ตลอดไปมินวี

SF : Twilight I

พื้นรองเท้าหนังกระทบไม้กระดานอย่างเบาแผ่วจนแทบไร้เสียงดังให้ได้ยินเข้าหู ก่อนที่ร่างสูงในชุดยูนิฟอร์มเต็มยศจะหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูไม้บานหนึ่งซึ่งเขาคุ้นเคยดีกับเจ้าของห้องที่อยู่ในนั้น ทาบหลังมือลงบนเนื้อไม้แล้วเคาะเบาๆเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเขามาถึงแล้ว

ทันทีที่ได้ยินเสียงตอบรับ คีนก็ผลักบานประตูเพื่อก้าวเดินเข้าไปในห้อง แสงไฟสีขาวนวลบนเพดานสาดส่องลงมาเบื้องล่างจนเห็นใครอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่ไม่เคยบ่งบอกอารมณ์ภายในให้ใครรับรู้ ยกเว้นเพียงดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นที่หากสังเกตดีๆจะมองเห็นคลื่นอารมณ์ที่ถูกซุกซ่อนอยู่

“ยังไม่นอนหรอครับ” ถามออกไปจนเรียกสายตาที่เหม่อลอยออกนอกหน้าต่างให้หันกลับมาในห้องได้อีก ก่อนที่ร่างบอบบางในชุดนอนสีเทาอ่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฉันนอนไม่หลับเลย”

คีนถือวิสาสะเดินไปยังเตียงนอนเพียงหลังเดียวในห้อง เพราะวอร์เรนเป็นถึงลูกชายของผู้อำนวยการโรงเรียนและควบตำแหน่งประธานนักเรียนด้วย จึงไม่แปลกนักที่เจาตัวจะได้สิทธิพิเศษเหนือนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มตั้งแต่ห้องพักส่วนตัวที่ไม่ต้องพักรวมกับเพื่อนคนอื่นๆ หรือแม้แต่ห้องประจำตำแหน่งในอาคารเรียนที่จัดไว้ให้พักผ่อนและปฏิบัติงานในฐานะประธานนักเรียนด้วย

คีนเปิดผ้าห่มซึ่งคลุมเตียงอยู่ในสภาพเรียบร้อยออกแล้วเดินก้าวไปหาคนที่ยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง ทั้งที่ท้องฟ้านั้นมืดมิดไม่มีดวงจันทร์เพราะเป็นคืนเดือนมืด แต่เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินเข้มก็ยังทอดมองออกไปราวกับมีอะไรน่าสนใจอยู่บนนั้น

“พักผ่อนเถอะครับ” ประโยคเดียวที่เอ่ยขึ้นพาเอาคนที่นั่งมองฟ้ามาหลายชั่วโมงยอมลุกขึ้นเดินกลับมาที่เตียงนอนจนได้ วอร์เรนสอดตัวเองเข้าใต้ผ้านวมผืนหนา โดยมีฝ่ามือใหญ่ของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงที่ยื่นมาจัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย แต่ก่อนที่คีนจะขยับไปไหน มือเล็กก็ฉวยคว้าข้อมือหนาเอาไว้ก่อน

“ผมจะอยู่จนกว่าคุณหลับ” คีนวางมือข้างที่ไม่ได้ถูกจับลงบนมือบางของวอร์เรนที่จับเขาอยู่ ไม่มีรอยยิ้มปลอบประโลมหรือคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากคนร่างสูงอีก นอกจากการที่เจ้าตัวเดินไปลากเก้าอี้ที่วอร์เรนเคยนั่งอยู่เมื่อครู่มาวางลงข้างเตียงแล้วจับจองลงบนพื้นที่นั้นแทน

กลิ่นสะอาดๆของคีนทำให้วอร์เรนยอมปิดเปลือกตาสีอ่อนลงในขณะที่ปล่อยร่างกายตัวเองผ่อนคลายมากขึ้น แค่มีคนๆนี้อยู่ข้างๆความรู้สึกหนักอึ้งที่วนเวียนอยู่ทั้งวันก็ดูเหมือนจะถูกปัดเบาไปจนเบาบางลง ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มนุ่มซึ่งเลือนลางอยู่ข้างหูจะค่อยๆทำให้สติของคนที่นอนหลับตาอยู่หลุดลอยหายไปช้าๆ
“ฝันดีครับคุณวอร์เรน”
อ่า เจ็บจัง ความรู้สึกที่มาพร้อมของเหลวสีแดงจากรอยถลอกบนหัวเข่าเกือบจะเรียกเอาหยดน้ำตาให้ร่วงจากดวงตากลมคู่นั้นแล้ว ริมฝีปากจิ้มลิ้มขบเข้าหากันจนสั่นระริกด้วยความอดกลั้น ในขณะที่ใช้นิ้วมือป้อมสั้นปาดเอาน้ำตาที่หางตาออก
“เป็นอะไรมากมั้ย” เสียงถามอย่างร้อนรนดังมาจากด้านหลัง เด็กชายวัยห้าขวบที่ยืนหน้าซีดเมื่อเห็นโลหิตสีแดงซึมออกมาจากหัวเข่าสองข้าง ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนหกล้ม แต่เจ้าตัวกลับทำสีหน้าเจ็บปวดจวนเจียนจะร้องไห้ออกมารอมร่อ

“เจ็บมากหรือเปล่า” เพราะกลัวว่าคนที่ยืนมองจะร้องไห้ออกมา เขาถึงได้จำใจกัดฟันส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ได้เจ็บอะไร สองมือน้อยค่อยๆพยุงเขาให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกะเผลกไปด้วยกันทีละนิด

“ไม่เจ็บจริงๆนะ ถ้าตัวเจ็บเราก็จะเจ็บด้วย” ถ้อยคำที่ราวกับคำปฏิญาณว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกนั้นก็จะส่งไปถึงอีกคนเสมอ

ระยะทางที่ไม่ได้ห่างไกลจากสนามหญ้าไปจนถึงตัวบ้านซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่โตทรงยุโรปสีครีม เขามองไปเห็นผู้หญิงสวยคนนึงในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าซึ่งยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า วันนี้เธอดูแปลกตาไปจากปกติที่มักจะปล่อยผมยาวสลวยแต่กลับเลือกมัดให้เป็นมวยอยู่กลางศีรษะ แต่สิ่งที่ผิดปกติที่สุดนั้นไม่ใช่ทรงผมที่เปลี่ยนไป แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูกว้างแสะสดใสกว่าทุกที่

“แม่” เสียงตะโกนดังจากคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ก่อนที่มือน้อยซึ่งคอยประคองเขามาตั้งแต่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านจะปล่อยออกเสียดื้อๆ ร่างกลมป้อมนั้นก็รีบวิ่งถลาไปกอดหญิงสาวผู้เป็นแม่ และทันทีที่ไร้มือคู่น้อยคอยพยุง ร่างของเขาที่โซเซเพราะบาดแผลที่หัวเข่าก็ทรุดลงกระแทกกับพื้น

“อ..โอ๊ย” ความรู้สึกเจ็บกลับมาอีกครั้ง จนกลายเป็นหยดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาเต็มสองแก้ม

“แม่” เขาตะโกนร้องเรียกออกไปในขณะภาพตรงหน้าคือผู้หญิงคนเดิมซึ่งส่งเสียงหัวเราะสดใสให้ลูกชายตัวน้อยที่วิ่งถลาเข้ามากอด ก่อนที่ฝ่ามือเรียวบางคู่นั้นจะอุ้มช้อนตัวบุตรชายสุดที่รักขึ้นมาในวงแขน

“วาเรีย” อีกครั้งที่ตะโกนออกไปในขณะที่พยายามพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก หยดน้ำตาที่อาบนองหน้าทำให้ภาพที่มองเห็นพร่าเลือนไม่น้อย มีเพียงเสียงหัวเราะของทั้งสองคนที่ยังคงดังชัดเจนเข้ามาในหู

“ผมอยู่นี่” หากแต่ไม่ว่าจะตะโกนเสียงดังขนาดไหน สองร่างนั้นก็ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ เมื่อผู้เป็นแม่อุ้มพี่ชายที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากเขาเดินเข้าไปภายในบ้าน โดยไม่หันมาสนใจเขาสักนิด เขาที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ที่พื้นพร้อมกับแผลถลอกและเลือดที่เข่าทั้งสองข้าง

“เจ็บจังเลยวาเรีย” เขาได้แต่ปล่อยโฮออกมาเมื่อภาพหลังม่านน้ำตาเหลือเพียงความว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว มือเล็กๆกุมหัวเข่าที่เลือดยังคงไหลซิบๆ ไม่ใช่แค่แผลที่รู้สึกเจ็บปวด แม้แต่หัวใจดวงเล็กๆของเด็กห้าขวบก็ถูกบีบรัดจนเจ็บไปหมด เขาปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างสุดจะกลั้น เปล่งเสียงร้องไห้ดังราวกับหวังว่าหนึ่งในสองคนนั้นจะนึกได้ว่าเขายังถูกทิ้งไว้อยู่นี่ หากแต่ไม่ว่าจะร้องไห้คร่ำครวญอยู่นานแค่ไหน จนกระทั่งโพรงจมูกแสบร้อนและหายใจไม่ออก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสักคนที่จะหันกลับมามองเขาอีก

หยดน้ำตาไหลลงมาจนซึมลงหมอนใบใหญ่ที่ใช้หนุนอยู่ วอร์เรนรู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความมืดและเงียบสงัดของยามกลางคืน เขามองไปยังเก้าอี้ข้างเตียงนอนที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้วี่แววของใครบางคนที่เคยนั่งอยู่ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ในขณะที่ประตูห้องนั้นก็ถูกล็อคลงกลอนให้เรียบร้อย

มือบางปาดหยดน้ำตาที่ยังคงเปื้อนข้างแก้มจากความฝันที่ทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เข่าสองข้างไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนในฝันอีกแล้ว หลงเหลือแต่ความรู้สึกบีบรัดจนหายใจไม่ออกที่ยังคงอยู่ รอยยิ้มเย้ยหยันถูกจุดขึ้นที่มุมปากเมื่อนึกถึงภาพของเด็กชายวัยห้าขวบสองคนในอดีต สุดท้ายแล้วคำปฏิญาณนั้นก็ไร้ความหมาย

เมื่อความรู้สึกของพวกเราไม่ได้สื่อถึงกันอีกแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดตลอดมา

 

2bf_flowerbar1

 

“เรื่องของเจฟเป็นยังไงหรอ” วาเรียถามคนที่ยังนั่งกระพริบตาปริบๆอยู่ในชุดนอนลายลูกเจี๊ยบตัวเดียวกับเมื่อคืนเป๊ะ อันที่จริงเขาแทบไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่หันไปมองกระจกแล้วเห็นขอบตาที่ดำคล้ำของตัวเอง มันก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนให้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน มันคือความจริงที่ทำให้เขาได้แต่นอนหลับตาปี๋ทั้งคืนภายในอ้อมกอดของคนตรงหน้า จะหลับก็หลับไม่ลง จะลืมตาเขาก็ไม่กล้า
“เล่าไปนายจะไม่กลัวหรอ” วาเรียอยากจะถามจูเลี่ยนกลับไปเหลือเกินว่าแล้วการที่จูเลี่ยนไม่เล่าจะทำให้เขาหายกลัวตรงไหน ในเมื่อสุกท้ายแล้วเขาก็กลวอยู่ดี เพราะงั้นเขาเลือกจะรู้ทุกอย่างให้หมดเลยดีกว่า อย่างน้อยเผื่อครั้งหน้าพบเจออะไรแปลกๆอีกเขาจะได้ตั้งตัวถูก ไม่ช็อคไปเสียก่อน

“เล่าเถอะ คงไม่กลัวหรอก” จูเลี่ยนกลั้นยิ้มให้กับคำพูดของคนที่บอกว่าไม่กลัว อีกฝ่ายคงไม่รู้ตัวว่ากำลังกำมือเขาน่นมากขนาดไหน ยิ่งเห็นเขาขยับปากจะเล่า วาเรียก็ยิ่งบีบมือเขาแน่นขึ้นไปอีก
“หมอนั่นน่ะ เป็นรูมเมทของฉันกับเรมี่ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้วันแรก” จูเลี่ยนเล่าถึงเรื่องราวตอนที่เข้าเพิ่งเข้ามาเป็นนักเรียนปี 1 ของที่นี่ วันแรกที่ได้พบรูมเมทสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หนึ่งคือเรมี่เด็กผู้ชายตัวสูงโย่งสวมแว่นตาหนาเตอะที่มักจะมีหนังสือติดมืออยู่เสมอ และสองคือเจฟเพื่อนขี้เล่นที่มักมีเรื่องราวสนุกๆหลุดจากปากให้ได้ยินอยู่ตลอด

“อันที่จริงก็ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงหรือเรื่องราวทั้งหมดหรอก” จูเลี่ยนจำได้แค่ว่าเรื่องราวเกิดขึ้นในสิ้นสุดฤดูร้อนคือปลายเดือนตุลาคม มันเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่าเจฟมีบางอย่างแปลกไป หมอนั่นมักจะติดตามเรมี่ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดบ่อยๆทั้งที่ปกติเจ้าตัวไม่ใช่คนรักการอ่านมากนัก และหนังสือที่อีกฝ่ายออกจะติดอยู่สองสามเล่มก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับแม่มดซึ่งเขากับเรมี่เองพูดเสมอว่าดูไร้สาระ

จูเลี่ยนมีโอกาสได้อ่านหนังสือนั้นอยู่บ้างไม่กี่ครั้งเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล่าของบุคคลหลายคนที่กล่างอ้าวว่าเคยเจอแม่มด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรให้เชื่อถือได้เขาเลยเลือกจะโยนมันทิ้งมากกว่าจะอ่านให้จบ แล้วจวบจนเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นและผ่านพ้นไปเขาก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปอ่านหนังสือพวกนั้นอีก

ในความทรงจำลางๆของจูเลี่ยนเหมือนว่าเจฟจะหมกหมุ่นกับเรื่องราวน่าเหลือเชื่ออยู่ราวเกือบอาทิตย์ อีกฝ่ายมักจะใช้เวลาอยู่ห้องสมุดจนดึกดื่นและกลับถึงหอพักในเวลาเกือบจะห้าทุ่มเที่ยงคืนของทุกวัน ซึ่งจูเลี่ยนเองก็ไม่ได้อะไรกับเรื่องนี้นัก เพราะคิดว่าอีกไม่นานอีกฝ่ายคงจะหมดความสนใจไปเอง

เพียงแต่มันไม่ได้จบลงแบบที่เขาคิด คืนวันสุดท้ายของเดือนตุลาคมที่เขากับเรมี่เข้านอนไปแล้วเจฟไม่ได้กลับมาที่ห้องเหมือนทุกครั้ง และในเช้าวันแรกของการเริ่มเดือนใหม่ ฤดูกาลใหม่ เขาก็พบว่าเจฟไม่สามารถกลับมาที่ห้องได้อีกแล้ว ร่างของเพื่อนสนิทนั้นไม่อยู่ในสภาพที่น่าดูนัก กลางระเบียงทางเดินที่ทอดยาวนั้นมีรอยเลือดหยดอยู่เป็นจุดๆก่อนจะไปสิ้นสุดลงในห้องเรียนห้องหนึ่ง มันยังติดตาเขาจนถึงทุกวันนี้กับชิ้นส่วนของนิ้วมือนิ้วเท้าที่รุ่งริ่งจนเกือบจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ หากแต่ยังเชื่อมต่อกับฝ่ามือฝ่าเท้าด้วยหนังกำพร้าขนาดเพียงหนึ่งถึงสองมิลลิเมตรที่หากกระชากหรือกดคมมีดลงไปอีกนิดเดียวก็คงจะหลุดออกจากกันได้

จูเลี่ยนไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเจฟถึงได้อยู่ในสภาพแบบนั้น ไม่มีอาวุธ ไม่พบร่องรอย ราวกับทุกอย่างอันตรธานหายไปจนหมด รวมทั้งนิ้วก้อยเท้าที่หายไปจากศพด้วย และแน่นอนว่าเรื่องเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกเก็บเงียบด้วยอิทธิพลของโรงเรียนที่มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลัง เงียบราวกลีบไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

“แล้วเจฟกลับมาได้ยังไง” จูเลี่ยนส่ายหน้าให้กับคำถามของวาเรียเพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบของคำถามนี้ อยู่ดีๆวันนึงหลังจากที่เพื่อนตัวดีจากไปไม่นานอีกฝ่ายก็ปรากฏตัวในร่างโปร่งแสงที่ไล่ตามหานิ้วก้อยเท้าตัวเองอยู่ทุกคืน ในตอนแรกจูเลี่ยนเองก็ยอมรับว่าตกใจนิดหน่อย แต่เพราะไม่ว่าจะตอนเป็นหรือตอนตายแล้วเจฟก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร รวมกับความเป็นเพื่อนสนิทกันก่อนหน้า สุดท้ายเขากับเรมี่เองก็เคยร่วมด้วยช่วยกันตามหานิ้วก้อยเท้าให้อีกฝ่ายด้วย

“หมอนั่นเองก็จำไม่ได้ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหมือนความทรงจำมันหายไปเฉยๆ ส่วนนิ้วก้อยก็พยายามหาทุกที่แล้ว แต่ก็ไม่เจออยู่ดี” เพราะงั้นเขากับเรมี่เองถึงได้ถอดใจเลิกตามหา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าของนิ้วเท้าที่ต้องระลึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ได้

วาเรียพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเจฟช่างน่าสงสาร แต่อย่างไรเขาเองก็ไม่อาจทำให้ใจชินกับเรื่องราวแปลกๆในโรงเรียนนี้ได้อยู่ดี และได้แต่ภาวนาว่าระยะเวลาหลังจากนี้ จะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือคนใกล้ชิดเขาจนกว่าจะถึงวันจบการศึกษาออกจากที่นี่

 

2bf_flowerbar1

 

โรงอาหารในตอนเช้ายังคงคึกคักไปด้วยนักเรียนไม่ต่างจากเมื่อวานนี้ ในตอนเช้าก่อนที่คาบเรียนจะเริ่มขึ้นพวกเขามีเวลาอยู่พอสมควรสำหรับมื้อเช้าที่มีอาหารหลายอย่างให้นักเรียนเลือกทานตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังปิ้ง นม น้ำผลไม้ หรือแม้แต่ซุปที่ทางโรงเรียนจัดไว้

วาเรียใช้เวลาไม่นานในการจัดการนมกับขนมปังปิ้งของตัวเอง ในขณะที่จูเลี่ยนเลือกซุปมะเขือเทศเป็นมื้อเช้า ส่วนเรมี่เองก็ยัดขนมปังทาแยมเข้าปากทั้งๆที่มือยังถือหนังสือวรรณคดีอังกฤษอยู่ มันเป็นเช้าวันที่สองในบรรยากาศสบายๆซึ่งทำให้วาเรียคิดว่าเขากำลังเริ่มปรับตัวเข้ากับโรงเรียนแห่งนี้ได้ไแล้ว และมันก็เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดูดีกว่าที่คิด

เสียงร้องเหมียวๆดังมาจากใต้โต๊ะ ก่อนที่วาเรียจะก้มลงไปพบกับเจ้าแมวเปอร์เชียขนฟูสีขาวที่มีสีดำแซมๆอยู่บนใบหน้าซึ่งกำลังเอาลำตัวอ้วนๆมาพันแข้งพันขาอยู่ บนคอของเจ้าแมวอ้วนกลมมีปลอกคอเหล็กที่สลักเป็นตัวอักษรว่า ‘AIRI’ ซึ่งวาเรียคิดว่าเจ้าของของมันกคงจะอยู่ในโรงอาหารแห่งนี้

“ไอริไปซนที่ไหนคะ” วาเรียถึงกับถอนหายใจเบาๆให้กับเสียงแหลมสูงกับท่าทางเชิดๆของคนที่เดินเข้าใกล้พร้อมถือแก้วน้ำส้มคั้นอยู่ในมือ วันนี้โรอายังคงดูดีและวางท่าไม่ต่างจากเมื่อวานที่เจอกันครั้งแรก เพียงแต่ผมบลอนด์ที่เคยปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง วันนี้เจ้าตัวกลับเลือกเป็นเด็กสาวทวินเทลที่มัดรวบผมสองข้างแล้วปล่อยลงมาด้านหน้าแทน

เจ้าแมวอ้วนที่เคยคลอเคลียอยู่ที่ขาของวาเรียพอได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็ส่งเสียงร้องพร้อมเดินนวยนาดพาร่างอ้วนๆออกมาจากใต้โต๊ะตัวยาวที่ซ่อนตัวอยู่ วาเรียสังเกตเห็นสีหน้าบึ้งตึงราวกับไม่พอใจบนใบหน้าสวยของโรอาแวบนึงก่อนที่มันจะหายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เขารู้สึกว่าไม่น่าไว้วางใจแทน

“มาซนอะไรแถวนี้คะ แม่ตามหาตั้งนานแหน่ะ” แม่สาวทวินเทลที่ก้มลงไปช้อนแมวตัวเองขึ้นมาอุ้มก่อนจะกดริมฝีปากซึ่งเคลือบลิปสติกสีแดงลงบนปากเล็กๆของเจ้าขนฟูในอ้อมแขน ในขณะที่เจ้าแมวตัวน้อยก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากเจ้าของอย่างรักใคร่ เพียงแค่ได้ยินเสียงและเห็นใบหน้าสวยเริ่ดเดินเข้ามาใกล้ ลางสังหรณ์บางอย่างก็เตือนให้วาเรียรู้ว่าเช้าที่ไปได้สวยของเขาจะต้องวุ่นวายแน่

“ว้าย” วาเรียไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตกใจเสียงร้องที่ดังขึ้นอย่างจงใจหรือตกใจกับความเปียกชื้นที่รดลงบนยูนิฟอร์มของตัวเองก่อน กลิ่นน้ำส้มคั้นฟุ้งกระจายไปทั่วตัวและตีเข้าจมูกจนทำให้แน่ใจว่าน้ำส้มคั้นที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้นั้นเป็นน้ำส้มที่คั้นมาจากลูกจริงๆ ไม่ใช่แค่น้ำส้มกล่องถูกๆที่ขายอยู่ทั่วไปตามมินิมาร์ท อย่างน้อยเกล็ดส้มที่ติดอยู่บนยูนิฟอร์มสีดำของเขาในตอนนี้ก็การันตีเรื่องนี้ให้ได้ แล้วไหนจะความเหนียวหนึบหนับบนตัวเขาอีก

“อย่าดิ้นสิคะไอริ น้ำส้มหกหมดเลย อ่า ขอโทษทีนะจ๊ะ พอดีมันไม่ถนัดมือเลยเผลอทำหกใส่” แย่ แย่ แย่ มันแย่ในความคิดของเขา ถึงจะไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมมากนักแต่วาเรียเองก็ไม่ได้ซื่อเสียจนดูไม่ออก ดูเหมือนนอกจากจะต้องทำใจให้ชินกับเรื่องรูมเมทโปร่งแสงแล้ว เขายังต้องทำใจกับการกลั่นแกล้งที่ไร้เหตุผลของโรอาด้วย

“ช่างเถอะ” วาเรียไม่ได้บอกคู่กรณีของตัวเองแต่เขากำลังพูดกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเองต่างหาก ทั้งที่เขาเป็นคนเปียกแท้ๆ แต่จูเลี่ยนกลับดูโกรธมากกกว่าเขาเสียอีก คนตัวเล็กที่เคยดูสดใสในชุดนอนลายลูกเจี๊ยบ ตอนนี้กำลังส่งสายตาอาฆาตไปยังหญิงสาวที่หันหลังเดินอุ้มจากไปอย่างอารมณ์ดี

“ไม่น่าห้าม” จูเลี่ยนบ่นคนตัวบางตลอดทางที่เขาลากข้อมืออีกฝ่ายพาเดินกลับห้องเพื่อไปเปลี่ยนชุด พวกเขาคงไม่สามารถเข้าชั้นเรียนโดยที่มีกลิ่นน้ำส้มคั้นลอยฟุ้งอยู่ทั่วตัวแบบตอนนี้ หรือปล่อยให้วาเรียนั่งเรียนโดยมีเกล็ดส้มมากมายติดอยู่ตามเสื้อผ้า ยิ่งนึกย้อนกลับไปจูเลี่ยนก็ยิ่งโมโห โมโหทั้งคนที่เป็นฝ่ายแกล้งแล้วก็คนที่ถูกแกล้งนั่นแหล่ะ

“ไม่อยากให้มีเรื่องนี่ เปียกนิดหน่อยเองด้วย” ฝ่ามือบางข้างที่ไม่ได้ถูกจูงกำหนังสือเรียนในมือแน่น อันที่จริงเปียกแค่ตัวเขาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่หนังสือเรียนที่ถูกวางไว้บนเก้าอี้ยาวข้างตัวตอนกินข้าวที่เปียกน้ำส้มไปด้วยนี่แหล่ะ ดูเหมือนเขาจะต้องรีบเอามันไปเป่าให้แห้งก่อนที่มันจะเสียหายไปมากกว่านี้ ซึ่งก็หวังว่ามดจะไม่ขึ้นหนังสือเรียนเขาน่ะนะ

“โรอาน่ะไม่ถูกกับวอร์เรน พอเจอนายที่หน้าเหมื…อ่า คล้ายกับวอร์เรนก็เลยจงใจแกล้งน่ะสิ”

 

 
ทันทีที่เดินกลับเข้ามาถึงหอพักสิ่งแรกที่วาเรียทำก็คือถอดเสื้อคลุมข้างนอกออกแล้วเดินไปหาผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้ามานั่งลงบนเตียงแล้วเช็ดหน้าหนังสือที่เปียก โชคดีที่ว่ามันไม่ได้เสียหายมากเท่าไหร่ แต่จากเวลาที่ดูเวลาแล้ว เขาคิดว่าพวกเขาคงจะพลาดคาบเรียนตอนเช้าแน่ๆ เพราะหลังจากนี้เขาคงต้องอาบน้ำใหม่อีกรอบเพื่อเอาความเหนียวบนตัวออกไปให้หมดก่อนแล้วถึงจะเปลี่ยนชุดใหม่กลับเข้าไปนั่งเรียนได้

“ทำนายไม่ได้เข้าเรียนเลย ขอโทษทีนะ”
“ขอโทษทำไม นายไม่ได้ผิดสักหน่อย คนที่ผิดคือโรอาต่างหากเล่า” ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองคนที่ตั้งใจเช็ดหนังสือที่เปียก จูเลี่ยนพาร่างของตัวเองไปนั่งลงบนเตียงข้างๆวาเรีย เขารู้ว่าวาเรียรู้ดีเรื่องที่โรอาตั้งใจแกล้งตัวเอง แต่ที่ไม่เข้าใจคือการที่คนตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองเลยมากกว่า

“ไม่โกรธบ้างหรอ” ดวงตากลมโตสีน้ำตาลไหม้เงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนที่รอยยิ้มสี่เหลี่ยมจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย รอยยิ้มที่ดึงความสนใจของจูเลี่ยนไปตั้งแต่ที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้าชั้นเรียนมาครั้งแรก

“ไม่รู้ว่าโกรธไปแล้วจะได้อะไร ยังไงก็เปียกไปแล้ว” จูเลี่ยนยิ้มให้กับคำตอบที่ไม่คาดคิด คนตรงหน้ายังคงวุ่นวายกับการใช้ผ้าเช็ดตามหน้าหนังสือที่เปียกจนไม่ได้สนใจว่าเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวของตัวเองจะเปียกจนแนบไปกับผิวเนื้อบริเวณอก แล้วไหนจะกลิ่นน้ำส้มคั้นเปรี้ยวๆหวานๆซึ่งจูเลี่ยนไม่ชอบนัก เพราะมันกลบกลิ่นหอมอ่อนๆบนตัววาเรียไปหมด

“ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ไม่โกรธหรอ”

“หืม” คนตรงหน้าชะงักไปหน่อยก่อนเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำถาม จูเลี่ยนมองลูกแก้วสีน้ำตาลไหม้อย่างครุ่นคิด มันใสบริสุทธิ์จนเผลอดึงสิ่งที่เขาคิดให้หลุดออกจากปาก

“ถ้าฉันเป็นคนทำล่ะ จะโกรธหรือเปล่า”
วาเรียยอมรับว่าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของจูเลี่ยนมากนักเลยไม่รู้ว่าจะตอบอะไร แต่พอลองนึกย้อนไปถึงรอยยิ้มและคำทักทายในครั้งแรก ฝ่ามือที่ลูบหลังปลอบให้หายกลัวโดนเจอเจฟ หรือแม้แต่ท่าทางโกรธแทนเขาในโรงอาหารเมื่อครู่

“ถ้าเป็นจูเลี่ยนก็ไม่โกรธหรอก” วาเรียมั่นใจว่าคนตรงหน้าจะไม่ทำอันตรายเขาแน่ๆ
“เราเป็นเพื่อนกันนี่ ถ้าทำร้ายกันจริงๆ ฉันเชื่อว่านายไม่ได้ตั้งใจ” เพราะใบหน้าที่ก้มต่ำวาเรียถึงไม่รู้ว่าจูเลี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่ เขามองไม่เห็นดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นว่ากำลังสะท้อนอารมณ์แบบไหน รู้แค่การเคลื่อนไหวที่ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ จากแสงเสียดสีของผ้าปูเตียง และน้ำเสียงที่เคยสดใสแต่ครั้งนี้กลับทุ้มต่ำลง

“ถ้าฉันตั้งใจล่ะ” วาเรียเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของคำพูด ดวงตาของจูเลี่ยนไม่ได้ทอประกายสดใสร่าเริงเหมือนยามปกติแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยความจริงจังและลึกลับที่อ่านไม่ออก ในขณะที่ฝ่ามือของคนตัวเล็กกว่าก็เอื้อมเข้ามาใกล้

วาเรียรู้ตัวอีกทีเมื่อฝ่ามือข้างนั้นเอื้อมมาประคองใบหน้าเขาให้เชิดขึ้น ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะทาบทับลงมาบนกลีบปากเขา แนบสนิทจนไร้ช่องว่าง พร้อมทั้งขบเม้มเบาๆให้รู้สึกเจ็บจนต้องยอมเปิดริมฝีปากออก

จูเลี่ยนวางฝ่ามือข้างที่ว่างลงบนเอวคอดและรั้งร่างบอบบางให้เขยิบเข้ามาแนบชิด ลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้า สัมผัสกับผิวเนื้อเนียนนุ่มผ่านเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่อยู่ ในขณะที่ริมฝีปากหนาไล้เล็มไปตามกลีบปากนิ่ม ลิ้มรสน้ำหวานสีใส จนกระทั่งได้กลิ่นหอมของนมที่วาเรียดื่มเมื่อเช้า

ยิ่งฉกฉวยก็ยิ่งเสพติดจนอย่างจะชิมมันให้มากขึ้น เขาส่งปลายลิ้นไปหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆที่เงอะงะอย่างไม่ประสีประสา ล่อหลอกให้อีกฝ่ายค่อยๆยื่นปลายลิ้นออกมาพันเกี่ยวกันด้านนอก สอนประสบการณ์จุมพิตหอมหวานที่ร่างบอบบางไม่เคยได้รับ

วาเรียรับรู้แค่ว่าริมฝีปากของเขาถูกดูดดึงยืดออกครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะประกบเข้ามาใหม่ซ้ำๆ กับปลายลิ้นหนุ่มหยุ่นที่เกี่ยวกันมันไปมายาวนานจนลมหายใจของเขาเริ่มหมด อีกทั้งมันยังเจ็บจนคิดว่าริมฝีปากตัวเองคงจะบวมเป่ง จูเลี่ยนผละออกไปตอนที่วาเรียชาจนเกือบไร้ความรู้สึก เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปล่อยให้น้ำสีใสไหลซึมออกมาตามมุมปากเพราะบวมจนปิดไม่สนิท เลยกลายเป็นหน้าที่ของคนตรงหน้าที่ต้องช่วยเก็บซับความหวานเหล่านั้นต่อ

เสียงหอบหายใจยังดังก้องอยู่ในห้องถึงแม้ประสบการณ์แสนหวานจะลิ้นสุดลงแล้ว ภายในสมองของวาเรียเบลอจนคิดอะไรไม่นอกจากพิงร่างที่หมดแรงไปกับอกแข็งๆที่สัมผัสดูถึงได้รู้ว่ามีมัดกล้ามเนื้อซ่อนอยู่ภายใต้ยูนิฟอร์มสีดำตัวนั้น เหมือนถูกดูดพลังงานไปหมด ไม่เหลือแรงจะลุกไปอาบน้ำ หรือตอบกลับประโยคที่ตัวต้นเหตุเอ่ยถามขึ้น

“ถ้าฉันตั้งใจทำแบบนี้จะโกรธหรือเปล่า มันเรียกว่าเป็นการทำร้ายนายไหมนะ”

 

 

TALK : พล็อตหลักเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผีนะคะ เพราะฉะนั้นผีไม่ได้มีเยอะ ไม่ได้ออกบ่อย เราจัดว่ามันเป็นแฟนตาซีมากกว่า เอาจริงไม่รู้ว่าจะมีคนชอบอ่านแนวนี้หรือเปล่าด้วย 55+

ใส่ความเห็น