ตลอดไปมินวี

California King Bed

 

แต่งจากเพลง California King Bed – Rihanna

 

 

                “นายแพ้แล้วแทฮยอง” จังหวะหัวใจของผมเต้นแรงขึ้นตอนที่อกแข็งๆของจีมินทาบทับลงมาจนต้องปล่อยตัวเองให้เอนลงบนเตียงขนาดคิงไซส์ที่พวกเรานั่งอยู่ เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเกมยังคงดังอย่างต่อเนื่องเมื่อมันไม่ได้ถูกปิด แต่กระนั้นแล้วสิ่งที่ดังน้อยกว่าแต่กลับชัดเจนอยู่ข้างหูมีเพียงเสียงลมหายใจของเขาเท่านั้น

                ผมปิดตาสนิทเมื่อรู้ว่าไม่อาจสู้ประกายคมที่พราวระยับของคนตรงหน้าได้ แต่เมื่อใดที่ประสาทสัมผัสถูกตัดลงทางหนึ่ง ร่างกายคนเราก็จะรับสัมผัสจากทางอื่นได้ชัดเจนขึ้น เหมือนอกของผมที่อุ่นวาบเพราะอกของเขาที่แนบลงมาใกล้ หรือลมหายใจที่หยุดชะงักเพราะปลายจมูกซึ่งคลอเคลียกันอยู่ ทั้งที่ใกล้ชิดแบบที่เป็นมาเสมอ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะห้ามความหวั่นไหวไม่ให้เกิดขึ้น

 

               พี่จีมิน พี่แทฮยอง เปิดประตูหน่อย ผมมาขอเล่นเกมส์ด้วย เป็นผมที่นอนหลับตาอยู่ในขณะที่จีมินเป็นคนไปเปิดประตูห้อง เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ผมก็ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอยู่ดี

                “นอนกับพี่โฮซอกน่าเบื่อจะตาย รายนั้นชวนเล่นเกมด้วยก็ไม่ได้ พี่จีมินเล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” ผมไม่รู้หรอกว่าจีมินทำสีหน้าแบบไหน เพราะสิ่งที่ได้ยินมีเพียงหัวเราะอย่างมีความสุขของจองกุก ก่อนที่ดนตรีจากแผ่นเกมส์ตรงปลายเท้าจะดังขึ้นอีกครั้งโดยที่ผมไม่ได้มีส่วนร่วม

                น่าเสียดายที่ไม่ได้นอนกับพี่ เพราะพี่โฮซอกแท้ๆเลยอ่ะ ผมปล่อยให้เสียงที่ได้ยินผ่านเข้ามาในหู แต่ไม่ได้ทะลุออกไปอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากฝังแน่นวนเวียนกรอไปมาซ้ำๆ แล้วหัวใจที่เคยเต้นแรงก็ค่อยๆช้าลงเรื่อยๆ

                ผมเลือกจะนอนหลับตาอยู่แบบนั้น ไม่แสดงตัวว่ารับรู้เรื่องราวทั้งหมด หรือถ้าเลือกได้ก็อยากจะหายตัวไปเลยด้วยซ้ำ

 

                “พี่แพ้แล้วจองกุก บอกแล้วว่าพี่ก็เล่นเกมส์ไม่เก่งเหมือนพี่โฮซอกนั่นแหล่ะ” ผมรู้สึกถึงแรงยวบของเตียงด้านข้างและสัมผัสจากหลังมือที่แตะถูกกัน ผมยังจำสัมผัสอบอุ่นของเขาได้ดี

                “เมื่อยเหมือนกันแฮะ ขอนอนด้วยคนสิ ยืมแขนพี่หนุนด้วยนะ ไม่มีหมอนเหลือแล้วอ่ะ” เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกดทับลงบนอกจนหายใจไม่ออก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เกิดอาการแบบนี้ คงเป็นตอนที่ผมมองเข้าไปในดวงตาของจองกุกแล้วเห็นภาพสะท้อนของคนๆเดียวกันกับที่ผมเฝ้ามองเขาอยู่ หรืออาจเป็นตอนที่ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำเสียงของน้อง ตอนที่ผมเริ่มตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเรามันกำลังจะเปราะบางและเปลี่ยนแปลงไป

                ความอึดอัดทำให้ขอบตาของผมร้อนผ่าวขึ้นมาง่ายๆ จนเลือกจะพลิกตัวเพื่อซ่อนน้ำตาให้ซึมไปกับหมอน แต่เพราะเป็นจีมินที่รู้จักผมดีเสมอ หลังมือที่แตะกันอยู่ถึงได้สอดประสานเข้ามาจนปลายนิ้วเกี่ยวกันแน่น เพียงแต่สัมผัสครั้งนี้มันไม่ได้อบอุ่นเหมือนก่อน มันไม่ได้ทำให้หัวใจของผมกลับมาเต้นแรงอีกแล้ว

 

 

                 หนึ่งชั่วโมงหรือสองชั่วโมงที่ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปแบบนั้น และเมื่อเข็มนาฬิกาแห่งความอดทนสิ้นสุดลง ปลายนิ้วมือของเราถึงได้คลายออกพร้อมกับผมที่เดินออกมาข้างนอก และถึงอเมริกาจะใหญ่แค่ไหน แต่กลับมีแค่ที่เดียวที่ผมพอจะหลบซ่อนตัวได้

                “หืม แทฮยองหรอ” ผมส่งยิ้มจืดๆให้คนที่ยืนอยู่หนังบานประตู กับเตียงคิงไซส์ที่คงจะว่างเพราะเจ้าของอีกคนไปนอนอยู่ในห้องผมแล้ว ที่ๆผมพอจะมาขอนอนได้ก็คงเหลือแค่ห้องของพี่โฮซอกกับจองกุก

                “จองกุกไปนอนกับจีมินแล้วครับ ถึงจะเป็นเตียงคิงไซส์แต่สำหรับผู้ชายสามคนก็คงเบียดเกินไปอยู่ดี” พี่โฮซอกก็ยังคงเป็นพี่โฮซอกที่ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรนอกจากเปิดประตูให้ผมเดินเข้าไปในห้องซึ่งไม่ได้ต่างไปจากห้องที่ผมพักอยู่ตั้งแต่แรก ก็โรงแรมเดียวกัน ชั้นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้จัดเรียงเหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว

                “พี่อยากดื่มหน่อยไหม ผมเลี้ยงเอง” สีหน้าที่ดูแปลกใจแต่ก็ยังคงไม่ถามอะไรให้ผมต้องอึกอัก พี่โฮซอกมักจะเป็นแบบนี้ ผมถึงได้สบายใจที่อีกฝ่ายเป็นเขา ไม่ใช่พี่จินที่ถ้ามาอยู่ตรงนี้ก็คงซักไม่เลิก

                “เอาสิเดี๋ยวพี่สั่งรูมเซอร์วิสให้ นายเองก็ไปอาบน้ำก่อนเถอะ เอาเสื้อผ้าพี่ไปเปลี่ยนก็ได้”

 

 

                เสียงกระป๋องโลหะสองใบชนกันขึ้นดังเป็นพักๆ ผมเอนหลังพิงประตูกระจกเมื่อที่ๆพวกเรานั่งอยู่คือระเบียงซึ่งยื่นออกมาด้านนอก หลับตาสัมผัสกับสายลมเย็นๆที่พัดผ่านแต่ไม่ได้ทำให้หนาวเท่าไหร่เพราะเครื่องดื่มในมือทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นอยู่บ้าง

                “คิดยังไงชวนพี่ดื่มเบียร์ล่ะ ปกตินายชอบของพวกนี้ซะเมื่อไหร่” ผมไม่ได้ตอบกลับไปว่าเหตุผลที่ดื่มมันทั้งที่ไม่เคยชอบเพราะอยากจะลืมเลือนความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ชอบมากกว่าให้เจือจางลงบ้าง

                “แค่อยากเลี้ยงพี่บ้าง ไม่ได้หรอ” เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของยามค่ำคืน ก่อนที่สัมผัสจากฝ่ามือสากจะวางลงบนหัวผมแล้วออกแรงขยี้จนฟูฟ่อง

                “อ่า แขกคนพิเศษน่าจะมาถึงแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ไปเปิดประตูก่อน ส่วนค่าตอบแทนเรื่องเบียร์ จำไว้ว่าถ้าอึดอัดจนทนไม่ไหวก็พูดมันออกมาบ้าง ยังไงพี่ก็อยู่ข้างนายเสมอ” ผมมองตามแผ่นหลังเล็กที่ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้อง บางทีแขกพิเศษที่มาใหม่คงจะเป็นพี่จินล่ะมั้ง เพราะมีเบียร์ที่ไหน แอลกอฮอล์ลิซึ่มอย่างพี่จินมักไม่เคยพลาด

                ผมลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังคงมีเบียร์อีกครึ่งกระป๋องถืออยู่ในมือก่อนจะเดินไปท้าวแขนลงกับราวระเบียงเพื่อชมทิวทัศน์ของอเมริกาในยามดึก โชคดีที่ห้องพักเราสูงมากพอที่จะเห็นวิวโดยรอบ และใกล้จนมองเห็นดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า

                ผมจิบเบียร์อีกอึกใหญ่จนลำคอร้อนผ่าว แต่สิ่งที่ร้อนกว่ากลับเป็นสัมผัสที่โอบรอบมาจากทางด้านหลัง ไออุ่นและกลิ่นประจำตัวที่ทำให้รู้ว่าแขกคนพิเศษไม่ใช่พี่จินอย่างที่คิด

                “แล้วพี่โฮซอกล่ะ”

                “ขอให้ย้ายไปนอนห้องนั้นกับจองกุกแล้วล่ะ หมอนั่นหลับสนิทฉันเลยขี้เกียจจะปลุก” ผมไม่ได้ถามออกไปอีกว่าแล้วทำไมเขาถึงมาที่นี่ ได้แต่ปล่อยให้ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ จนเป็นจีมินที่ทำลายมันลงอีกครั้ง

                “ท้องฟ้าสวยเหมือนคืนที่เราอยู่ที่มอลตาเลยนะ” ผมมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอีกครั้งก่อนจะรู้สึกถึงแรงกอดรัดรอบเอวที่แน่นขึ้น

                “จำได้เลยว่าคืนนั้นฉันก็กอดนายแบบนี้” แผ่นอกที่แนบสนิทลงกับหลังของผมและวงแขนแกร่งที่โอบรอบทำให้ลมเย็นๆไม่สามารถพัดผ่านโดนผิวเนื้อของผมได้อีก ผมหลับตาลงช้าๆเพื่อสัมผัสกับแรงเต้นเป็นจังหวะที่ถ่ายทอดมาจากด้านหลัง ไม่ว่าเมื่อไหร่ผมก็ชอบจังหวะการเต้นหัวใจที่แสนมั่นคงของเขาที่สุด เพราะมันทำให้ความทรงจำเก่าๆในคืนนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง

           

                ‘ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้องแล้ว’ คำปลอบโยนและอ้อมกอดอุ่นๆเหมือนจะปัดเอาแรงบีบรัดที่หน้าอกให้คลายออก ผมปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมาในขณะที่ซึมซับความอบอุ่นที่โอบกอดรอบตัว และริมฝีปากนิ่มที่ประทับลงมาบนกลุ่มผมครั้งแล้วครั้งเล่า ริมฝีปากของเขาที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนเหมือนอยู่ภายใต้กลีบดอกกุกลาบ

                ‘ฉันจะอยู่ตรงนี้กับนายเอง’ แล้วในวันที่ผมสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป ก็เป็นวันที่ผมยอมเปิดใจให้เขาก้าวเข้ามา

 

 

                “ตอนนั้นมีดาวตกด้วยนี่ นายยังไม่เคยบอกเลยว่านายอธิษฐานขออะไร” ผมยกยิ้มที่มุมปากให้กับคำถามของเขาที่เรียกสติผมให้กลับคืนมายังปัจจุบันอีกครั้ง ยิ้มที่ไม่ใช่เพราะเขินอายหรือมีความสุข

 

                ‘ถึงเขาที่กลายมาเป็นความสบายใจของผม ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันไปตลอด

… ผมแค่ยิ้มหยันให้ตัวเองที่คำอธิษฐานในคืนนั้นช่างแตกต่างจากความปรารถนาในคืนนี้

                ‘ขอให้ผมหลุดพ้นจากความอึดอัดตอนนี้เสียที’

 

                คืนนั้นระหว่างเราไม่ได้แตกต่างจากครั้งอื่นๆ นอนกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เคียงข้างกันบนเตียงคิงไซส์ที่ไม่มีระยะห่างให้ลมจากเครื่องปรับอากาศพัดผ่าน แต่ถึงจะใกล้กันมากแค่ไหน ใกล้จนตาสบกัน ใกล้จนแก้มแนบกัน ใกล้จนนิ้วเท้าแนบประสานเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในความรู้สึกผมกลับเหมือนมีช่องว่างมากั้นไว้จนไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคนที่อยู่ข้างๆ เหมือนมีระยะห่างเป็นหมื่นไมล์ที่แยกพวกเราออกจากกันเรื่อยๆ ช่องว่างที่มีชื่อเรียกว่าจอนจองกุก

                แล้ววันรุ่งขึ้นผมก็ตื่นมาพร้อมกับแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างในยามเช้า กับที่ว่างด้านข้างที่ไม่มีร่างหนาให้โอบกอดอีกแล้ว หลงเหลือเพียงร่องรอยยับๆของผ้าปูที่นอนและเศษเสี้ยวความอบอุ่นของเมื่อคืนที่หลงเหลืออยู่บนผืนผ้าห่ม

                “อ้าว แทฮยองมาแล้วหรอ ทำไมวันนี้ทำตัวเป็นจีมินไปได้” เสียงทักทายของพี่จินดังขึ้นตอนที่ผมเดินเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรมซึ่งทุกคนรวมอยู่กันอยู่ที่นั่น มันคงเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับคนอื่นที่คนสายที่สุดซึ่งเคยเป็นจีมิน แต่ในวันนี้กลับกลายเป็นผม

                “รีบกินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวต้องไปซ้อมก่อนอัดรายการอีก” พี่นัมจุนก็ยังคงเป็นหัวหน้าวงที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องมาโปรโมทที่ต่างประเทศ

                ผมเดินไปที่ไลน์อาหารซึ่งวางเรียงรายมากมายให้บริการตัวเอง หยิบขนมปังปิ้งมาหนึ่งแผ่นกับเนยเล็กๆอีกกล่อง เพราะไม่ได้หิวมาก แต่ยังไม่ทันได้เดินกลับโต๊ะก็มีไส้กรอกรมควันชิ้นใหญ่ถูกคีบมาวางบนจานเพิ่ม

                “วันนี้ตารางงานเยอะ นายต้องกินเยอะๆหน่อยสิ” เป็นจีมินอีกแล้วที่คอยดูแลใส่ใจผมอยู่ตลอด ผมเลยหันไปยิ้มให้เขาก่อนเดินไปหยิบน้ำส้มคั้นแล้วตามหลังร่างหนาไปยังโต๊ะที่พี่นัมจุนจองไว้ แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ผมจะยื่นมือไปแตะพนักเก้าอี้ที่นั่งข้างๆจีมินนั้น มือของใครบางคนก็จับถึงมันเสียก่อน

                “ผมนั่งด้วยคนนะพี่จีมิน” แล้วจองกุกก็กลายเป็นเหตุผลที่ผมต้องย้ายไปนั่งข้างพี่โฮซอกแทน

 

                บทสนทนาบนโต๊ะอาหารฟังดูสนุกสนาน อย่างน้อยก็สำหรับคนที่ผูกขาดบทสนทนาทั้งหมดอย่างเด็กคนนั้น ทุกประโยคที่เจ้าตัวมักจะหันไปถามความเห็นของจีมิน ทุกพยางค์ที่จองกุกฟังอย่างตั้งใจเมื่อมันออกมาจากริมฝีปากหนา แทฮยองรู้ดีว่าความรู้สึกของน้องกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

                “เพลงใหม่ของเราพี่เต้นท่านั้นได้ยังไงนะ สอนให้ผมบ้างสิ”

                “พูดไปน่า นายเต้นเก่งกว่าพี่อีกนะจองกุก” ถึงจะเป็นแบบนั้นเจ้าตัวก็ยังทู่ซี้จะให้คนข้างๆสอนเต้นให้ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าการเต้นโมเดิร์นแดนซ์ของจีมินพริ้วไหวจนใครๆก็อิจฉา แล้วจองกุกก็อยากจะฝึกเต้นแบบนั้นดูบ้าง

                “เอาไว้ว่างๆพี่จะสอนให้ละกัน”

                “ก็ตอนกลางคืนไง พี่ก็ย้ายมานอนกับผมให้พี่แทฮยองนอนกับพี่โฮซอกแทนสิ เรายังอยู่ที่อเมริกาอีกตั้งหลายวันกว่าจะกลับไปขึ้นคัมแบคสเตจที่เกาหลีต่อ พี่แทฮยองไม่ว่าอะไรใช่มั้ย” เป็นครั้งแรกที่บทสนทนาบนโต๊ะวนกลับมาถึงตัวผม โดยที่มีทางเลือกให้เพียงสองข้อเท่านั้น แค่คำถามข้อเดียวที่จะเปลี่ยนช่องว่างระหว่างผมกับจีมินอีกครั้ง

                “อ..อืม ตามใจพวกนายสิ เป็นผมที่ข้ามช่องว่างนั้นไปไม่ได้ ช่องว่างที่ชื่อจอนจองกุก ช่องว่างที่ขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

                หลังจบประโยคผมมองเห็นคำถามมากมายในดวงตาของจีมิน แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบอะไรกลับไป เมื่อไม่มีเหตุผลมากพอให้ปฏิเสธคำขอของน้อง

                วันนั้นทั้งวันผมต้องเผชิญหน้ากับสายตาเรียวที่จับจ้องมาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเพราะจองกุกยังตามติดจีมินทุกฝีก้าว เป็นครั้งแรกที่ความเอาใจใส่ของจีมินถูกผูกขาดไว้ที่คนๆเดียว เป็นครั้งแรกที่คนที่วนเวียนอยู่ข้างตัวผมกลับกลายเป็นพี่โฮซอก

                “พี่จีมินดูท่าเต้นตรงนี้ให้ผมหน่อยสิ”

                “พี่จีมินไปซื้อกาแฟเป็นเพื่อนผมหน่อย”

                “พี่จีมินมาเล่นเกมส์นี้ด้วยกันเร็ว”

 

 

                จวบจนตอนเย็นที่ผมนั่งละเลียดไปกับการตักอาหารเข้าปากโดยไม่ได้สนใจอะไรอีก ไม่ได้สนใจคนเด็กสุดที่ตักอาหารใส่จานของคนข้างๆพลางชวนคุยว่าจานนั้นอร่อยอย่างโน้นอย่างนี้ อาจเพราะในความรู้สึกของผม ไม่ว่าจะทานอะไรก็ดูจะฝืดคอไร้รสชาติไปซะหมด

                “อันนี้พี่จีมินต้องลองชิมนะ”

                ผมวางช้อนลงเมื่อรู้สึกว่าฝืนทานอะไรต่อไม่ไหวแล้วจนเรียกสายตาของทุกคนให้จับจ้องมาที่ผม ที่นั่งทานอาหารได้ไม่ถึงสิบนาทีดีก็อิ่มเสียแล้ว

                “พี่แทฮยองอิ่มแล้วหรอ อ่ะนี่คีย์การ์ดห้องผมกับพี่โฮซอก” ผมมองแผ่นพลาสติกสีขาวที่ถูกวางลงบนโต๊ะแล้วก็เข้าใจได้ดีกับความหมายของน้อง ถึงได้ล้วงเอาคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกงตัวเองขึ้นมาวางตรงหน้าฝ่ายตรงข้าม

                “เดี๋ยวสิแทฮยอง เรายังไม่ได้ตกลงกันเลยไม่ใช่หรอ” มือหนาของจีมินเอื้อมมาคว้าคีย์การ์ดของผมไปถือไว้ ในขณะที่สายตาคู่นั้นยังคงเต็มไปด้วยคำถามที่ผมตอบไม่ได้

                “เดี๋ยวฉันย้ายไปนอนกับพี่โฮซอก นายนอนกับจองกุกเถอะ” จะให้ผมตอบออกไปว่าอะไร เหตุผลที่ทำให้ผมต้องนอนห้องเดียวกับเขา เหตุผลที่จะไม่แลกห้องกับจองกุก ในเมื่อผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ

                “แทฮยอง”

                “ฉันสบายใจที่จะนอนกับพี่โฮซอกมากกว่า” เหมือนคำพูดของผมจะไปจุดอารมณ์ฉุนเฉียวในดวงตาเรียวให้ลุกโชนขึ้น แต่ผมแค่เหนื่อย เหนื่อยจนอยากจะยอมแพ้ จากที่เคยสบายใจและมีความสุขเวลาที่มีจีมินอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความอึดอัดเมื่อความสัมพันธ์ของเรามีจองกุกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

                “แล้วนอนกับฉันนายลำบากใจตรงไหนหรอ” ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจกับการที่จีมินขึ้นเสียง ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ยกเว้นจองกุกที่กล้าเอื้อมมือไปจับท่อนแขนแกร่งก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

                “พี่จีมิน ให้พี่แทฮยองนอนกับพี่โฮซอกแล้วเรานอนด้วยกันก็ได้หนิ”

                ผมมองฝ่ามือข้างนั้นที่วางอยู่บนท่อนแขนที่ตัวเองเคยพิงบ่อยๆ ก่อนจะคว้าเอาคีย์การ์ดของจองกุกมาถือไว้แล้วลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะอาหาร โดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกชื่อตัวเองที่ดังตามมาด้านหลังอีก

 

reply00000028360

 

                บรรยากาศบนโต๊ะมาคุไปแล้วหลังจากแทฮยองเดินเอาคีย์การ์ดของจองกุกไปโดยไม่พูดอะไร ผมได้แต่มองทุกคนที่ยังเหลืออยู่ตรงหน้า หันไปสบตานัมจุน พี่จินและพี่ยุนกิในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด แล้วก็ต้องตกใจจนเหวออีกครั้งตอนที่จีมินสะบัดแขนของจองกุกออกก่อนเดินกระแทกเท้าปึงปังตามเพื่อนรักไปติดๆ ในขณะที่จองกุกที่หน้าเสียนิดหน่อยก็ทำท่าทางเหมือนจะวิ่งตามไปด้วย ร้อนผมที่ยืนอยู่ต้องรีบเอื้อมมือไปคว้าแขนน้องเล็กเอาไว้ก่อน

                “ให้เขาคุยกันแค่สองคนดีกว่านะจองกุก”

                “แต่ว่า”

                “จีมินใจดีใช่มั้ย พี่รู้ว่านายชอบความใจดีของหมอนั่น แต่อย่าเอาจุดนี้มาใช้เป็นเครื่องมือเลย นายรู้ดีว่าจีมินยอมให้นายได้แค่ตรงไหน” น้องเล็กดูตกใจที่ผมรู้ สังเกตได้จากดวงตากลมโตที่เบิกกว้าง พวกเขาสามคนอาจจะคิดว่าปกปิดความสัมพันธ์ของตัวเองไว้ได้ แต่กับพวกเราที่อยู่ด้วยกันมานานจนกลายเป็นครอบครัวไม่มีทางเลยที่จะดูไม่ออก แต่เพราะเห็นเป็นเรื่องส่วนตัวเลยไม่ก้าวเข้าไปยุ่ง จนกระทั่งวันนี้ที่เริ่มรู้สึกว่ามันอาจจะลามไปกระทบกับวงแล้วถึงได้เลือกที่จะพูด

                “ผม”

                “เรื่องความรู้สึกบางทีเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ ไม่ใช่ฝืนเพื่อให้ได้มา” ผมได้แต่วางมือลงบนไหล่หนาก่อนจะตบเบาๆให้กำลังใจในขณะที่คนอื่นก็ทำไม่ต่างกัน สำหรับคนเป็นพี่แล้ว ไม่ว่าจะน้องคนไหนก็ไม่อยากให้ต้องเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น

 

reply00000028360

 

                ผมเร่งฝีเท้าเพื่อให้ทันร่างบางที่เดินดุ่มไปก่อนหน้า ภายใต้ความรู้สึกที่เหมือนจะหงุดหงิดเอามากๆจนอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด ผมยอมรับว่าตัวเองไม่พอใจมากๆที่แทฮยองยอมแลกห้องง่ายๆโดยไม่คิดจะปรึกษาหรือพูดคุยกันก่อน ทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าเราจะนอนด้วยกันตลอดเวลาที่มาทำงานที่อเมริการอบนี้

                “แทฮยอง หยุดก่อน” ผมกระชากแขนบอบบางของเขาไว้ได้ทันแล้วก็ดึงให้เขาหันกลับมาหาตัวเอง แต่ที่ทำให้ตกใจจนลืมความโกรธทั้งหมดคือดวงตาที่ขึ้นสีแดงก่ำ

                “นาย..” ผมมองเห็นความสับสนอยู่ในดวงตาคู่นั้น ถึงได้เริ่มตระหนักถึงความรู้สึกของเขามากขึ้น ผมเห็นความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด ความอึดอัดที่ถูกระบายออกมาเป็นหยดน้ำที่ปริ่มอยู่ที่หางตาสวย ทั้งที่ความปรารถนาในวันวานที่อยากให้เขามีแต่ความสุขยังคงอยู่ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่รอยยิ้มสดใสหายไปจากใบหน้างดงามที่ผมหลงรัก

                “เราเหนื่อยแล้วจีมิน อึดอัดจนทนไม่ไหวอีกแล้ว”

 

                กับน้ำตาที่เคยเช็ดให้มันหยุดไหล ควรทำอย่างไรเมื่อในวันนี้ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มันหลั่งออกมาอีกรอบ

                ผมเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเขาออก ก่อนจะจูงคนที่ร้องไห้อยู่ให้เดินตามกลับไปที่ห้อง ห้องของเราที่มีแค่เขากับผมเท่านั้น

                ผมนั่งลงบนเตียงคิงไซส์หลังที่เมื่อวานกลายไปเป็นที่นอนของพี่โฮซอกกับจองกุก ก่อนจะจับเอาร่างบางของแทฮยองนั่งลงมาบนตัก ปล่อยให้เขาร้องไห้เงียบๆ ในขณะที่ตัวเองแค่กอดร่างบอบบางเอาไว้แน่น กอดให้แน่ใจว่าตอนนี้ผมยังมีเขาอยู่ ยังไม่ได้เสียเขาไปไหน

                กว่าสิบนาทีที่แทฮยองร้องไห้เป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดตอนได้ยินเสียงสะอื้นซึ่งมีตัวเองเป็นสาเหตุ น่าแปลกใจเหลือเกินกับเรื่องที่ผมลังเลมานาน แต่พอเห็นน้ำตาของเขาผมกลับตัดสินใจได้ง่ายๆ

                ผมรั้งร่างของแทฮยองให้หมุนกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง นิ้วมือยังคงเอื้มไปเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดทั้งๆที่แรงสะอื้นเริ่มลดลงแล้ว ก่อนจะกอดร่างบนตักให้แน่นขึ้น ซบหน้าตัวเองลงฟังเสียงหัวใจที่เต้นบริเวณหน้าอกเขา

                “ขอโทษที่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนจนนายต้องอึดอัด ฉันแค่กลัวทุกอย่างจะแตกหักแล้วก็กระทบคนอื่นๆ” แทฮยองยังคงเงียบตอนที่ผมอธิบายไป กับความรู้สึกของจองกุกผมรู้ดีแต่ไม่กล้าปฏิเสธถึงได้เอาแต่แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะอยากจะประคับประคองทุกอย่างเอาไว้ จนเผลอพังความรู้สึกของคนที่ผมอยากจะปกป้องมากที่สุด

                “ถ้าเป็นจองกุก ฉันก็พร้อมจะถอย”

                “ถึงฉันจะโง่จนทำให้คนที่ตัวเองรักเสียใจ แต่อย่าดูถูกความรักของฉัน อย่าไล่ฉันไปรักคนอื่น ทั้งๆที่ฉันรักแทฮยองไปแล้ว” ผมมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ยังถ่ายทอดความรักออกมาไม่ต่างไปจากเมื่อวานนี้ แต่สิ่งที่ทำให้กลัวคือการตัดสินใจของเขา ผมเอื้อมมือไปกุมมือบางไว้แน่น เป็นครั้งแรกที่เข้าใกล้แทฮยองไม่ได้อย่างที่คิด ไม่ใช่ระยะห่างของร่างกายและเป็นช่องว่างของความรู้สึก ทั้งที่ยังรักกัน ทั้งที่ผมจับมือเขาไว้แน่นขนาดนี้ แต่กลับกลัวว่าเขาจะปล่อยมือไป

                “ความเจ็บปวด ความอึดอัดหลังจากนี้ ฉันจะรับไว้เอง ขอร้องอย่าปล่อยมือกันเลย” ผมไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายความรักของเราถึงเดินมาถึงจุดนี้ อาจเพราะผมคิดถึงคนอื่นมากไป เพราะผมคิดถึงแทฮยองน้อยไป ผมแค่กลัวว่าเขาจะไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ที่ผ่านมาผมอยากจะอยู่ข้างๆคอยดูแลเขา ทำให้เขามีความสุข แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้อีก แล้วผมจะใช้ชีวิตยังไงต่อ

                แทฮยองไม่พูดอะไรนอกจากเปลือกตาที่หลับลงพร้อมน้ำใสๆที่ไหลรินลงมาอีกครั้งทั้งที่เพิ่งหยุดไปได้ไม่นาน ผมใช้ฝ่ามือของตัวเองเอื้อมไปจับปลายคางของเขา รั้งใบหน้าสวยให้กดต่ำลงมาใกล้กันอีกนิด ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากบางเฉียบของเขา ได้แต่หวังว่าสัมผัสครั้งนี้ จะฉุดรักความรักของผมให้กลับคืนมาได้สำเร็จ

 

                จนกระทั่งรับรู้ถึงสัมผัสบางเบาที่รอบคอและช่องว่างระหว่างกันที่เริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

 

 

ใส่ความเห็น