ตลอดไปมินวี

OS : 18,14 (100%)

 

chcho.jpg

 

ของเหลวสีใสภายในแก้วทรงสูงถูกยกจรดริมฝีปาก ก่อนที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้มีความเข้มข้นมากนักจะรินไหลผ่านลำคอเข้าสู่ร่างกายทีละนิด ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ดึ่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความสุขของค่ำคืนนี้ มีเพียงรสหวานอ่อนๆของพีชซึ่งเจือจางอยู่ในแก้วกระเบื้องเท่านั้นที่พาเอาสติของพัคจีมินให้จมดิ่งไปกับกลิ่นหอมหวานที่ยังคงชัดเจนในความรู้สึก ในความทรงจำ ในอดีตที่มีใครอีกคนซึ่งเขายังคงคำนึงถึงบ่อยๆ

 

เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของเด็กชายวัยสิบสี่ซึ่งถือโหลแก้วไว้ในมือทำให้จีมินอดเอ็นดูไม่ได้ ความประทับใจแรกเกิดขึ้นท่ามกลางความเศร้าหลังจากที่เขาสูญเสียครอบครัวไปไม่นาน ผ่านพ้นงานศพของพ่อกับแม่ซึ่งเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุและทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับโลกใบนี้เพียงลำพัง มันไม่ได้ง่ายเลยสำหรับเด็กอายุสิบแปดที่ไม่ได้มีญาติพี่น้องที่ไหน มีแต่คุณน้าคิมเพื่อนสนิทแม่ของเขาเท่านั้นที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

จีมินไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายตอนที่เกิดเรื่องทั้งหมด เขาโตเกินว่าจะร่ำไห้เหมือนเด็ก แต่ก็ไม่ได้เก่งกล้าขนาดจะใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวได้ เขาถึงได้ยอมรับข้อเสนอที่จะย้ายไปอยู่ภายใต้ความดูแลของครอบครัวคิมและเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

 

ภายในโหลแก้วถูกจัดเป็นสวนเล็กๆขนาดย่อม มีเม็ดกรวดและพืชจำพวกมอสปลูกอยู่ภายในนั้น มีตุ๊กตาปูนปั้นรูปเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ และมีกิ่งพีชที่ปลูกอยู่รอบๆบ้านเอามาปักตกแต่งจนกลีบดอกไม้สีชมพูสวยตัดกับสวนขวดแก้วสีเขียวให้ดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น

จีมินพูดขอบใจเบาๆกับน้องชายที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรกซึ่งยืนส่งยิ้มกว้างพร้อมยื่นของขวัญต้อนรับเข้าสู่บ้านใหม่อยู่ในมือน้อยๆ เขารับสวนขวดแก้วมาถือไว้ก่อนพิจารณาต้นไม้ต้นเล็กๆที่ได้รับ มันไม่ได้หรูหราสวยงามเหมือนที่เห็นวางขายอยู่ตามร้าน แต่ก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของคนจัด แม้กระทั่งดอกพีชซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนที่ถูกเอามาประดับตกแต่ง ทั้งที่เขาไม่เคยจะให้ความสนใจกับพวกมันสักครั้ง หากแต่ในช่วงเวลานั้น เขากลับเริ่มมองเห็นความสวยงามของเจ้ากลีบดอกไม้สีชมพูแสนธรรมดาชนิดนี้เป็นครั้งแรก

 

“มานั่งดื่มอะไรคนเดียวตรงนี้เล่า” เสียงทักทายเบาๆเรียกสติของจีมินให้คืนกลับมาถึงได้พบว่าตรงหน้าคือชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของค่ำคืนนี้ เขาส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทที่ยืนโอบเอวคนรักอยู่ ก่อนจะเอ่ยเบาๆกลับไปถึงถ้อยคำแสดงความรู้สึก

“ดีใจด้วยนะจองกุก หลังจากนี้ก็ขอให้มีความสุขมากๆ” แก้วทรงสูงในมือถูกยกขึ้นอีกครั้งจรดเข้ากับริมฝีปาก ไวน์พีชแสนหวานแก้วนี้ เขาขอดื่มอวยพรให้เพื่อนรักและคำคืนที่น่ายินดีของอีกฝ่าย

จีมินผละตัวออกมาเงียบๆหลังปล่อยให้เพื่อนและคนรักไปทักทายแขกเหรื่อคนอื่นๆ เขาเดินออกจากโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฉลองแต่งงานในค่ำคืนนี้ เดินชมบรรยากาศที่เงียบสงบ มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และสองข้างทางที่เรียงรายไปด้วยต้นพีชซึ่งทิ้งใบสีน้ำตาลอ่อนร่วงลงสู่พื้น

มือหนากระชับเสื้อโค้ทตัวยาวให้แนบชิดติดลำตัวมากขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่เริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกไม่นานฤดูใบไม้ร่วงจะผ่านพ้นไปและกลายเป็นความหนาวเหน็บที่ย่างกรายเข้ามาปกคลุมแทนในเร็วๆนี้ มือหนาถูกสอดลงไปในกระเป๋าเสื้อด้านข้าง เขาหวนคิดตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เดินทางกลับมาเหยียบประเทศบ้านเกิด นานแค่ไหนที่เลือกจะหลีกหนีจากกลิ่นหอมหวานและความสวยงามของกลีบดอกสีชมพูนั้น

มันเป็นวันที่แสนสดใสท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิซึ่งดอกพีชสีชมพูบานเต็มต้นและบางส่วนก็ร่วงหล่นลงมากระจายอยู่ตามพื้น หลังเสียงกริ่งเลิกเรียนคาบสุดท้ายดังขึ้น จีมินเองก็รีบเก็บข้าวของลงกระเป๋านักเรียนก่อนพาตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมต้นอีกแห่งที่ไม่ได้ไกลจากโรงเรียนของเขามากนัก

จีมินยืนยิ้มให้กับการมองเด็กผู้ชายตัวเล็กที่วิ่งมาหาเขาพร้อมกระเป๋านักเรียนในมือ สองเดือนที่ย้ายมาเริ่มต้นในโรงเรียนใหม่แล้วหลังเลิกเรียนก็ต้องแวะรับใครอีกคนเพื่อเดินกลับบ้านด้วยกันในทุกๆครั้งไม่เคยเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ ตรงกันข้ามที่สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นความสุขเล็กๆในชีวิตของเขา และค่อยๆเข้ามาบรรเทาความเศร้าจากการสูญเสียครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ

ท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นสัญญาณว่าอีกไม่กี่นาทีสายฝนคงจะเทกระหน่ำลงมาแน่ ทั้งที่ก่อนหน้าไม่ได้มีวี่แววของเมฆฝนสักนิด แต่กลับกลายเป็นพวกเขากำลังจะเผชิญกับฝนหลงฤดูที่แม้แต่พยากรณ์อากาศยามเช้าเองก็ไม่ได้ระบุถึงด้วย

มือหนาเอื้อมมือที่ว่างไปจับมือข้างที่ไม่ได้ถือกระเป๋านักเรียนของคนที่เด็กกว่าเมื่อรับรู้ถึงหยดน้ำที่เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า จีมินประสานนิ้วมือเข้ากับนิ้วเล็กๆก่อนจะฉุดอีกฝ่ายให้วิ่งตามเพื่อไปยืนหลบฝนใต้กันสาดของร้านอาหารยุโรปที่อยู่ไกลออกไปด้านหน้า เพราะเขากลัวว่าอีกคนจะไม่สบายถ้าพากันเดินตากฝนไป

แผ่นหลังของคนสองคนพิงเข้ากับกำแพงอิฐสีน้ำตาลของร้านอาหารยุโรปขซึ่งหรูหราเกินกว่าเด็กชั้นมัธยมอย่างพวกเขาจะเข้าไปนั่ง จีมินหันไปมองคนข้างๆที่ยังคงไม่ได้ปล่อยมือออกจากนิ้วเล็กๆที่ประสานกันอยู่ เสียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยดังขึ้น คงเพราะถูกฉุดให้วิ่งตามมาโดยไม่บอกไม่กล่าว เลยไม่แปลกนักที่เด็กน้อยของเขาจะเหนื่อยเพราะไม่ทันได้เตรียมตัวให้พร้อม

สายฝนเริ่มสาดลงมาอย่างแรงจนกระเซ็นเข้ามาภายใต้กันสาดหลังคาที่ไม่ได้กว้างมากนัก จีมินรู้สึกถึงความชื้นของละอองฝนที่ซึมลงมาบนเสื้อผ้า และเพราะกลัวว่ามันจะทำให้เด็กข้างๆป่วยได้ เขาถึงได้ตัดสินใจก้าวไปประชิดตัวอีกคน

ท่ามกลางเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบลงพื้นมีเพียงบรรยากาศรอบข้างที่ปราศจากผู้คน ฝ่ามือหนายังคงสัมผัสถึงความอุ่นชื้นจากนิ้วมือเล็กที่เกาะเกี่ยวกันอยู่ จีมินเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายให้มากขึ้น ใช้แผ่นหลังตัวเองแทนกำแพงรับละอองความชื้นที่กระเด็นเข้ามา ส่วนมืออีกข้างที่ถือกระเป๋านักเรียนก็ถูกยกขึ้นเหนือศีรษะ บังไม่ให้หยดน้ำสาดไปจนถึงคนตัวเล็กกว่าได้ ใกล้จนกระทั่งมองเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์และผิวแก้มใสที่อยู่ต่ำลงไปเพียงปลายจมูกของเขาเท่านั้น

จีมินสูดเอากลิ่นหอมหวานเข้าปอด กลิ่นพีชที่เขาเองไม่แน่ใจว่ามาจากต้นไม้ที่ถูกปลูกเรียงรายอยู่ตามถนน หรือมาจากร่างเล็กๆ เจ้าของดวงตากลมโตและพวงแก้มสีระเรื่อที่เงยหน้าสบสายตากับเขาอยู่กันแน่ เป็นอีกครั้งที่จีมินนึกหลงรักดอกไม้ชนิดนี้ ทั้งกลิ่นหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ และสีอมชมพูอ่อนๆที่อยู่เฉียดใกล้กับใบหน้าเขา

จวบจนกระทั่งที่ฝนหยุดตกเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้นิ้วเล็กๆนั้นเป็นอิสระ ยังคงเกาะเกี่ยวประสานมันไว้ในขณะที่เดินเคียงข้างกันไปตามเส้นทางกลับบ้าน น่าแปลกเหลือเกินที่ไฟฟ้าสถิตซึ่งมักเกิดขึ้นตอนฤดูหนาวกลับวิ่งปราดจากปลายนิ้วเข้าสู่ร่างกายของเขาท่ามกลางความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิและสายฝนที่ตกลงมานอกฤดูกาลแบบนี้ และถึงแม้จีมินจะอยากให้ฤดูใบไม้ผลิดำเนินต่อไปมากขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วกาลเวลาก็คือสิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป เหนือความสามารถที่เขาจะหยุดมันเอาไว้ได้

ตึ้ง

เสียงข้อความดังจากเครื่องมือสื่อสารที่ถูกเก็บอยู่ภายใต้เสื้อโค้ท จีมินหยิบมันขึ้นมาก่อนจะเลือกกดโทรกลับแทนการตอบข้อความนั้น

‘จีมินเป็นยังไงบ้าง’ เสียงปลายสายดังขึ้นแทบจะทันทีที่มีเสียงรอสาย

“สบายดีครับคุณน้า ตอนนี้ผมมาถึงเกาหลีแล้ว” ร่างหนาเลือกจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ริมทางซึ่งว่างเปล่าปราศจากผู้คน เพราะเวลาที่เริ่มจะดึกแล้ว

‘ถ้าว่างๆก็กลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้างนะ แทฮยองเองก็บ่นคิดถึงบ่อยๆ’

“ครับ”

‘งั้นน้าไม่รบกวนจีมินดีกว่า เดี๋ยวขอเวลาไปโทรหาลูกชายตัวดีบ้าง ไปเที่ยวบ้านเพื่อนทั้งทีไม่คิดจะโทรกลับมาหาแม่เลย’

หลังวางสายไปและเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าเสื้อโค้ทดังเดิมแล้วเขาก็ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกตัวเองให้หลุดลอยไปกับความทรงจำเก่าๆอีกครั้ง ชื่อของใครบางคนที่ถึงจะไม่ได้ยินบ่อยๆแต่ยังคงจดจำได้ขึ้นใจเสมอ ทั้งใบหน้าหวาน รอยยิ้มสดใส และน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ไม่มีอะไรของคิมแทฮยองที่เวลาห้าปีจะลบเลือนมันจากความทรงจำของเขาได้

จีมินหลับตาลงช้าๆ ปล่อยความรู้สึกบางอย่างไปกับสายลมเย็นๆที่พัดผ่านร่างกายอีกครั้ง คิดถึง โหยหา ความรู้สึกที่มีแค่เด็กคนนั้นที่เป็นเจ้าของ

อเมริกา ประเทศแห่งเสรีภาพคือสถานที่ที่จีมินเลือกจะไปตอนที่ฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้นมาถึง ในคืนฉลองวันเกิดของเขาที่ไม่ได้มีพ่อแม่อยู่ด้วยเป็นปีแรก แต่กลับมีเด็กผู้ชายคนนึงที่เดินถือเค้กมาให้ ร้องเพลงวันเกิดให้ รวมทั้งอธิษฐานขอพรให้เขาอีก มันกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่สำคัญที่สุดใน จีมินอยากให้เวลาหยุดลงตรงนั้นตลอดไป หยุดอยู่ในปีที่เขาอายุ 18 แต่เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่ควรทำแบบนั้น กับครอบครัวของผู้มีพระคุณ กับน้องชายคนใหม่ สิ่งที่เขาควรจะทำคือการเป็นพี่ชายที่ดีของคิมแทฮยองเท่านั้น

รอยยิ้มสดใสหายไปในวินาทีที่เขาบอกการตัดสินใจของตัวเอง ใบตอบรับทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยในอเมริกาถูกหยิบออกมาให้ทุกคนเห็น ท่ามกลางการชื่นชมจากคุณอาและคุณน้าทั้งสอง จีมินมองเห็นเพียงความเศร้าอยู่ในดวงตากลมสวยคู่นั้น

เขารวบรวมความกล้าอยู่นานหลังประตูไม้บานหนึ่ง จนกระทั่งเจ้าของห้องนอนเปิดออกมาเจอโดยบังเอิญ จีมินส่งยิ้มให้ร่างบางก่อนจะเอ่ยขอบใจอีกคนสำหรับเค้กลูกพีชที่ดูก็รู้ว่าคงเป็นอีกฝ่ายที่เลือกให้ ดวงตาที่เคยสดใสทอประกายเศร้าหมองยามเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ร่างหนาได้แต่ส่งยิ้มเบาๆก่อนจะพันผ้าพันคอไหมพรมสีชมพูที่ตัวเองตั้งใจเลือกซื้อมาลงบนลำคอสวย จีมินรู้ดีว่าเขามีเวลาเพียงแค่สิ้นสุดฤดูใบไม้ร่วงนี้เท่านั้น เมื่อใดที่ลมหนาวมาเยือน เขาคงไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลแทฮยองอีก เขาต้องก้าวออกไปเริ่มต้นใหม่ เริ่มใหม่โดยที่มีคิมแทฮยองเป็นพียงน้องชายอย่างที่ควรจะเป็น

‘พี่จะลืมเขาหรือเปล่า’ คำถามที่จีมินไม่ได้ตอบกลับ ทำเพียงยื่นนิ้วมือออกไปเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาบนพวงแก้มสวย แทฮยองยังคงถามซ้ำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะปิดตาลงปล่อยให้หยดน้ำตาสีใสไหลลงมามากขึ้น จีมินวางฝ่ามือลงบนกลุ่มผมนิ่ม ลูบมันเบาๆแล้วคว้าอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขน เขากดจูบลงบนเปลือกตาสีอ่อนทั้งสองข้างของคนที่ยืนร้องไห้ ก่อนเคลื่อนย้ายริมฝีปากไปประทับลงที่มุมปากสวย “พี่ไม่มีทางลืมนายหรอก น้องชายคนสำคัญของพี่”

ความทรงจำในอดีตจบลงในวันที่ใบของต้นพีชร่วงลงบนพื้นจนหมด จีมินเลือกมาเรียนต่อที่อเมริกาและใช้ชีวิตในการทำงานปีแรกที่นั่น เขาไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนประเทศบ้านเกิดอีกถึงแม้จะสามารถทำได้ มีเพียงโทรศัพท์ข้ามประเทศหาคุณน้าคุณอาคิมบ้างบางครั้งเท่าที่มีโอกาส ในขณะที่กับแทฮยอง จีมินกลับเลือกจะหลีกเลี่ยงไม่คุยกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

 

ลมเย็นๆพัดผ่านมาอีกครั้งในขณะที่จมูกกลับได้กลิ่นดอกพีชที่มากับสายลมด้วย ทั้งที่ตอนนี้ที่เขายอมเดินทางกลับมาเกาหลีอีกครั้งแต่ในเมืองที่ห่างไกลจากที่เคยอยู่เพื่อร่วมงานฉลองแต่งงานของเพื่อนสนิทอย่างจองกุกนั้นอยู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบต้นพีชร่วงหล่นอยู่เต็มพื้น ไม่เหลือดอกสีชมพูสวยแม้เพียงสักกลีบอยู่บนต้น แต่เขากลับได้กลิ่นดอกพีชลอยเข้าจมูก จีมินได้แต่เดาว่ากลิ่นหอมนั้นอาจจะมาจากไวน์พีชในงานเลี้ยงฉลองของจองกุกที่ยังคงทิ้งรสหวานไว้บนปลายลิ้น หรืออาจจะมาจากส่วนลึกของความรู้สึกที่ยังคงวนเวียนคิดถึงกลิ่นนั้น คิดถึงสัมผัสอุ่นๆบนปลายนิ้วมือที่หลงเหลือทิ้งไว้ คิดถึงช่วงอายุสิบแปดที่เขาอยากจะย้อนเวลากลับไปแต่ก็ทำไม่ได้

สุดท้ายแล้วจีมินอาจจะแค่คิดถึง คิดถึงคิมแทฮยองน้องชายคนสำคัญเท่านั้น

เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เสียงนั้นดังและใกล้เข้ามาเรื่อยๆก่อนจะหยุดลงเมื่อจีมินได้ยินมันชัดมากขึ้นเหมือนมีใครสักคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ปลายจมูกสูดเอากลิ่นพีชที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเข้าปอด ก่อนที่ดวงตาซึ่งปิดสนิทของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมทางจะค่อยๆเปิดขึ้น

จีมินมองเห็นปลายไหมพรมสีชมพูของผ้าพันคอที่ใครคนนึงตรงหน้าของเขาพันอยู่ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่จู่ๆกลับรู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิเมื่อห้าปีที่แล้วได้เริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง

END OR TBC.

ใส่ความเห็น