี่ เพื่อนสาวคนสนิทที่พร่ำบ่นได้ทุกเรื่องตั้งแต่ปลายเท้ายันเส้นผม
“ถ้าฉันพลาดหนุ่มสุดฮอตเพราะโดนสาวๆคนอื่นที่ไปถึงงานก่อนแย่งไปฉันเอานายตายแน่” ผมได้แต่แสดงสีหน้าสำนึกผิดเหมือนทุกทีที่ถูกคาดโทษ ถึงแม้ในใจจะคัดค้านความเชื่อของอีกฝ่ายมากแค่ไหน เพราะหนุ่มสุดฮอตแบบที่เจนนี่ใฝ่ฝันมีหรอจะเหลือมางานนัดบอดแบบนี้ได้

 

 
การจราจรบนถนนติดขัดไม่ต่างจากที่จินตนาการไว้และรถแท็กซี่ที่เฝ้ารอก็หายากเหลือเกินในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ และถึงแม้จะไม่ได้จริงจังกับการนัดบอดอะไร แต่ผมก็อดเห็นใจเพื่อนสนิทไม่ได้ กับความมุ่งมั่นที่จะหาคู่เดทให้ทันวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

“ทำไมรถรามันถึงได้หายากแบบนี้นะ อ๊ะ นั่นไงๆ” ฝ่ามือบางคว้าลงบนข้อมือผมก่อนจะฉุดกระชากเมื่อมองเห็นรถแท็กซี่ที่ปราศจากผู้โดยสารวิ่งมาจากฝั่งตรงข้าม เร่งรีบเสียจนไม่ได้มองทางเลยว่ามีคนอื่นเดินสวนมาด้วย

“โอ๊ย” ความรู้ลึกเจ็บนิดๆเมื่อร่างกายชนเข้ากับผู้ชายอีกคนที่สวมชุดโค้ทหนาแล้วยังมีบีนนี่กับผ้าพันคอที่ปิดบังใบหน้านั้นจนเกือบมิด ผมได้แต่หันไปก้มโค้งให้เขาอย่างลวกๆเมื่อเพื่อนตัวดียังฉุดกระชากให้วิ่งตามไปไม่หยุด

“อ๊ะ” แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนร่างกายของผมกลับต้องหยุดชะงักเพราะแรงดึงที่แขนจนกลายเป็นพลาดรถแท็กซี่ที่หมายปองเอาไว้จนได้ ซึ่งนั่นคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่ากับการถูกผู้ชายที่เดินชนจับไว้แบบตอนนี้แน่ๆ เดาเอาว่าอีกฝ่ายคงโกรธที่ผมเผลอไปขนเขาแล้วทำท่าเหมือนจะวิ่งหนี

หากแต่เมื่อหันไปสบสายตากับดวงตาเรียวคู่นั้น สิ่งที่ผมมองเห็นไม่ใช่แววตาขุ่นเคืองอย่างที่คาดไว้ กลับกลายเป็นประกายระยิบระยับที่ราวกับหลุดออกมาจากภาพถ่าย และห้วงแห่งความทรงจำในอดีต

 

126447272

 
“แชะ แชะ แชะ” ผมใช้ชิ้วชี้และนิ้วโป้งตั้งท่าทางเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเหมือนกล้องถ่ายรูปในขณะที่หันไปทางเขา หลับตาข้างนึงมองลอดผ่านช่องว่างนั้นไปเลียนแบบนักถ่ายรูปมืออาชีพที่เห็นในทีวีบ่อยๆ

“ฉันถ่ายรูปซันไว้หมดเลยวันนี้ ทำได้ดีจริงๆ” ผมยิ้มกว้างให้เขาในขณะที่ลดมือตัวเองลงไว้ข้างตัวเหมือนปกติ ก่อนที่ดวงตาเรียวเล็กที่มักทอประกายสดใสอยู่เสมอจะหันมาสบตาแล้วส่งยิ้มให้

“ไม่เชื่อหรอก ไทม์ต้องเอามาให้ฉันดูก่อนสิ”

“จริงๆนะ แต่รูปถ่ายน่ะอยู่ในนี้ต่างหาก ซันดูไม่ได้หรอก” ผมจิ้มลงที่ขมับตัวเอง จนเรียกสัมผัสนุ่มๆจากฝ่ามือหนาในวางลงบนศีรษะแล้วขยี้เบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวระคนเอ็นดู

“ฉันเก็บมันลงในหัวหมดแล้วจริงๆนะ รอก่อนเถอะ ถ้าเก็บเงินซื้อกล้องถ่ายรูปของตัวเองได้เมื่อไหร่ จะถ่ายรูปตอนที่นายเต้นให้ไม่พลาดสักช็อตเลยล่ะ”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของเขาที่ดังขึ้นท่ามกลางเราทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นดวงตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือท่าทางพริ้วไหวตอนเต้นอีกของฝ่าย ผมไม่เคยพลาดสักครั้งที่จะบันทึกมันลงในม้วนฟิล์มแห่งความทรงจำของตัวเอง รอเวลาที่ผมจะมีกล้องถ่ายรูปดีๆเพื่อถ่ายทอดความงดงามพวกนั้นออกมาเป็นภาพ

“รอแน่ๆล่ะ ช่างภาพส่วนตัวของฉันน่ะ ต้องเป็นไทม์สิ”

ผมยิ้มรับให้บทสนทนาระหว่างเราที่คล้ายจะก่อเกิดคำมั่นสัญญาขึ้น ความฝันเล็กๆที่ซ้อนทับความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองและรวมเอาความฝันของซันเข้ามาด้วยเรียกรอยยิ้มให้กว้างกว่าปกติ ผมอยากจะยืนอยู่หลังเลนส์ที่ถ่ายทอดความงดงามออกมาในรูปแบบที่คนอื่นสามารถรับรู้ได้ ซึ่งหนึ่งในความงดงามนั้นคือการแสดงบนเวทีของซัน ผมอาจไม่เคยบอกออกไป ว่ารักที่จะมองท่าทางและรอยยิ้มของเขาเวลาได้ทำในสิ่งที่ชอบ เกือบจะพอๆกับการกดชัตเตอร์บันทึกภาพ

 
กล้องถ่ายรูปอันแรกที่ได้สัมผัสมาเร็วกว่าที่คิดแต่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังนัก ผมมองกล้องพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งซึ่งอยู่ในกล่องของขวัญที่ถูกแกะออกสลับกับคนให้ที่ยืนยิ้มตาหยีอยู่ตรงหน้า

“ฉันก็ไม่มีเงินมากพอจะซื้อกล้องแพงๆหรอก แต่อย่างน้อย 27 ภาพก็น่าจะพอสำหรับวันสำคัญๆแบบนี้” ผมยิ้มอีกแล้ว ยิ้มกว้างรูปสี่เหลี่ยมแบบที่ซันบอกว่ามันดูแปลกแต่ก็พิเศษไม่เหมือนคนอื่น ผมกดชัตเตอร์จริงๆครั้งแรกในชีวิตเพื่อบันทึกภาพดวงตายิ้มได้ของคนตรงข้าม สาเหตุของรอยยิ้มสี่เหลี่ยมของผมในครั้งนี้ หนึ่งในความสวยงามของคนที่เป็นส่วนหนึ่งในความฝันของตัวเองด้วย ในขณะที่เขาเอาแต่บ่นที่ภาพถ่ายใบแรกไม่ใช่ภาพคู่ของเราแบบที่เขาหวังไว้ เพราะมันไม่ใช่กล้องดิจิตอล เป็นแค่กล้องที่ต้องมองผ่านเลนส์ มันถึงยากเกินไปที่จะเอามาใช้ถ่ายภาพคู่

เป็นวันเกิดที่ประทับใจไปกับการลั่นชัตเตอร์จนหมดม้วนแบบที่ไม่ทันสังเกต แล้วก็กลายเป็นเสียงหัวเราะจนท้องแข็งเมื่อเอาฟิล์มไปล้างแล้วพบว่าเกือบทั้งหมดเป็นรูปเสียที่ใช้ไม่ได้ ทั้งมืดเกินไป สว่างเกินไป หรือแม้แต่ขุ่นมัวเพราะไม่ได้โฟกัส มีแค่รูปถ่ายใบแรกที่พอจะเก็บเป็นที่ระลึกเรื่องราวในวันนั้นซึ่งผมพกมันใส่กระเป๋าสตางค์ติดตัวไว้ ใช้เป็นแรงบันดาลใจให้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองมากขึ้น เพื่อที่สักวันจะถ่ายรูปของเขาให้ดีกว่านี้

ผมเริ่มจริงจังกับการหาหนังสือเรื่องถ่ายรูปมาอ่าน จริงจังกับการทำตามความฝันของตัวเองมากขึ้น ไม่ต่างจากซันที่ขยันฝึกซ้อมจนได้ขึ้นแสดงงานใหญ่ๆของโรงเรียนเสมอ เขาเริ่มโดดเด่นและเป็นที่ชื่นชมของคนอื่น ส่องสว่างไม่ต่างจากดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า แต่ไม่ว่าจะโดดเด่นมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงเป็นซันคนเดิมที่อยู่ข้างผม เป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นคนที่ผมไม่เคยคิดจะอิจฉา ในเมื่อพวกเราต่างก็พยายามเต็มที่ในเส้นทางที่ตัวเองเลือก

“เดี๋ยวนี้นายถ่ายรูปเก่งขึ้นเยอะนะ” เขามองรูปถ่ายวิวทิวทัศน์บนโต๊ะซึ่งผมเพิ่งไปล้างออกมาจากการใช้กล้องใช้แล้วทิ้งไม่ต่างจากครั้งก่อน แม้ใจจะอยากซื้อกล้องถ่ายรูปดีๆบ้าง และมันก็คงเป็นส่วนสำคัญถ้าผมยังยืนยันจะไปทางสายนี้ให้ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าตัวเองในขณะนี้มีทุนทรัพย์แค่พอจะซื้อกล้องแบบใช้แล้วทิ้งมาฝึกปรือฝีมือบ้างเท่านั้น

“เสียดายที่เผลอถ่ายวิวจนหมดม้วน ไว้มีเงินพอซื้ออันใหม่จะเอามาถ่ายซันแก้ตัวอีกรอบ” ผมพูดกลั้วหัวเราะในขณะที่ก้มลงดูผลงานของตัวเองอีกครั้ง อดภูมิใจไม่ได้เมื่อรู้สึกไม่ต่างจากที่เขาพูด อย่างน้อยความพยายามที่ผ่านมาก็ไม่ศูนย์เปล่า ผมรู้สึกว่าตัวเองก็กำลังพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ

“ว่าแต่วันนี้ไม่มีซ้อมหรอ”
“กำลังจะไปน่ะ เห็นครูบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”

เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะพัฒนาได้เร็วพอที่จะไล่ตามดวงอาทิตย์ที่โคจรอยู่หรือเปล่า

 

126447272

 

“กลัวไม่ได้หรอ”
“ไม่รู้สิ กลัวไปหมด กลัวได้ แล้วก็กลัวไม่ได้ด้วย”
หลังจากวันนั้น ภาพที่ผมเห็นประจำคือแผ่นกระดาษสีขาวปึกนึงซึ่งอยู่ในมือซันพร้อมกับใบหน้าที่คิดไม่ตก คงไม่ใช่แค่เขาที่ลังเลกับการตัดสินใจครั้งนี้ แม้แต่ผมเองก็ลังเลเสมอตั้งแต่ที่รู้เรื่อง ว่าควรจะพูดอะไรออกไปเป็นประโยคแรก

ผมคว้ากระดาษที่เขาถือเอาไว้มาอ่านดูอีกครั้ง ใบสมัครทุนการศึกษาของสถาบันด้านศิลปะและการแสดงของต่างประเทศ มันคือโอกาสสำคัญที่จะทำตามความฝัน

“ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะ อย่ากังวลเลย” ผมพูดออกไปแล้ว ให้เป็นเรื่องของอนาคต ไม่จำเป็นต้องกังวลล่วงหน้า ไม่ว่าเขาจะยังอยู่ตรงนี้ หรือโคจรห่างออกไปอีกฝากฝั่งโลก

“นั่นสินะ เวลาช่วยได้ทุกเรื่องจริงๆด้วย” ผมยิ้มออกมาอีกครั้งแต่ไม่รู้ว่ามันกว้างพอจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบที่เขาชอบหรือเปล่า แต่อย่างน้อยซันก็คงสบายใจขึ้นในระดับหนึ่ง ดูได้จากสัมผัสอบอุ่นที่วางลงบนหลังมือของผม

เราไม่ได้พูดเรื่องนั้นกันอีก อย่างน้อยก็คงเป็นผมที่หลีกเลี่ยงที่จะไม่ถามถึง เรายังใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวัน เหมือนเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปีสุดท้ายคนอื่น ที่เรียนหนักแล้วยังต้องอ่านหนังสือ รวมถึงเริ่มส่งใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนต่อ

ผมยังคงเดินตามความฝันของตัวเองที่มีซันอยู่ในนั้น ส่วนซันก็ทุ่มเทกับการฝึกซ้อม เส้นทางของเรายังคงซ้อนทับไปด้วยกันอยู่ เพียงแต่ผมไม่กล้าภาวนาให้มันเป็นแบบนั้นไปตลอด เพราะนั่นอาจหมายถึงการที่ดวงอาทิตย์ไม่ได้ส่องแสงสว่างออกไปอย่างที่ควรจะเป็น

 

 

ผมพยายามเก็บเงินเพื่อซื้อกล้องใช้แล้วทิ้งอีกครั้งให้ทันวันฉลองเรียนจบของนักเรียนชั้นปีสุดท้ายที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น เลือกรุ่นที่ดีที่สุดและถ่ายภาพได้เยอะที่สุด ตั้งใจเอาไว้ว่าจะถ่ายรูปให้ซันเพื่อแก้ตัวอีกรอบ และอย่างน้อยครั้งนี้ก็อาจจะขอให้ใครสักคนช่วยถ่ายภาพคู่ให้เราเก็บไว้เป็นที่ระลึกบ้าง
วันงานมาถึงพร้อมกับกล้องใช้แล้วทิ้งที่ผมเพิ่งไปซื้อมาหมาดๆและใส่มันไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลัง ตอนที่ผมเดินออกมานอกบ้านพบว่าซันยืนรออยู่ก่อนแล้วในชุดกางเกงยีนส์สีซีดและเสื้อเชิ้ตเรียบๆสีขาวที่ทำให้รู้สึกว่าเขาดูดีและโดดโด่นอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในชุดแบบไหน มือหนาเอื้อมมือมาจูงมือผมเดินไปพร้อมกันจนกระทั่งถึงโรงเรียนที่เต็มไปด้วยลูกโป่งและป้ายแสดงความยินดีให้กับนักเรียนชั้นปีสุดท้ายที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากรั้ว

ผมมองภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน หลายคนเอาชุดยูนิฟอร์มที่ใส่ประจำมาให้เพื่อนร่วมห้องเซ็นชื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ในความสนุกสนานนั้นก็มีความเศร้าแฝงอยู่ เมื่อทุกคนรู้ดีว่ากำลังจะแยกจากกันเพื่อเริ่มต้นเดินตามเส้นทางของตัวเองอีกครั้ง

ผมตั้งใจจะเอากล้องที่เก็บไว้ในกระเป๋าออกมาบันทึกภาพบรรยากาศสุดท้ายเอาไว้ แต่กลับต้องเก็บมันไว้ก่อนเมื่อมีการประกาศข่าวดีจากครูประจำชั้นของเราอย่างกระทันหัน เป็นข่าวดีที่ทุกคนต่างพากันโห่ร้องแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงผมที่ยังนิ่งเงียบ

ซันได้รับการตอบรับจากทุนการศึกษาที่เขายื่นใบสมัครไว้ จากแฟ้มผลงานและคลิปวิดีโองานโรงเรียนมากมายที่ส่งไป แม้กระทั่งวันสุดท้าย ดวงอาทิตย์ก็ยังคงส่องแสงเจิดจ้าและโดดเด่นท่ามกลางการชื่นชมจากคนรอบข้าง เป็นอีกครั้งที่ผมพูดขึ้นมาเบาๆ อย่ากังวลเลย ถึงดวงอาทิตย์จะโคจรออกไปไกลแค่ไหน สุดท้ายก็ยังคงส่องสว่างบนท้องฟ้าให้ผมมองเห็นอยู่ดี

“ดีใจด้วยนะซัน” ผมบอกเขาตอนที่พวกเขาเดินกลับบ้านหลังงานเลี้ยงจบ กล้องใช้แล้วทิ้งที่ซื้อมายังคงถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายหลังและไม่ได้ถูกนำออกมาใช้ เพราะสุดท้ายคงไม่สามารถถ่ายภาพที่ดีได้ หากมองทุกสิ่งผ่านเลนส์ด้วยดวงตาที่พราเลือนเช่นตอนนี้

ผมถามตัวเองย้ำๆว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไรกันแน่ อยากจะเอ่ยรั้งให้อีกฝ่ายยังคงอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมแต่ก็ทำไม่ได้ ผมรักความฝันของผม และหนึ่งในความฝันนั้นคือการบันทึกภาพซันเวลาที่ทำในสิ่งที่เขาชอบ ผมรักที่จะมองรอยยิ้มของเขาพอๆกับการรักการถ่ายรูป ผมรักเขาและรักความฝันของเขาด้วย

“ไทม์”

“ครูพูดถูก สายอาชีพเต้นที่นี่น่ะไม่ค่อยมีอนาคตหรอก ซันจะมีโอกาสมากขึ้นถ้าไปเรียนที่นั่น ดีไม่ดีอาจได้เป็นนักเต้นหรือนักแสดงละครระดับโลกก็ได้นี่” ผมกระพริบตาไล่ความร้อนชื้นที่เอ่อขึ้นมาให้หายไปก่อนจะหันไปสบตาเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างๆรูปสี่เหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มที่เขาบอกว่าชอบยิ้มแบบนี้ของผมที่สุด

“ซันต้องพยายามนะ ฉันรู้ว่าสายอาชีพของซันมันยาก การไปอยู่นิวยอร์คเองก็คงยากมากเหมือนกัน กว่าจะเรียนจบ ไหนจะต้องออดิชั่นหาประสบการณ์เพื่อที่จะโตในสายอาชีพอีก”

“ไทม์” แวบนึงในดวงตาของเขามีแววสับสนลังเลฉายขึ้นมาชั่วครู่ ผมรู้ดีว่าตัวเองอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของความลังเลนั้น สำหรับผมแล้วการห่างกันไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่ากับการห่างที่ไม่มีระยะเวลากำหนด มันคือการเดินทางเพื่อความฝัน และผมรู้ว่าหลังจากนี้ซันเองก็ต้องใช้ความพยายามถึงที่สุด
“จะรอหรือเปล่า”

ผมยังคงยิ้มในแบบที่เขาชอบตอนที่ได้ยินคำถามนั้น หากแต่มันกลับยากเกินไปที่จะตอบ บางครั้งความรักกับความฝันก็ไม่อาจเดินไปพร้อมๆกันได้ กับความสัมพันธ์ทางไกลที่ไม่มีระยะเวลากำหนดว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุด ผมไม่อยากให้ตัวเองไปเป็นภาระของเขา ไม่อยากต้องผูกมัดกันไว้เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ระยะทางและเวลามักนำพาความเปลี่ยนแปลงมาด้วยเสมอ

“ฉันอยากให้ซันพยายามให้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลหรือคิดเรื่องอื่น ฉันเองก็จะพยายามเหมือนกัน เราแค่ต้องพยายามในเส้นทางของตัวเอง” ผมตอบกลับไปแบบนั้นและเขาเองก็ไม่ได้พูด ถึงจะเคยเป็นเส้นทางของกันและกัน แต่หลังจากนี้คงต้องแยก ไม่ได้เดินไปพร้อมกันอีก

เราหยุดยืนเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านของผม ซันยื่นกล่องกระดาษเล็กๆมาให้และผมก็รับมันไว้ ผมยิ้มอีกครั้งแบบที่กว้างที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ให้เขา มองเและเก็บบันทึกภาพตรงหน้าลงบนแผ่นฟิล์มแห่งความทรงจำแทนที่กล้องใช้แล้วทิ้งที่นอนอยู่ในกระเป๋าหลัง แม้แต่ตอนที่เอ่ยประโยคสุดท้ายจนกระทั่งเดินกลับกลับเข้าบ้าน ผมก็ยังคงรอยยิ้มกว้างเอาไว้

“โชคดีนะซัน”

ยิ้มกว้างเพื่อทดแทนความเศร้าบางอย่าง ที่เมื่อจากกันแล้ว ผมก็เหลือเพียงความเข้มแข็งกับรูปถ่ายใบนึงเท่านั้น

 

126447272

 

 

“ไทม์” ชื่อของผมหลุดออกมาจากปากของคนที่สวมบีนนี่และพันผ้าพันคอเกือบมิดปิดใบหน้า แต่ถึงแบบนั้นก็ยังดังพอที่จะให้เจนนี่ที่ยืนอยู่ข้างกันได้ยินจนได้แต่แสดงสีหน้างงงวยและสงสัย ผมมองดวงตาซึ่งแทบจะเป็นอวัยวะเดียวที่เห็นได้ชัดบนใบหน้าที่ถูกปิดจนเกือบมิด นานขนาดไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นดวงตาเจิดจ้าเป็นประกายคู่นี้

“ซัน” ดวงอาทิตย์ดวงเดิมที่ส่องสว่างอยู่ในอดีตของผมและโคจรไปเปล่งประกายไกลถึงอีกฝั่งของซีกโลกจนกลายเป็นเต้นนักแสดงละครบรอดเวย์ดาวรุ่ง ทั้งที่จำได้ดีว่าเหลือเวลาอีกกว่าสามอาทิตย์ที่ละครเวทีที่อีกฝ่ายเล่นจะมาเปิดการแสดงที่นี่ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเหตุบังเอิญให้ได้พบกันอีกจนได้

“ดีใจจังที่ยังจำกันได้” มือหนาขยับเลื่อนผ้าพันคอที่พันไว้สูงให้ลงมาจนเห็นรอยยิ้มสดใสที่ถูกปิดบังไว้อยู่ตอนแรก รอยยิ้มกว้างแบบเดิมที่ดูไม่ต่างจากในรูปถ่าย รอยยิ้มอบอุ่นที่ติดประทับอยู่ในแผ่นฟิล์มของความทรงจำ ไม่เคยอนุญาตให้ผมลืมเลือนได้เลย

 

126447272

 

Sun Part

ผมใช้เวลาเกือบ 7 ปีกับการมุ่งมั่นทำตามความฝันของตัวเองบนแผ่นดินที่ห่างไกลออกไปคนละซีกโลก นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเดินทางกลับบ้านเกิดแบบจริงจังมาเปิดการแสดงละครเวทีที่นี่ เพื่อซึมซับบรรยากาศเก่าๆที่แสนคิดถึง ผมเลยขับรถที่เช่าออกมาจากโรงแรม แวะจอดทานอาหารที่ร้านเล็กๆแห่งนึง แล้วก็เดินเล่นรับลมไปเรื่อยๆ หากแต่ใครรู้ว่าสิ่งที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดนั้น กลับมีตัวตนขึ้นมาและยืนอยู่ตรงหน้า

“โอ๊ย” เสียงร้องดังขึ้นพร้อมแรงชนที่ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บเท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายคงเจ็บกว่าดูจากขนาดตัวบางๆนั่น เขาหันมาโค้งให้ผมเร็วๆครั้งนึงก่อนที่ทำท่าจะวิ่งจากไปพร้อมกับผู้หญิงอีกคนที่จับแขนกันอยู่ ซึ่งผมคงจะปล่อยไปไม่ติดใจอะไรหากผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เขา ไม่ใช่ไทม์ กาลเวลาที่ผมเอาแต่อิจฉาอยู่เสมอ ที่สามารถหมุนผ่านไปอย่างง่ายดาย ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา จากไปโดยที่ผมยื้อไว้ไม่ได้

ไวกว่าความคิดมือของผมก็คว้าแขนเขาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งไปไหน ดวงตากลมโตหันมามองด้วยแววตาสงสัยระคนสำนึกผิด ก่อนที่จะเบิกกว้างเมื่อผมเรียกชื่อเขา

“ไทม์”

เหมือนเวลาหยุดลงทั้งที่สิ่งรอบข้างยังคงเคลื่อนไหวเป็นปกติ จนกระทั่งได้ยินชื่อตัวเองหลุดออกมาจากริมฝีปากบางนั้นผมถึงได้ยิ้มออก อย่างน้อยในความทรงจำของเขาก็ยังมีชื่อของผมอยู่

“ซัน”

เมื่อคิดได้ว่าผ้าพันคออาจจะกำลังปิดรอยยิ้มของตัวเองอยู่ผมถึงได้ใช้มือข้างที่ว่างดึงผ้าพันคอลงมาเล็กน้อย ในขณะที่ร่างบางตรงหน้ายังคงยืนนิ่งอยู่ไม่ต่างจากรูปภาพจนกระทั่ง

“ไทม์ ใครหรอ” เสียงผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกันถามขึ้น

ทุกอย่างยังคงนิ่งเงียบเมื่อเขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากริมฝีปากที่อ้าๆหุบๆเหมือนนึกคำตอบไม่ได้ ในขณะที่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะแนะนำตัวแบบไหนและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นอะไรกับเขา รู้เพียงว่าคงสนิทสนมกันพอสมควรจากข้อมือเรียวบางที่ยังคงจับมือของไทม์อยู่

ผมหันกลับมาสนใจคนที่ไม่ได้เจอกันแสนนานตั้งแต่จบงานเลี้ยงในวันนั้น ระยะเวลาเจ็ดปีไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ นอกจากดวงตาที่กลมโตขึ้น จมูกโด่งที่มีไฝเม็ดเล็กประดับซึ่งดูเชิดรั้นกว่าแต่ก่อน และร่างบอบบางที่มีส่วนโค้งเว้ามากกว่าเดิม

ไทม์ในวันนี้สวมเสื้อสเวตเตอร์สีขาวล้วนและกางเกงขายาวสีเดียวกันที่ขับให้ผิวสีน้ำผึ้งของเขาดูโดดเด่น การแต่งกายแบบเรียบๆที่ทำให้ดูบอบบางน่าทนุถนอมมากขึ้น เสริมด้วยเครื่องประดับชิ้นเดียวที่คาดอยู่ที่ลำคอระหง

จี้รูปดวงอาทิตย์ที่ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาอีกจนได้ เมื่อมันคือสร้อยคอเส้นที่อยู่ในกล่องกระดาษใบเล็กที่ผมมอบให้เขาเป็นของขวัญวันเรียนจบ

‘จะรอหรือเปล่า’ คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว หรือแม้แต่ความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกันก็ไม่ได้ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัย จะเป็นอะไรไหมหากผมอยากจะเข้าข้างตัวเองสักครั้ง

ผมไม่ได้ปล่อยมือข้างที่จับแขนเขาออกมีแต่กระชับมันให้แน่นขึ้น ถ้าเมื่อเจ็ดปีก่อนผมจำเป็นต้องปล่อยมือคู่นั้นเพราะไม่อยากรั้งให้เขาต้องรออย่างไม่มีกำหนด แล้วในวันนี้ผมจะยังมีสิทธิ์จับมือคู่นี้อีกหรือเปล่า ในเมื่อวันนั้นเราเองก็ยังไม่ได้บอกเลิกกันสักหน่อย

“ผมเป็นแค่คนที่กำลังจีบไทม์อยู่”

เพราะดวงอาทิตย์ถึงจะโคจรไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ยังวนกลับมาที่เดิมเสมอ ต่างจากเวลาที่หมุนผ่านไปเรื่อยๆ ไม่สามารถรั้งหรือย้อนคืนมาได้ ผมถึงต้องโคจรให้เร็วมากพอที่จะไล่ตามกาลเวลาตรงหน้าให้ทันเท่านั้นเอง

ใส่ความเห็น