ตลอดไปมินวี

A Thousand Miles

 

รถเก๋งสีขาวขับเคลื่อนไปบนถนนด้วยความเร็วสูงสุด ถึงแม้เจ้าตัวจะรู้ดีว่าเข็มบนหน้าปัดนั้นเลยข้อกำจัดของการจราจรในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านไปแล้ว แต่เพราะสิ่งที่เพิ่งรับรู้ผ่านโทรศัพท์สายเมื่อครู่ทำให้คนที่เคารพกฏหมายเสมอเลือกที่จะมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ

ร่างโปร่งบางของชายหนุ่มหน้าสวยก้าวลงจากรถเก๋งสีขาวที่จอดลงตรงลานจอดรถหน้าอาคารใหญ่เรียกสายตาทุกคู่ของพนักงานให้หันมาสนใจอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพียงแต่ในสายตาเหล่านั้นกลับฉายแววบางอย่างที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ บุคคลที่ทุกคนเคยจ้องมองอย่างนอบน้อมเพราะเป็นถึงน้องชายของผู้จัดการคนเก่งและพ่วงตำแหน่งคนรักของลูกชายประธานบริษัท ซึ่งอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้เมื่องานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยชื่อดังสิ้นสุดลง เจ้าตัวเองก็จะเข้ามาเป็นบุคลากรคนสำคัญของบริษัทนี้ด้วย

คิมแทฮยองก้าวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น เขาไม่ได้สนใจเลยว่าในสายตาหลายสิบคู่ที่มองมาจะกี่สักกี่คู่ที่มองด้วยความสงสาร เห็นใจ ดูถูก หรือสมเพชกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ทุกคนเข้าใจนั้นเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย

ประตูหน้าห้องทำงานซึ่งมีป้ายบอกตำแหน่งใหญ่โตของเจ้าของห้องถูกเปิดออก ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งก้มหน้าอยู่กับแฟ้มเอกสารขนาดใหญ่เงยขึ้นมามองชั่วครู่ ก่อนที่มือหนาจะปิดแฟ้มงานในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้มาเผชิญหน้ากับเขา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่แทฮยองปล่อยมือให้บานกระตูที่เปิดออกปิดสนิทลงอีกครั้ง

มันอึดอัดทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังคงถูกเปิดด้วยอุณหภูมิที่ต่ำจนผิวหนังสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ มันอึดอัดเพราะสายตาที่มองมาไม่ได้แสดงออกถึงความอบอุ่นอ่อนโยนเช่นปกติ

 

“เรื่องพี่นัมจุน…”

“พวกเราสรุปกันไปแล้วแทฮยอง เราคงต้องปลดเขาออกแล้วดำเนินคดีตามกฎหมาย บัญชีที่อยู่ภายในการรับผิดชอบของหมอนั่นถูกปรับแต่งตลอดหลายเดือนมานี้ และเงินภายใต้การรับผิดชอบของเขาก็หายไปเกือบสองพันล้านวอน แล้วถ้าเจ้าตัวไม่ได้ทำผิดอะไร ก็คงไม่หายตัวไปโดยที่ติดต่อไม่ได้แบบนี้”

ริมฝีปากบางเม้มสนิทจนไร้สีเลือด ปลายจมูกโด่งรั้นอย่างคนเอาแต่ใจสูดเอาอากาศเย็นๆเข้าไปในปอดหวังว่าจะช่วยคลายอารมณ์ขุ่นมัวของเขาที่พร้อมจะปะทุขึ้นทุกเมื่อ

“พี่โบกอม พี่ก็รู้ว่าพี่นัมจุนเป็นคนยังไง เขาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้น พวกเราไม่ได้ยากจนข้นแค้นขนาดต้องโกงเงินบริษัทพี่”

“ขอโทษนะแท แต่จากประสบการณ์การทำงานของพี่มันสอนว่าเรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใคร บางคนที่เราคิดว่าไว้ใจได้ก็อาจจะไว้ใจไม่ได้ หรือถ้าแทว่าพี่ชายแทไม่ผิด ก็ตามหมอนั่นให้กลับมาพิสูจน์ตัวเองสิ” เสียงทุ้มเข้มที่เอ่ยออกไปเร่งบรรยากาศที่ขุ่นมัวให้มืดครึ้มลงอีก ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าหวานของคนรักซึ่งฉายแววไม่พอใจให้เห็น เขารู้ดีว่าคำพูดของเขาทำร้ายความรู้สึกคนฟังมากขนาดไหน แต่กับเรื่องที่เกิดขึ้นเขาไม่สามารถใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินได้ เมื่อมันคือธุรกิจของครอบครัวที่แบกเอาชีวิตและความมั่นคงของพนักงานนับร้อย ในขณะที่คนผิดคือเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานนับสิบปีและเป็นพี่ชายของคนที่เขารัก

“ผมเพิ่งรู้ว่าความเป็นเพื่อนของพวกพี่มันไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่แม้แต่จะซื้อความเชื่อใจระหว่างกันด้วยซ้ำ พี่คิดว่าพี่นัมจุนจะทำแบบนั้นหรอ พี่คิดว่าพี่ชายผมเลวแบบนั้นจริงๆหรอ” แทฮยองไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความอึดอัดผลักดันให้น้ำใสๆเอ่อขึ้นมาในกระบอกตาจนร้อนผ่าวไปหมด เขาแค่เสียใจที่ได้ยินคำพูดนั้น ถ้าเป็นคนอื่นแทฮยองไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าใครจะคิดยังไง จะเชื่อพี่ชายของเขาหรือเปล่า แต่แค่กับพัคโบกอมเท่านั้นที่เขาหวังให้อีกฝ่ายเชื่อ

“ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมบ้างพี่จะพูดแบบนี้ไหม นอกจากตัวเองแล้ว พี่เคยเชื่อใจพวกเราสองพี่น้องบ้างหรือเปล่า”

“แทฮยอง…”

อีกเพียงนิดเดียวก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาแทฮยองก็เหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างบนชุดโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ดวงตากลมโตซึ่งพร่ามัวไปด้วยน้ำตาสบประสานเข้ากับประกายตาคมเข้มที่จ้องมองมา มันเรียบเฉยจนแทฮยองอ่านไม่ออกว่ามีความรู้สึกแบบไหนซ่อนอยู่ ร่างบางเบือนหน้าหนีก่อนจะกระพริบตาซ้ำๆเพื่อไล่ให้น้ำร้อนกลับคืนเข้าไปข้างใน ดูเหมือนตอนเข้ามาในห้องเขาจะรีบร้อนไปหน่อยจนไม่ทันสังเกตเห็นใครอีกคนที่นั่งนิ่งและรับรู้ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดมาตั้งแต่แรก

“ผมจะตามพี่นัมจุนกลับมาพิสูจน์ให้เห็นเองว่าพวกคุณกล่าวหาคนผิด” แทฮยองสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนเอ่ยประโยคสุดท้ายกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปจนคนฟังรับรู้ได้ ร่างบางพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้กลับคืนเป็นปกติ เขาสบตาคนรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันไปมองใครอีกคนที่นั่งอยู่มุมห้อง แล้วตัดสินใจก้าวเท้าออกนอกประตูไป

 

 

“พี่พูดแบบนั้นจะดีหรอ เขาคงเสียใจมาก” น้ำเสียงเรียบเฉยของคนที่นั่งนิ่งแต่รับรู้เหตุการณ์มาตลอดเอ่ยขึ้นหลังแทฮยองออกจากห้องไปแล้ว ทั้งที่ตั้งใจจะมาแวะทักทายพี่ชายเฉยๆ แต่กลับกลายเป็นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์เข้าจนได้

“พี่แค่พูดไปตามที่เห็น แทฮยองเองต่างหากที่ต้องรับให้ได้ ถ้าพี่ชายของเขาไม่ผิดก็คงไม่อยู่ๆก็หายตัวไปเป็นเดือนแบบนี้หรอก” โบกอมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานอย่างเหนื่อยล้าหลังผ่านเวลาที่ย่ำแย่ ไม่เคยเลยที่เขาจะรู้สึกปกติเวลาเห็นน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาสวย

“เขาคงแค่อยากได้กำลังใจจากใครสักคน แล้วพี่ก็คงเป็นคนที่เขาหวังไว้มากที่สุด” หลังประโยคนั้นโบกอมก็ได้แต่นิ่งเงียบ เขาปิดเปลือกตาลงอย่างหมดแรง ภายในหัวพยายามครุ่นคิดหาทางออกที่ดีที่สุด เพียงแต่เขามองไม่เห็นโอกาสที่จะช่วยนัมจุนได้เลยในเมื่อไม่สามารถติดต่อเจ้าตัวได้

 

ร่างหนามองพี่ชายที่ถึงแม้จะหลับตาอยู่แต่สีหน้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขาละสายตามามองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเรือนแพงที่สวมอยู่ ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าถึงเวลาที่ควรกลับเสียที เมื่ออีกไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนี้ร้านอาหารที่ลงทุนเปิดร่วมกับเพื่อนจะถึงเวลาเปิดบริการแล้ว

“ว่าแต่เมื่อไหร่นายจะมาช่วยงานพี่บ้างล่ะจีมิน” เสียงทุ้มเข้มของคนที่หลับตาอยู่ทักขึ้นเหมือนมีญาณวิเศษรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะออกจากห้องทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่ได้ลืมตามามองสักนิด จนทำให้เจ้าของชื่อเรียก ‘จีมิน’ เผลอหัวเราะออกมาจนได้ ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ยี่หระเมื่อตอบกลับคำถามที่พี่ชายมักเอ่ยถามบ่อยๆ

“ผมมันนอกคอกอ่ะ ไอ้ตำแหน่งใหญ่โตที่ต้องแลกกับความรับผิดชอบและการเสียสละอย่างใหญ่หลวงนี่ดูจะไม่ไหว เห็นพี่ทำงานแทบไม่มีเวลาส่วนตัว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความสุขเลย”

 

 

ภาพที่จีมินพบตอนเปิดประตูห้องทำงานออกมาคือแผ่นหลังของคนที่เขาคิดว่าน่าจะกลับไปแล้วหลังพูดว่าจะไปตามพี่ชายมาพิสูจน์ความจริงให้ได้กำลังยืนสนทนาอะไรบางอย่างกับพนักงานหญิงอีกคนซึ่งเขารู้จักเป็นอย่างดี และทันทีที่เสียงประตูดังขึ้นอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัวถึงได้หันมามองเขาอีกครั้ง

เพียงชั่วพริบตาเดียวที่จีมินสบสายตาเข้ากลับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนก่อนที่อีกฝ่ายจะหันไปเอ่ยลาคนที่ตัวเองกำลังพูดคุยอยู่แล้วเดินจากไปพร้อมกับท่าทางที่เขาคาดเดาเอาว่าเจ้าตัวกำลังใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาตัวเองอยู่

 

จีมินส่งยิ้มทักทายให้หญิงสาวที่ยืนอยู่เพียงลำพัง คิมเยจินเป็นพนักงานที่ทำงานมานานและเป็นที่รักและเคารพของทุกคนในบริษัท แม้แต่เหล่าผู้บริหารเองก็ให้ความเกรงใจด้วยเห็นถึงความสามารถและอายุงานของเธอ

“คุณจีมินจะกลับแล้วหรอคะ ทำไมไม่แวะไปทักทายท่านประธานดูสักหน่อย” จีมินหัวเราะให้กับประโยคทักทายของพี่สาวคนสนิทที่ทำงานมานานจนรับรู้เรื่องราวหลายๆอย่างที่มากกว่าเรื่องงานในบริษัท

“กลัวพ่อจะความดันขึ้นถ้าเห็นหน้าผมน่ะสิ ทุกวันนี้เจอทีไรถูกบ่นทุกที”

“ก็แล้วเมื่อไหร่จะมาทำงานที่นี่ล่ะคะ ตำแหน่งของคุณนัมจุนก็ว่างแล้ว ไม่สนใจหรอ” จีมินได้แค่ยิ้มมุมปากแต่ไม่ตอบรับอะไรอีก มีเพียงสายตาที่มองไปทางประตูตามคนที่เดินจากไปแล้ว เมื่อหัวข้อสนทนาของพวกเขาย้อนกลับไปเกี่ยวข้องกับพี่ชายของคนๆนั้น

“สงสารคุณแทฮยองนะคะ เห็นว่าจะบินไปอิตาลีเพื่อตามหาคุณนัมจุนด้วย ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆถึงหายไปติดต่อไม่ได้”

“หืม ไปอิตาลีหรอ”

“ค่ะ เป็นห่วงเธอเหมือนกัน ไปไกลแบบนั้นคนเดียว แต่ทำได้แค่เอาใจช่วยเธอกับพี่ชายล่ะค่ะ”

 

126695005

 

ร้านอาหารอิตาเลียนร่วมสมัยซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก จีมินเดินเข้าไปภายในร้านซึ่งถูกตกแต่งประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าสีส้มอ่อนและโคมไฟแก้วกระเบื้องที่ติดอยู่ตามฝาผนังให้บรรยากาศที่หรูหราไม่ต่างไปจากห้องอาหารในโรงแรมชั้นหนึ่ง

เขาเดินเข้าไปในส่วนเล็กๆซึ่งอยู่ถัดจากโซนโต๊ะอาหารลึกเข้าไปด้านใน มันถูกกั้นเป็นเลาจน์ที่มีเคาน์เตอร์ขนาดกลางและเรียงรายไปด้วยแก้วกระเบื้องกับขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำผลไม้ประเภทต่างๆ ซึ่งถูกจัดไว้บริการลูกค้าที่ต้องการผ่อนคลายไปกับเครื่องดื่มแบบพิเศษ

มือหนาเลือกแก้วสีใสที่มีก้านทรงยาวสำหรับใส่ค็อกเทลมาใบหนึ่งพร้อมหยิบเช็คเกอร์สแตนเลสสำหรับผสมเครื่องดื่มมาด้วย ส่วนผสมหลายอย่างที่จำเป็นต้องใช้ถูกเอามาวางเรียงกันบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นเครื่องดื่มสีม่วงสวยที่ถูกรินลงในแก้วกระเบื้อง

“คุณจีมินอีกยี่สิบนาทีจะเปิดร้านแล้วนะครับ” จีมินละสายตาจากผลงานตัวเองแล้วหันไปพยักหน้าตอบรับพนักงานชายที่เดินเข้ามาบอก มือหนาควานหาโทรศัพท์มือถือที่ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋ากางเกง ตั้งใจจะรีบจัดการธุระบางอย่างให้เสร็จก่อนเวลาเปิดร้านที่กำลังจะมาถึง

“ฮัลโหล พี่ชาย” ร่างหนาเอ่ยขึ้นเมื่อปลายทางมีคนรับ

‘หืม นายเพิ่งจะออกจากบริษัทไปหนิ ทำไมถึงโทรมาอีกล่ะ’ เป็นอีกครั้งที่จีมินส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสนุกสนานตามนิสัยของเจ้าตัว

“ผมแค่จะถามว่าพี่สนใจค็อกเทลตัวใหม่หรือเปล่า เพิ่งคิดสูตรได้น่ะ ว่าจะเปิดตัวที่ร้านเร็วๆนี้”

‘เห้อ สรุปนายจะเอาดีด้านนี้จริงๆสินะ’ เสียงถอนหายใจทำเอาจีมินอดยิ้มไม่ได้ รู้ดีว่าถึงโบกอมจะพร่ำบ่นว่าอยากให้เขาเข้าไปทำงานที่บริษัท แต่กลับไม่เคยบังคับให้เขาเลิกทำในสิ่งที่ชอบ

“ผมลงเรียนหลักสูตรบาร์เทนเดอร์ไปตั้งหลายเดือนนะพี่ แล้วตอนนี้มันก็เป็นอาชีพของผมด้วย ต้องตั้งใจกันหน่อยสิ” จีมินหัวเราะอย่างสบายใจ กับร้านอาหารใหญ่โตหรูหราที่เปิดร่วมกับเพื่อน แท้จริงแล้วมีเพียงในส่วนของเลาจน์ผสมเครื่องดื่มที่เขาถนัดและหลงใหลจนตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจด้วย แล้วมันก็กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร้านโด่งดังและเป็นที่นิยมกว่าร้านอื่นๆ

‘คราวนี้เป็นค็อกเทลอะไรล่ะ’ คำถามจากปลายสายดังขึ้น ในขณะที่ดวงตาเรียวไล่มองส่วนผสมหลายชนิดที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์

“เป็นน้ำองุ่น นี่คัดชนิดองุ่นเองกับมือเลยนะ”

‘แล้วผสมอะไรอีก’

“โธ่ บาร์เทนเดอร์คนไหนเขาบอกสูตรค็อกเทลเฉพาะของร้านกันล่ะครับ” ดวงตาเรียวฉายแววระยิบระยับในขณะที่รอยยิ้มสนุกสนานยังปรากฏอยู่บนใบหน้า บาร์เทนเดอร์เองไม่ต่างจากนักซ่อนความลับ ที่ซุกซ่อนส่วนผสมหลากหลายชนิดและรสชาติที่แตกต่างกันลงในเครื่องดื่มเพียงแก้วเดียวที่ถูกเสิร์ฟให้ลูกค้า

‘งั้นเอามาลองดูสิ’ แล้วถึงจะพร่ำบ่นเสมอแต่พี่ชายอย่างโบกอมเองก็สนับสนุนเขาทุกครั้ง ไม่ว่าจะค็อกเทลตัวใหม่ หรือเครื่องดื่มอะไรที่จีมินคิดค้นขึ้น โบกอมก็มักเป็นคนแรกๆที่ช่วยชิมและออกความคิดเห็น

“ดีลแล้วนะ” จีมินตอบกลับไป ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องราวบางอย่างที่เพิ่งรับรู้มาและเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโทรศัพท์สายนี้

“ก่อนกลับผมเจอคุณเยจินด้วย เขาบอกว่าแฟนพี่กำลังจะไปอิตาลีตามหาพี่ชายน่ะ บางทีพี่น่าจะห้ามเขานะ ไปคนเดียวมันอันตราย คนที่นั่นไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นหลักด้วย” เสียงถอนหายใจอย่างแรงดังมาจากผู้เป็นพี่ ก่อนที่โบกอมจะตอบกลับน้องชายอย่างหนักใจไม่แพ้กัน

‘ถึงพี่พูดไปแทฮยองก็คงไม่ฟังหรอก เขารั้นจะตายไป’ จริงอยู่ว่าไม่ได้รู้จักและสนิทสนมกันเป็นพิเศษ แต่จีมินก็พอจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของคนๆนั้นผ่านพี่ชายและพี่นัมจุนมาบ้างว่าแทอยองเป็นคนดื้อมากแค่ไหน

“แต่พี่นัมจุนหายไปติดต่อไม่ได้แล้วเขาจะไปตามพี่ชายที่ไหน อิตาลีไม่ใช่ประเทศเล็กขนาดคนเดินสวนกันได้ง่ายๆซะเมื่อไหร่” เพราะจีมินเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าที่นั่นไม่ใช่ประเทศที่ง่ายนักสำหรับคนต่างชาติ

‘บางทีถ้าปล่อยให้เขาไปดูอาจจะท้อแล้วบินกลับมาเองล่ะมั้ง ก็อย่างที่บอก ถ้าเขาไม่ยอมแพ้ด้วยตัวเอง ถึงพี่พูดไปเขาก็ไม่ฟังอยู่ดี’

 

126695005

 

รูปถ่ายในโทรศัพท์เป็นเพียงสิ่งเดียวแทฮยองมีอยู่ ภาพถ่ายล่าสุดของนัมจุนที่ส่งมาให้หลังเจ้าตัวลางานบินไปเที่ยวอิตาลีเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาเองก็จำไม่ได้ แล้วทั้งๆที่คิดว่าพี่ชายคงจะไปแค่สักอาทิตย์เหมือนรอบก่อนๆ แต่จนเวลาผ่านพ้นมาเดือนกว่าแล้ว คิมนัมจุนก็ไม่มีท่าที่หรือวี่แววจะติดต่อกลับมาสักนิด

แทฮยองไม่คิดจะเชื่อข้อกล่าวหาที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาหลังจากที่พี่นัมจุนขาดงานไปเกินกำหนดจนคนอื่นต้องมาดูแลงานของเจ้าตัวให้ แล้วก็กลายเป็นเจอความผิดปกติของบัญชีที่ถูกตกแต่งตัวเลขเพราะเงินบางส่วนที่หายไปอย่างไม่รู้สาเหตุ ท่ามกลางการตัดสินความผิดจากคนอื่นๆ มีเพียงแทฮยองเท่านั้นที่เชื่อว่านัมจุนเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะขนาดพัคโบกอมที่สนิทสนมกันมานานยังไม่เชื่อ เลยเหลือแค่เขาคนเดียวที่ต้องช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้พี่

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนร่างบางที่ตกอยู่ในภวังค์ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง นิ้วมือเรียวยาวคว้าเอามือถือขึ้นมาดูรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอสี่เหลี่ยม ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อปลายทางกลายเป็นคนที่คาดไม่ถึง

“ครับพี่เยจิน”

‘ขอโทษที่โทรมารบกวนจ้า พี่แค่จะคุยเรื่องที่น้องแทจะไปอิตาลีตามหาคุณนัมจุนน่ะ’ คิ้วเรียวสวยยิ่งขมวดขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินธุระของพี่สาวที่คุ้นเคยกันดีจากการที่เขาไปเยี่ยมเยือนที่บริษัทบ่อยๆ

‘พอดีรุ่นน้องที่พี่รู้จักเขาจะไปอิตาลีพอดี เลยคิดว่าถ้าน้องแทบินไปพร้อมเขาน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็คงช่วยแนะนำเรื่องเส้นทาง เรื่องการเดินทางให้ได้บ้าง แล้วเขายังพูดอิตาเลียนได้คล่องปร๋อเลยค่ะ น้องแทสนใจบ้างไหม’ ถึงแม้ข้อเสนอที่ว่ามาจะฟังดูน่าสนใจแค่ไหน แต่แทฮยองกลับไม่กล้าตอบตกลงเพราะแผนการเดินทางของเขายังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มต้นที่ไหน

“ผมเกรงใจครับ กลัวจะรบกวน”

‘ไม่ต้องห่วงค่ะ แค่บินไปพร้อมกันเฉยๆ ส่วนเรื่องหลังจากนั้นเดี๋ยวเจ้าตัวเขาคงตัดสินใจเองค่ะ’ น้ำเสียงคะยั้นคะยอราวกับจะเร่งให้แทฮยองต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้น และเมื่อไม่เห็นข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้น เขาถึงได้ยอมตอบตกลงง่ายๆ

“แบบนั้นก็ได้ครับ”

‘งั้นน้องแทส่งข้อมูลมาให้พี่นะ จะเดินทางวันไหน แล้วลงที่ไหน เดี๋ยวเรื่องตั๋วเครื่องบินกับที่พักพี่จองให้เอง จะได้จองให้รุ่นน้องพี่ด้วย’

“อ่า งั้นรบกวนพี่เยจินด้วยนะครับ”

‘ด้วยความยินดีค่ะ พี่เองก็เอาใจช่วยน้องแทกับคุณนัมจุนเหมือนกัน’

สายถูกวางไปพร้อมประโยคสุดท้ายที่ช่วยสร้างกำลังใจเล็กๆให้เกิดขึ้น แทฮยองจ้องมองรูปถ่ายในมือถืออีกครั้ง เบาะแสมีเพียงรูปพี่ชายที่ยืนถ่ายอยู่ในไร่องุ่นสักที่ซึ่งไม่ได้มีป้ายชื่อหรืออะไรให้เป็นจุดสังเกตได้ มีเพียงรอยยิ้มของนัมจุนเที่ราวกับจะส่งผ่านกำลังใจและความเชื่อมั่นมาให้ว่าทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้

 

126695005

 

จีมินตัดสายโทรศัพท์ลงเมื่อธุระของเขาเสร็จสิ้น เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดทั้งที่สวมอยู่และที่ติดอยู่ข้างผนังบ่งบอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาที่ร้านต้องเปิดบริการอีกครั้ง แก้วค็อกเทลใบเดิมยังคงถูกวางไว้บนเคาน์เตอร์แต่กลับไม่มีของเหลวสีม่วงอ่อนหลงเหลืออยู่แล้ว ในขณะที่บทสนทนาของคนที่เพิ่งวางสายกันไปเมื่อครู่ย้อนกลับมาในความคิดอีกครั้ง

 

‘ผมมีเรื่องอยากให้พี่ช่วย แต่รบกวนปิดเป็นความลับได้ไหม’

 

‘พี่ขอถามเหตุผลคุณจีมินได้ไหมคะ’

 

นิ้วเรียวหยิบแก้วค็อกเทลขึ้นมา จ้องมองของเหลวสีม่วงอ่อนที่ใสจนเห็นแหวนเงินบนนิ้วซึ่งจับอยู่อีกฝากฝั่งของแก้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมันขึ้นจรดริมฝีปาก

 

‘ตามมนุษยธรรมมั้งครับ ผมเองก็สนิทกับพี่นัมจุนหมือนกัน ถ้าไม่เหลือบากกว่าแรงนักก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วย ส่วนที่ให้ปิดเป็นความลับเพราะไม่อยากให้ใครมองไม่ดีเท่านั้น’

‘เหตุผลมีแค่นี้เหรอคะ’

 

รสหวานอ่อนพร้อมกลิ่นองุ่นแพร่กระจายทั่วอยู่โพรงปาก รสชาติเรียบง่ายที่ดูเหมือนจะไม่ซับซ้อน แต่สุดท้ายกลับทิ้งความเปรี้ยวปนขมและซ่าให้ติดอยู่ที่ปลายลิ้น

 

‘ครับ มีแค่นี้’

 

เพราะบาร์เทนเดอร์เป็นนักซ่อนความลับที่เก่งกาจ จีมินถึงต้องเรียนรู้ที่จะปิดบังความรู้สึกบางอย่างที่เขารู้ดีว่ามันออกจะล้ำเส้นไปแล้ว

 

 

126695005

 

 

ลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนชะเง้อไปยังผู้คนมากมายที่เดินผ่านหน้าไป มือเรียวบางยกมือถือขึ้นมาดูเป็นรอบที่สิบกว่าเมื่อยังไม่เห็นวี่แววของคนที่นัดกันไว้

“เมื่อไหร่จะมานะ” หลังบ่นพึมพำไม่นาน หญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดเดรสยาวสีฟ้าอ่อนก็ปรากฏตัวให้เห็นในกรอบสายตา หากแต่สิ่งที่ดึงดูดเอาความสนใจทั้งหมดของเขาไปกลับเป็นร่างหนาซึ่งสวมชุดยีนส์สีฟ้าอ่อนและแจ็คเก็ตยีนส์สีเดียวกันที่เดินตามมาด้านหลัง แล้วถึงแม้จะดูคุ้นตามากขนาดไหน แต่หมวกแก็ปสีดำและแว่นกันแดดสีชาอันใหญ่ที่อีกฝ่ายสวมอยู่ก็ปิดบังใบหน้าของเจ้าตัวไว้จนเกือบมิด

“ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ” เสียงสดใสเรียกความสนใจของแทฮยองกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่เยจินจะเป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำคนด้านหลังให้แทฮยองรู้จัก

“นี่คุณจีมินค่ะ น้องแทคงพอรู้จักอยู่บ้าง” มือหนาถอดแว่นกันแดดสีชาออก และทันทีที่แทฮยองเห็นดวงตาเรียวคู่นั้น เจ้าของใบหน้าสวยก็เผลอมองค้างอย่างคาดไม่ถึง

“น..นาย”

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

จีมินมองคนที่นั่งติดริมหน้าต่างซึ่งทำท่าทางฟึดฟัดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เดินขึ้นเครื่อง ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววไม่ชอบใจอย่างไม่คิดจะปิดบังจนเขานึกไปถึงคำพูดของพี่ชายและพี่นัมจุนที่เอ่ยให้ได้ยินบ่อยๆว่าแทฮยองเป็นคนดื้อรั้นและไม่ยอมใครเป็นที่สุด

“ถ้าง่วงก็หลับก่อนได้นะครับ ยังไงเราก็ต้องอยู่บนเครื่องกันอีกนาน”

“เรื่องแค่นี้ใครๆก็รู้หรอกน่า” ริมฝีปากบางหันมาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จีมินลงความเห็นว่าออกจะเหมือนเจ้าสติทซ์ แมวของพี่โบกอมที่ขู่ฟ่อๆใส่เขาเสียทุกครั้งเวลาเจอกัน ก่อนที่คนซึ่งนิสัยเหมือนเจ้าสัตว์ขนฟูตัวนั้นจะบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยประโยคที่ถึงจะจับใจความได้แต่ร่างหนาก็ไม่คิดจะตอบกลับไป

“จะตามมาทำไมไม่รู้หรือพี่โบกอมสั่งให้มากัน”

 

กว่าจะลงจากเครื่องเพื่อไปโรงแรมที่จองไว้ดูจะทุลักทุเลอยู่สักหน่อยเมื่อเพื่อนร่วมทางของจีมินไม่มีท่าทีจะยอมรับเขาสักนิด แทฮยองไม่เถียง ไม่ต่อต้าน อีกฝ่ายนิ่งเฉยแต่ก็ไม่ฟังสิ่งที่เขาบอกเหมือนกัน แบบที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่าดื้อตาใสนั่นแหล่ะ จนเขาต้องข่มอารมณ์อย่างหนักไม่ให้เผลอคว้าเอาเด็กดื้อด้านมาตีก้นลงโทษเหมือนเด็กๆ

แทฮยองมองคนที่สื่อสารกับพนักงานโรงแรมอย่างคล่องแคล่วด้วยภาษาที่เขาฟังไม่ออก ถึงจะไม่ชอบใจที่มีเพื่อนร่วมทางเป็นน้องชายของแฟนหนุ่มที่ออกจะใจร้ายเหลือเกินในความคิดของเขา แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าการมีคนๆนี้อยู่ด้วยทำให้หลายอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายดายกว่าที่คิด

ภาษาอิตาเลียนที่ลื่นไหลจนหากหลับตาฟังเขาคงเข้าใจผิดว่าคนพูดต้องเป็นชาวอิตาลีโดยแท้ แทฮยองไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้พูดภาษาของคนที่นี่ได้ดีขนาดนี้ หรือหากจะพูดให้ถูกคือเขาไม่ได้รู้เรื่องของจีมินมากนักเพราะเคยเห็นหน้าค่าตากันแค่ไม่กี่ครั้ง ที่ได้ยินบ่อยๆก็มีแค่คำพูดของโบกอมที่บ่นเสมอว่าน้องชายของเขารักอิสระเกินกว่าจะตามตัวได้ เพราะอีกฝ่ายชอบเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ

“ห้องผมอยู่ติดกับคุณนะ ผมว่าเราควรจะพักกันสักชั่วโมงแล้วหลังจากนั้นค่อยไปหาอะไรทานกัน” นอกจากรับคีย์การ์ดโรงแรมไปถือไว้แทฮยองก็ไม่ตอบอะไรอีก จีมินเลยถือเอาว่าอีกฝ่ายยอมรับในข้อเสนอของเขา แล้วหลังจากที่พนักงานโรงแรมเข้ามาช่วยขนกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อย ร่างหนาถึงได้ปล่อยให้คนตัวบางแยกไปพักผ่อนตามที่ตกลงกันไว้

ภายในห้องพักของโรงแรมที่ไม่ได้หรูหราและออกจะเป็นสไตล์ชนบทเพราะเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดล้วนทำมาจากไม้ทั้งสิ้น แม้แต่ที่ผนังหัวเตียงก็มีภาพแกะสลักไม้ขนาดใหญ่แขวนติดเอาไว้ แล้วก็มีระเบียงให้เดินออกไปชมวิวทิวทัศน์ด้านนอก จีมินเอนตัวลงกับเตียงกว้างที่ไม่ได้นุ่มเหมือนโรงแรมห้าดาวที่เขาเคยพักมาก่อน แต่สำหรับคนชอบเดินทางแบบเขาที่เคยแม้แต่สะพายกระเป๋าใบเดียวโบกรถท่องเที่ยวไปเรื่อยๆแล้วล่ะก็ การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าห่างไกลกับคำว่าลำบากอยู่มาก

ทันทีที่แผ่นหลังกว้างสัมผัสลงกับเนื้อผ้าความเมื่อยล้าก็เริ่มผ่อนคลายลงทีละนิด ดวงตาเรียวรีปิดลงด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ไม่ได้เกิดจากการเดินทางเพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากการต้องรับมือกับเพื่อนร่วมทางเสียมากกว่า ในขณะที่ห้วงความคิดของเขาก็เริ่มลอยไปวนเวียนถึงคนที่พักอยู่ห้องข้างๆ

มือเรียวหยิบเอาซองจดหมายซึ่งประทับตราธนาคารเอกชนยักษ์ใหญ่ระดับประเทศออกมาจากกระเป๋าเดินทาง แทฮยองมองดูรายการตัวเลขซึ่งเป็นบิลเรียกเก็บค่าบัตรเครดิตของเมื่อเดือนก่อน ไล่เรียงตั้งแต่รายการค่าตั๋วเครื่องบิน จนมาถึงรายการสุดท้ายคือค่าใช้จ่ายในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเคียนติแห่งนี้

นอกจากรูปถ่ายในไร่องุ่นแล้ว อีกเบาะแสเดียวที่แทฮยองมีคือบิลเรียกเก็บค่าบัตรเครดิตของพี่ชายที่ถูกส่งมาที่บ้าน ซึ่งหลังลองติดต่อธนาคารดูแล้วแทฮยองก็พบว่ารายการสุดท้ายที่พี่นัมจุนใช้คือค่าอาหารมื้อนึงแล้วจากนั้นก็ไม่ได้มีการใช้บัตรเครดิตใบนั้นอีก มันถึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกที่จะมาตามรอยพี่ชายที่นี่

รายละเอียดของร้านอาหารที่แทฮยองค้นได้จากอินเตอร์เน็ตอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก มันเป็นร้านอาหารสไตล์พื้นเมืองที่ไม่ได้โด่งดังเท่าไหร่ซึ่งแทฮยองคิดว่าเขาสามารถไปที่ร้านนั้นได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาจีมินอีก อย่างไรเสียเขาก็ตั้งใจจะลุยเดี่ยวอยู่แล้วเพราะถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาเดินทางมาที่นี่ด้วยเบาะแสที่น้อยนิดแบบนี้ ก็คงไม่วายถูกหัวเราะเยาะ

แทฮยองเปิดปิดประตูอย่างเบามือเพราะกลัวคนข้างห้องจะรู้ เขาตรงไปที่รีเซฟชั่นของโรงแรมเพื่อสอบถามเส้นทางอีกครั้งให้แน่ใจว่าจะสามารถเดินทางไปยังจุดหมายได้โดยไม่หลง แล้วก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างดีในการติดต่อรถโดยสารให้ จนในที่สุดก็สามารถเดินทางไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้

ร้านอาหารสไตล์พื้นเมืองที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีป้ายเมนูแนะนำวางอยู่หน้าร้านด้วยภาษาที่แทฮยองอ่านไม่ออก ซึ่งทันทีที่เขาเดินเข้าไปในร้านก็ได้รับการต้อนรับเป็นภาษาถิ่นพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรจากคนในนั้น

แทฮยองนั่งลงที่โต๊ะไม้ซึ่งอยู่ริมในสุด เขาหยิบเมนูที่วางไว้ขึ้นมาดู ถึงแม้การมาที่นี่จะเป็นเพราะต้องการตามหาพี่ชาย แต่อย่างไรในการเข้าร้านอาหารเขาก็คิดว่าควรจะสั่งอะไรสักจานไม่ให้ดูเสียมารยาทเกินไปนัก ซึ่งก็โชคดีเหลือเกินที่ในเมนูมีภาษาอังกฤษเขียนอยู่บ้าง ทำให้แทฮยองมั่นใว่าร้านอาหารเล็กๆแห่งนี้คงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนอยู่เรื่อยๆ และหลังจากที่สเต็กเนื้อที่สั่งไว้ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ แทฮยองถึงเริ่มต้นถามในสิ่งที่เขาต้องการจะรู้

“ขอโทษนะครับ ผมขอถามอะไรบางอย่างได้ไหม”

สเต็กเย็นชืดเพราะถูกทิ้งไว้โดยที่เจ้าของแทบไม่ได้แตะ เป็นอีกครั้งที่แทฮยองรู้สึกเหมือนเดินวนอยู่ในเขาวงกตที่มีกำแพงสูงล้อมรอบจนมองอะไรไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่เผื่อใจไว้กับความผิดหวังที่อาจได้รับ เพียงแต่พอถึงเวลาจริงๆเขาก็อดผิดหวังไม่ได้ เมื่อเบาะแสที่มีอยู่กลับไม่มีประโยชน์สักนิด

การพูดคุยกับพนักงานของร้านไม่ได้ลำบากมากเมื่ออีกฝ่ายพอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้บ้างในระดับที่คุยกันรู้เรื่อง แต่เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นร้านอาหาร ที่ถึงจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ทุกวันก็มีลูกค้าที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ จนพนักงานและคนในร้านไม่สามารถจดจำลูกค้าขาจรได้ครบถ้วน ซึ่งพี่ชายของเขาก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่ถูกลืมเลือนไปแล้วเช่นกัน

แทฮยองตัดสินใจออกจากร้านเมื่อคิดได้ว่านั่งต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ ภาพทิวทัศน์เมื่อออกจากร้านเห็นเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่บาร์เรียงรายติดกันเป็นแนว และเมื่อแทฮยองไม่ได้เร่งรีบไปไหนต่อ เจ้าตัวเลยตั้งใจจะเดินเล่นสักพักให้อารมณ์ดีขึ้นแล้วค่อยหารถกลับโรงแรมไปพักผ่อน

ในตรอกเล็กๆที่แทฮยองเดินเข้าไปมีร้านขายไวน์มากมาย เขาจำได้ว่าเมืองเคียนติที่ตัวเองมาเยือนนั้นเป็นหนึ่งในเมืองผลิตไวน์ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และถึงแทฮยองจะไม่ใช่คนชอบดื่มแอลกอฮอล์นักแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อเห็นไวน์มากมายขนาดนี้ มีตั้งแต่ราคาถูกที่สุดจนถึงราคาแพงแบบที่เงินในกระเป๋าของเขาคงจ่ายไม่ไหวเรียงรายเต็มไปหมด

แหมะ แหมะ น้ำหยดเล็กๆตกลงสัมผัสข้างแก้มจนเจ้าตัวต้องเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่มีกลุ่มเมฆสีขมุกขมัวจับตัวกันเป็นก้อน ซึ่งอีกไม่นานก็คงไม่แคล้วตกลงมาเป็นสายฝน

“อ๊ะ!” เสียงร้องอย่างตกใจเมื่อมีอะไรบางอย่างยึดเกาะชายเสื้อเอาไว้ไม่ให้แทฮยองเดินไปหารถกลับโรงแรมตามที่คิด ดวงแก้วสีน้ำตาลอ่อนมองไล่เรียงลงไปจนเห็นฝ่ามือข้างนึงที่แสนมอมแมมเกาะแน่นอยู่บนเนื้อผ้าแมมเบิร์ตของเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลที่เขาสวมอยู่

เด็กผู้ชายตัวผอมบางเก้งก้างอยู่ในชุดผ้าขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินและฝุ่น ฝ่ามือเล็กข้างที่ไม่ได้ดึงรั้งชายเสื้อของแทฮยองยื่นออกมาข้างหน้าพร้อมแบออก ในขณะที่ลูกแก้วสีฟ้านั้นจ้องมองมาด้วยแววตาอ้อนวอนให้สงสาร แล้วสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เจอพวกคนเร่ร่อนและคนยากไร้มาขอเงินบ่อยนักอย่างแทฮยองก็อดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กชายคนนึงเท่านั้น

มือเล็กที่ยังจับชายเสื้อเขาอยู่เขย่าน้อยๆ พร้อมพูดภาษาที่แทฮยองฟังไม่รู้เรื่อง ร่างบางสอดมือลงไปในกระเป๋ากางเกงตัวเองเพื่อหยิบเอากระเป๋าเงินขึ้นมาเปิดดูแต่พบว่าในนั้นไม่มีเศษเหรียญเลย มีแต่ธนบัตรที่เขาแลกติดตัวมาด้วย

“โอ๊ย!!” ร่างบางซวนเซก่อนจะล้มจ้ำเบ้าลงกับพื้นเมื่อมีแรงผลักอย่างรุนแรงเกิดขึ้นพร้อมกับกระเป๋าเงินในมือที่ถูกกระชากออกไป ดวงตากลมสวยจ้องมองแผ่นหลังเด็กชายเร่รอนซึ่งกลายร่างเป็นหัวขโมยฉกกระเป๋าเงินของเขาไปแล้ว ก่อนจะรีบพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อวิ่งตามไปให้ทัน

 ความแสบบริเวณข้อศอกทำให้แทฮยองมั่นใจว่าเขาคงจะได้แผลตอนที่ล้มครูดลงไปกับพื้นถนน เพียงแต่เขาไม่มีเวลาที่จะมาสำรวจบาดแผลตัวเองเพราะต้องไล่ตามหัวขโมยที่ดูจะรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี

“เด็กขี้ขโมย หยุดนะ” ถึงจะส่งเสียงตะโกนออกไปจนเรียกสายตาหลายคู่ให้หันมามองแต่ก็ดูเหมือนไม่มีใครเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แทฮยองได้แต่วิ่งตามแผ่นหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปและลัดเลาะไปตามตรอกซอยต่างๆอย่างคนชินพื้นที่ ในขณะที่ข้อเท้าของเขาเองก็เริ่มเจ็บแปลบขึ้นมาในทุกครั้งที่ลงน้ำหนักเท้าลงกับพื้น ดูเหมือนว่าตอนล้มลงลงไปเขาคงลงไม่ถูกท่านัก

เปาะ แปะ หยดฝนเริ่มโปรยลงมาจากท้องฟ้ามากขึ้นในขณะที่วิวรอบด้านก็แปลกไปเรื่อยๆ ตรอกซอกซอยที่แทฮยองวิ่งผ่านมาในทุกวินาทีนั้นแคบลงและคดเคี้ยวมากขึ้น สองข้างทางที่มองเห็นก็มีเพียงกำแพงอิฐหนา ในขณะที่ผู้คนที่สัญจรไปมากลับบางตาลงเรื่อยๆ

“หายไปไหนแล้วนะ” ทั้งที่คิดว่ามาถูกทางแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าท่ามกลางตรอกที่แยกออกไปอีกสองสามทาง ซึ่งไม่ว่าจะมองไปจุดไหนก็เห็นเพียงสีส้มของอิฐซึ่งเรียงรายเป็นกำแพงที่คดเคี้ยวจนมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า

“เอาไงดีล่ะ” ถึงอยากจะตามไปเอากระเป๋าเงินคืนให้ได้แต่แทฮยองก็ไม่รู้ว่าควรจะเลี้ยวไปทางไหน รอบตัวของเขามีแต่กำแพงอิฐที่วิ่งผ่านมาโดยไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก อย่าว่าให้ให้เดินต่อไปเลย แม้แต่ให้กลับทางเดิมแทฮยองเองก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะจำได้

มือบางตบปุๆลงตามลำตัวและเสื้อผ้าที่สวมอยู่ นอกจากเงินในกระเป๋าที่ถูกวิ่งราวไปแล้วเขาก็ไม่มีเงินเหลือติดตัวอยู่เลยแม้แต่เหรียญเดียว จะมีก็แค่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงที่ไม่ได้ถูกขโมยไปด้วย

แทฮยองนึกไปถึงใครอีกคนที่ถูกทิ้งไว้ที่โรงแรม ถ้าให้ผู้ชายคนนั้นมาเห็นเขาในสภาพนี้คงดูไม่จืด แต่ในประเทศที่เขาไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักใครสักคน มีเพียงพัคจีมินที่เขาพอจะขอความช่วยเหลือได้

ขีดสีแดงบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้แทฮยองนึกเคืองตัวเองที่ไม่ได้เตรียมตัวมาให้ดีถึงได้ปล่อยให้แบตโทรศัพท์จวนเจียนจะหมด ร่างบางถอนหายใจอย่างกังวลตอนที่ภาวนาให้สื่อสารกับปลายสายได้รู้เรื่องก่อนที่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่จะลดลงเหลือศูนย์

 “ช่วยต่อสายห้อง 210 ให้ผมหน่อยครับ” แทฮยองเอ่ยบอกพนักงานโรงแรมที่รับโทรศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษที่เขาถนัด มันอาจจะดูแปลกที่เขามีเบอร์โรงแรมอยู่ในเครื่องแต่ไม่มีเบอร์ของจีมินอยู่ด้วย แต่จะให้ทำไงได้ก็พวกเขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานมานี้

จีมินหงุดหงิดจนนึกอยากจะฟาดเจ้าของห้องข้างๆที่หายตัวไปแล้วปล่อยให้เขายืนเคาะประตูอยู่ตั้งนานแต่ไม่มีการตอบรับ ทั้งที่ตั้งใจจะชวนแทฮยองไปทานอาหารเย็นพร้อมคุยถึงแผนการตามหาพี่นัมจุนที่แทฮยองวางเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าเขาคงจะโดนฤทธิ์เดชความดื้อรั้นของแทฮยองเล่นงานเข้าแล้ว ถึงได้ถูกเด็กดื้อตาใสเทเอาเสียเฉยๆ

แล้วถ้าแค่ถูกเทธรรมดาจีมินคงไม่ร้อนใจขนาดต้องรีบจับรถโดยสารให้บึ่งไปตามโลเคชั่นที่แทฮยองส่งมาให้ก่อนที่การสื่อสารจะถูกตัดไปเพราะแบตเตอรี่มือถือหมด จีมินไม่ได้รู้มากนักว่าแทฮยองอยู่ในสถานการณ์แบบไหนหรือเกิดอะไรขึ้น รู้แค่อีกฝ่ายถูกขโมยกระเป๋าเงินไปแล้วตอนนี้ก็ยังหลงทางจนกลับโรงแรมไม่ถูก

สายฝนที่โปรยปรายลงมานอกตัวรถกับแอร์เย็นๆไม่ได้ทำให้ใจคนที่นั่งอยู่เย็นไปด้วย เสียงเปาะแปะของหยดน้ำด้านนอกทำให้นึกเป็นห่วงคนที่หลงทางมากกว่ากลัวว่าจะเปียกและหนาวเพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ

ทันทีที่รถจอดลงจีมินก็หันไปกำชับคนขับรถให้อยู่รอก่อน มือหนาคว้าเอาร่มที่ทางโรงแรมให้ยืมก่อนเพื่อใช้บังสายฝนไม่ให้สัมผัสกับร่างกายของเขา ในขณะที่สองขาก็เริ่มก้าวไปหาตำแหน่งสีแดงที่แทฮยองส่งมาให้เป็นครั้งสุดท้าย

จีมินเดินไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ เขาไม่ได้แปลกใจนักว่าทำไมแทฮยองถึงได้หลงทางได้เมื่อทางเดินมันเล็กและซับซ้อนจนรถยนต์ไม่สามารถขับเข้ามาถึง แต่เมื่อมองเห็นท้องฟ้าที่แสงอาทิตย์เริ่มลดลงเรื่อยๆตามเวลาที่ล่วงเลยไป จีมินก็ยิ่งเร่งก้าวเร็วในการก้าวเดินมากขึ้นเพื่อให้เจอตัวแทฮยองก่อนฟ้ามืด

ซู่ ฝนเริ่มเทลงมาอย่างหนักและจีมินก็ขอบคุณเหลือเกินที่ใครบางคนซึ่งเขาตามหาอยู่กำลังนั่งกอดอกชันเข่าหลบฝนอยู่ภายใต้กันสาดเล็กๆหน้าร้านขายอะไรสักอย่างที่ตอนนี้ปิดไปแล้ว เขาเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างบางที่กอดเข่าตัวเองสั่นๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตายาวจะช้อนเงยขึ้นมาสบตาเขาที่มองอยู่

มีแค่ความเงียบเมื่อไม่มีฝ่ายไหนที่เอ่ยปากก่อน และกลายเป็นเจ้าของดวงตากลมสวยที่เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีพร้อมทั้งพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนจนจีมินต้องเอื้อมมือไปคว้าแขนแทฮยองไว้เมื่อเห็นอีกฝ่ายซวนเซจะล้ม

“อ๊ะ!” ก่อนที่จะปล่อยมือออกเมื่อได้ยินเสียงร้องจากริมฝีปากเล็กตอนที่เขาแตะลงบนข้อศอกของแทฮยองเข้า

จีมินยอมรับเลยว่าสภาพของคนตัวบางตอนนี้ดูไม่ดีเท่าไหร่ ทั้งแผลถลอกที่ข้อศอกขวาและท่าเดินแปลกๆที่เขาสังเกตเห็นริมฝีปากบางซึ่งเม้มแน่นทุกครั้งที่ต้องลงน้ำหนักลงบนเท้าซ้าย เพียงแต่เขาเองก็ไม่อยากคาดคั้นถามอะไรนักและตลอดเวลาที่เดินข้างกันภายใต้ร่มคันเล็กเพื่อกลับไปยังรถที่จอดรออยู่แทฮยองเองก็ไม่ได้เอ่ยปากเล่าอะไรด้วย ระหว่างพวกเขาถึงมีแค่ความเงียบและสายลมหนาวๆที่พัดผ่านไปเท่านั้น

ทั้งที่คิดว่าจะต้องถูกโกรธและต่อว่าอย่างหนักแต่สิ่งที่แทฮยองได้ยินกลับมีเพียงภาษาอิตาเลียนที่จีมินหันไปพูดกับคนขับรถก่อนที่แอร์ในรถจะถูกปรับเบาลงจนเขาไม่รู้สึกหนาวเหมือนเก่า มือบางลูบไปตามเสื้อผ้าของตัวเองที่ชื้นฝนสลับกับมองวิวทิวน์นอกตัวรถที่ถูกความมืดปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็น แล้วก็มีบ้างบางครั้งที่เผลอไปมองเงาสะท้อนบนประจกหน้าต่างจนเห็นดวงตาเรียวรีที่จ้องมองมาที่เขาบ่อยๆ

จีมินไม่ถาม ทั้งๆที่อีกฝ่ายมีสิทธิ์จะถาม จีมินไม่ตำหนิ ทั้งๆที่อีกฝ่ายมีสิทธิ์จะตำหนิ จนแทฮยองรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายลำบากไปด้วย

หลังกลับมาถึงโรงแรมจีมินก็พาคนร่างบางไปส่งถึงหน้าห้องพักเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นประตูห้องของแทฮยองไปก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงรั้งที่แขนเสื้อ และปลายนิ้วเรียวสวยก็ยังคงจับมันอยู่แบบนั้นตอนที่เขาหันกลับไปสบดวงตากลมโตก่อนที่แทฮยองจะเป็นฝ่ายก้มหน้าหนีแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

“ขอโทษนะที่ทำให้นายลำบากไปด้วย” จีมินไม่ได้ตอบอะไรนอกจากเดินจากไปจนแทฮยองต้องปล่อยนิ้วมือจากเนื้อผ้าที่จับอยู่ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจดีว่าการที่จีมินไม่ได้ตำหนิออกมาก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่โกรธที่เขาสร้างเรื่องวุ่นวายให้ตั้งแต่วันแรกที่เดินเดินทางมาถึงอิตาลี

ร่างบางกลับเข้าห้องตัวเองก่อนจะเดินกะเผลกไปนั่งลงที่ปลายเตียงนอน อาการปวดตุบๆที่ข้อเท้าเริ่มระบมขึ้นมาอีกครั้งจากตอนที่เขาทนฝืนเดินกลับมาที่รถ จนเขาเริ่มกังวลว่าพรุ่งนี้มันอาจจะบวมได้

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจนแทฮยองแปลกใจ นอกจากพวกพนักงานโรงแรมก็มีแค่จีมินเท่านั้นที่รู้ว่าเขาอยู่ห้องนี้ ถึงได้ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่โกรธจนเดินกลับไปถึงได้ย้อนกลับมาอีก แต่คำตอบก็ปรากฏขึ้นทันทีที่เขาเปิดบานประตูออกแล้วเห็นกล่องปฐมพยาบาลอยู่ในมือของผู้ชายคนนั้น

“ผมเพิ่งไปขอยืมพนักงานมา คุณน่าจะทำแผลสักหน่อย” ร่างหนาไม่รอให้แทฮยองปฏิเสธเพราะเขาเป็นฝ่ายดันบานประตูห้องออกกว้างแล้วแทรกตัวเข้ามาพร้อมปิดมันลงให้เรียบร้อย ก่อนจะถือวิสาสะเดินไปนั่งลงที่ขอบเตียงพร้อมตบเตียงเบาๆแทนคำบอกว่าให้ร่างบางมานั่งลงข้างๆ

แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อถูกเทลงบนก้อนสำลีสีขาวก่อนที่ขอบเตียงด้านข้างของจีมินจะยุบลงตามน้ำหนักตัวของคนนั่ง จีมินยื่นมือหนาไปพลิกเอาข้อศอกของคนเจ็บให้หงายขึ้นจนเห็นรอยถลอกสีแดงปรากฏอยู่

“นายไม่โกรธหรอ” แทฮยองถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในขณะที่รับรู้ถึงสัมผัสของก้อนสำลีที่แตะลงมาซ้ำๆ “ขอโทษอีกครั้งที่ไม่ฟังนายจนทำให้ต้องลำบากไปด้วย” จีมินเงยหน้าไปสบดวงตากลมที่จ้องมองเขาอยู่ ครั้งนี้แทฮยองไม่ได้หลบตาเขาแล้ว จนเขาสามารถเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววสำนึกผิดได้ชัด

“ผมไม่ได้ลำบากอะไร” จีมินหันกลับมาสนใจแผลบนข้อศอกที่เขาจับอยู่อีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือไปควานหายาใส่แผลและพาสเตอร์ยาจากในกล่องมาถือไว้

“ผมรู้ว่าคุณเก่งพอที่จะเอาตัวรอดได้แค่อยากให้ระวังกว่านี้ อย่าลืมว่าคนที่นี่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษกันทุกคน บางครั้งคุณก็อาจขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ยาก” ร่างบางได้แต่พยักหน้ารับโดยไม่เถียงอะไรออกไป เขายังจำได้ดีตอนที่วิ่งตามหัวขโมยแล้วตะโกนออกไปแต่คนรอบๆกลับไม่มีใครฟังรู้เรื่อง

“เอาข้อเท้ามาสิ ดูเหมือนคุณจะเจ็บนะ” จีมินหยิบคว้าเอาหลอดยานวดแก้ปวดขึ้นมาจากกล่องปฐมพยาบาล นึกชื่นชมทางโรงแรมที่มียาพื้นฐานไว้ให้ครบครันขนาดนี้ ในขณะที่ร่างบางที่นั่งอยู่พอได้ยินประโยคนั้นแล้วก็สั่นหัวปฏิเสธจนผมเส้นเล็กสะบัดปลิวไปหมด ก็เขาจะกล้ารบกวนคนไม่สนิทให้ช่วยนวดยาที่ข้อเท้าได้ยังไงกัน

“คุณเพิ่งขอโทษที่ไม่เชื่อฟังผมไปเมื่อกี้เองนะ” ถึงอยากจะเถียงว่ามันคนละเรื่องกันแต่แทฮยองก็พูดไม่ออก จนสุดท้ายร่างบางก็ยอมเขยิบตัวขึ้นไปจนสามารถชันข้อเท้าขึ้นมาวางที่ขอบเตียงได้ แล้วปล่อยให้มือหนาเลิกขาปลายกางเกงขายาวขึ้นโดยไม่ขัดขืน

“ไม่ถามหรอว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น”

“ก็เผื่อคุณไม่อยากพูดถึง” จีมินบีบเนื้อยาลงบนข้อเท้าที่ตอนนี้ยังไม่ได้มีอาการบวมให้เห็น ปลายนิ้วเรียวค่อยๆลงแรงนวดวนไปเป็นวงกลม ในขณะที่รับรู้ถึงอาการเกร็งของผิวเนื้อที่สัมผัสอยู่

“ก็จริง ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำว่าตัวเองโง่ขนาดไหน แต่บางทีฉันคงโง่ตั้งแต่มาที่นี่โดยมีเบาะแสแค่บิลเรียกเก็บค่าบัตรเครดิตของร้านอาหาร แล้วก็รูปถ่ายใบนึงแล้วล่ะ ฟังดูโง่มากใช่ไหม ที่ทำอะไรยุ่งยากมากมายทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย” จีมินเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของคำพูดอีกครั้ง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างดื้อรั้นตอนนี้เริ่มหม่นแสงลงนิดหน่อย มันทำให้เขารู้ว่าแทฮยองกำลังจะเริ่มถอดใจแล้ว มือหนายังคงนวดเอาเนื้อยาเย็นๆที่ส่งกลิ่นกระจายไปทั่วห้องให้ซึมซาบเข้าไปใต้ผิวเนื้อนิ่ม พร้อมเอ่ยบางประโยคออกไป ประโยคที่เขาหวังว่าจะเรียกความมั่นใจของคนตรงหน้ากลับมาอีกครั้ง

“คนโง่คือคนที่ยอมเชื่อโดยไม่ค้นหาความจริงเพียงเพราะกลัวความยากลำบาก ในขณะที่คุณกล้าที่จะตามหามันถึงจะรู้ว่ายากมากขนาดไหน” หลายครั้งที่คนอื่นๆมักจะพูดว่าแทฮยองเป็นคนดื้อรั้น แต่จีมินเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนรั้นแบบไม่มีเหตุผล ตรงกันข้าม ความมั่นใจที่ฉายให้เห็นอยู่เสมอในดวงตาคู่สวยนั้นแหล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจจนละสายตาไปไม่ได้

 “นายคิดว่าฉันจะหาพี่นัมจุนเจอมั้ย” จีมินเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าภายในลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนของแทฮยองเหมือนกำลังคาดหวังปะปนไปกับความกังวลอย่างปิดไม่มิด

“รู้ไหมว่าเรื่องแรกที่พี่นัมจุนเล่าถึงคุณให้ผมฟังคืออะไร” จีมินยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงความทรงจำครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องราวของแทฮยองจากปากของพี่ชายคนสนิท ครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่าคนๆนี้มีตัวตนอยู่

“ชื่อของคุณที่ปู่คุณตั้งให้”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยความหมายของชื่อตัวเองที่ปู่มักจะพูดให้ฟังเสมอตั้งแต่เด็ก “แทฮยอง แปลว่าต่อให้เผชิญกับความยากลำบาก ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี”

“ไม่ใช่แค่ปู่คุณกับพี่นัมจุนหรอกนะที่เชื่อมั่นแบบนั้น ถ้าเป็นแทฮยองน่ะ ผมมั่นใจว่าจะต้องผ่านไปได้ทุกเรื่อง”

“อย่าคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่มีความหมาย เมื่อไหร่ที่คุณคิดแบบนั้น การที่ผมมาอยู่ตรงนี้มันก็ไม่มีประโยชน์” อยู่ดีๆปลายนิ้วที่เคยนวดคลึงเนื้อยาอยู่ก็หยุดนิ่งเมื่อมีฝ่ามือบางของอีกคนเอื้อมมาวางทับไว้ เป็นครั้งแรกที่หัวใจจีมินเต้นเร็วขึ้นจนผิดจังหวะในตอนที่มองรอยยิ้มสวยซึ่งถูกส่งมาให้เขา ยิ้มแบบที่จีมินไม่เคยได้รับสักครั้ง มันอ่อนหวานจนทำให้เขานึกถึงรสชาติของค็อกเทลที่เพิ่งชิมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

“นั่นสินะ เราต้องตามหาพี่นัมจุนเจอแน่ๆ” แทฮยองบีบกระชับมือของเขาที่วางทับมือหนาไว้ในขณะที่ยังไม่คลายรอยยิ้มลงแม้แต่นิด ถูกอย่างที่จีมินพูด ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากขนาดไหน แต่ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ใช่แค่เขา หรือจีมิน แต่เป็นเราทั้งคู่ที่จะพากันผ่านมันไปให้ได้

ช่างน่าเหลือเชื่อในความคิดของบาเทนเดอร์อย่างจีมินที่ผ่านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาแล้วหลายร้อยหลายพันชนิด คนที่คอแข็งจนดื่มเหล้าไม่เคยเมา แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับพร่ามัวไปด้วยรอยยิ้มและสัมผัสเบาๆจากคนตรงหน้าเท่านั้น

หัวใจที่เต้นผิดหวังหวะเหมือนจะเร่งความเร็วขึ้นไปอีก ทั้งที่ไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เข้าร่างกายสักนิด แต่แค่คิมแทฮยองคนเดียวก็ทำเขาเมาได้

 

จนเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า ระยะทางและเวลาหลังจากนี้ เขาจะห้ามใจตัวเองจากค็อกเทลแสนหวานแก้วนี้ได้หรือเปล่า

 

reply00000028360

 

คิ้วที่ขมวดมุ่นและดวงตาเรียวรีซึ่งอยู่เบื้องหลังแผ่นกระดาษที่เจ้าตัวถืออยู่ทำให้ความมั่นใจที่มีอยู่น้อยนิดของแทฮยองยิ่งลดลงไปอีก จนลำคอสวยได้แต่กลืนน้ำลายถี่ๆพลางสูดลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นกงวลกับคำพูดที่จะออกจากริมฝีปากหนานั้น

แทฮยองรู้ว่าเบาะแสเกี่ยวกับพี่ชายที่ตัวเองมีอยู่มันน้อยมากจนแทบไม่มีประโยชน์ รูปถ่ายใบเดียวและบิลค่าบัตรเครดิตกับแผนการเดินทางมาถึงอิตาลี ถ้าเล่าออกไปให้ใครฟังทุกคนคงส่ายหน้าหนี รวมทั้งผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาบนโต๊ะอาหารตอนนี้ด้วย แทฮยองแค่กำลังรอว่าประโยคแรกที่จีมินจะพูดออกมาคือหาว่าเขาเป็นบ้าหรือไร้สติหรือเปล่าถึงคิดแผนการนี้ออกมาได้

“เพราะบิลค่าบัตรเครดิตร้านอาหารคุณเลยเดาว่าพี่ชายคุณน่าจะอยู่ในเมืองนี้ แล้วเพราะมีรูปถ่ายใบเดียวในไร่องุ่น คุณเลยตั้งใจจะไปตระเวนตามไร่องุ่นทีละแห่งเหมือนที่ไปร้านอาหารมาเมื่อวานนี้ ผมเข้าใจถูกใช่มั้ย”

แทฮยองพยักหน้าหงึกหงักกลับไป ทั้งที่ก่อนหน้าเขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองใหญ่พอๆกับคนตรงข้าม แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกว่าจีมินตัวใหญ่ขึ้นในขณะที่เขาตัวเล็กลงเรื่อยๆ

 

“คุณรู้ใช่ไหมว่าการที่พี่นัมจุนเข้าร้านอาหารที่นี่มันเป็นไปได้ทั้งว่าเคียนติเป็นจุดหมายปลายทางหรืออาจจะเป็นแค่ทางผ่านเพื่อเดินทางไปเมืองอื่นก็ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาอาจจะอยู่หรือไม่อยู่ที่นี่ก็ได้เหมือนกัน แม้แต่ไรองุ่นในรูปนั่นก็ด้วย มันอาจจะอยู่หรือไม่อยู่ในเคียนติเราก็ไม่มีทางรู้ แล้วถ้ารูปถ่ายนั้นเกิดขึ้นแค่เพราะพี่นัมจุนแวะเข้าไปเที่ยวชม ถึงสุดท้ายเราจะตามหาไร่นั้นเจอ ก็อาจไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนที่คุณไปที่ร้านอาหารมาแล้ว” จีมินจ้องมองคนที่นั่งตัวลีบเล็กอยู่ตรงหน้า ใบหน้าสวยยู่ลงอย่างกังวลว่าจะถูกดุ จนเขาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

“ก็…พอจะคิดเอาไว้อยู่บ้าง”

“พี่นัมจุนใช้บัตรเครดิตจ่ายค่าอาหารแล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้บัตรอีก แล้วบัตรใบอื่นกับพวกบัญชีธนาคารของพี่ชายคุณล่ะ ได้ลองเช็คดูบ้างแล้วหรือยัง บางทีอาจมีการเคลื่อนไหวอะไรที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็ได้”

สีหน้าที่เหมือนเพิ่งนึกเรื่องนี้ออกทำให้จีมินอดเป็นห่วงไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็คิดถูกที่ไม่ได้ปล่อยให้แทฮยองมาตะลุยอิตาลีคนเดียวโดยที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยแบบนี้ “คุณเขียนมาให้ผมสิ บัญชีของพี่ชายคุณเท่าที่คุณรู้ เดี๋ยวผมให้เพื่อนที่ทำงานธนาคารช่วยเช็คให้”

 

แทฮยองยอมทำตามที่จีมินแนะนำให้ในขณะที่คิดว่าเพื่อนร่วมทางของเขามีประโยชน์มากกว่าที่คิด หรือจะพูดให้ถูกคือจีมินออกจะมีประโยชน์มากกว่าตัวเขาด้วยซ้ำ จีมินสามารถคิดอะไรดีๆได้ และจีมินสามารถทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายดายขึ้น

“ถ้าคุณคิดจะไปตามหาไร่องุ่นจริงๆผมว่าเราเช่ารถขับเองคงสะดวกกว่านะ”

“นายไม่มองว่าแผนของฉันไร้สาระเป็นไปไม่ได้หรอ”

“ตอนนี้เราก็ไม่ได้มีข้อมูลอื่นมากไปกว่านี้แล้วนี่”

บทสรุปของแผนการครั้งนี้ลงเอยด้วยการที่แทฮยองมานั่งอยู่บนนั่งข้างคนขับภายในรถเฟียตคันเล็กที่จีมินเป็นคนจ่ายค่าเช่าให้เพราะกระเป๋าเงินของเขาถูกขโมยไปแล้ว แถมอีกฝ่ายเองก็ยังควบตำแหน่งคนขับไปด้วยเพราะดูจะเชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางและกฎจราจรในประเทศนี้มากกว่า

“วันนี้เริ่มจากไร่องุ่นที่ใกล้ๆโรงแรมก่อนแล้วกัน แต่ละที่มันก็อยู่ห่างกันนิดหน่อย ช่วยผมดูจีพีเอสด้วยนะ” แทฮยองพยักหน้าอย่างเชื่อฟังจนจีมินที่มองอยู่อดอมยิ้มไม่ได้

 

reply00000028360

 

แสงแดดกับอากาศร้อนเป็นของคู่กันโดยเฉพาะยามสายที่ดวงอาทิตย์อยู่เกือบกึ่งกลางท้องฟ้า แทฮยองใช้หลังมือปาดเอาเหงื่อที่ไหลซึมอยู่ตามใบหน้าและลำคอออกในขณะที่เดินไปตามทางเดินในไร่องุ่นแห่งแรกที่พวกเขามาถึง ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูร้อนแต่อากาศในเคียนติกลับร้อนอบอ้าวจนแผ่นหลังเปียกชุ่มไปหมด

“คนดูแลไร่บอกว่าจำไม่ได้ว่าเคยเห็นพี่ชายคุณหรือเปล่า เขาบอกว่าคนเอเชียหน้าตาคล้ายกันไปหมดแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามาจากประเทศไหนบ้าง” แทฮยองพยักหน้าอย่างเข้าใจกับประโยคที่จีมินหันมาแปลให้ ถึงในใจจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาคงไม่โชคดีขนาดจะเจอเบาะแสสำคัญตั้งแต่เดินทางมาถึงไร่องุ่นแห่งแรกหรอก

“แต่เขาชวนเราไปดูไวน์ของไร่นะ เขาว่าไวน์ที่นี่อร่อยกว่าไร่อื่นๆในแถบนี้ทั้งหมด” ถึงปกติจะไม่ใช่คนดื่มแอลกอฮอล์แต่แทฮยองก็ยอมเดินตามจีมินกับคนดูแลไร่ไปเพื่อไม่ให้เสียมารยาท เขารู้สึกว่าตัวเองต้องเสียเหงื่อไปอีกเป็นลิตรกว่าจะถึงโรงบ่มไวน์ที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในไร่ ซึ่งภายในเต็มไปด้วยถังไม้และกลิ่นองุุ่นที่กระจายไปทั่ว

แทฮยองทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน เขายอมรับว่าตัวเองไม่ได้แข็งแรงมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเดินท่ามกลางแดดจ้านานๆตามประสาคนที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายเท่าไหร่ ตอนนี้นอกจากความปวดเมื่อยที่ขาแล้ว สิ่งเดียวที่เขารู้สึกก็คือความร้อนจนเริ่มจะแสบผิวหน้าไปหมด

สัมผัสของผ้ายีนส์เนื้อแข็งซับลงบนหน้าผากนูนสวยเบาๆเพื่อเช็ดเอาหยดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผมออก ดวงตาสีน้ำตาลสวยช้อนขึ้นมองเจ้าของแจ็กเก็ตสียีนส์ตัวนั้น สบประสานสายตาเข้ากับดวงตาเรียวรีที่อยู่เบื้องหน้าของเขา

แขนเสื้อแจ็กเก็ตสียีนส์ที่จีมินสวมอยู่ไม่ได้นิ่มนักออกจะแข็งๆด้วยซ้ำ แต่แทฮยองก็เลือกที่จะหลับตาลงรับสัมผัสแผ่วเบาที่ซับลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเช็ดเอาคราบความชื้นที่เหนียวเหนอะหนะออกให้ เป็นอีกครั้งที่ความใส่ใจของจีมินทำให้แทฮยองสบายตัวขึ้น จนกลายเป็นความสบายใจที่มีคนๆนี้อยู่ด้วยอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากใช้เวลาอยู่ในโรงบ่มไวน์พักใหญ่จนแทฮยองหายเหนื่อแถมเพื่อนร่วมทางของเขาเองก็ยังได้ไวน์ติดไม้ติดมือมาเพิ่มอีก 2 ขวดก็ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางอีกครั้ง เจ้าของร่างบอบบางหยุดยืนอยู่หน้าโรงบ่มไวน์ในขณะที่ทอดสายตาขึ้นไปมองดวงอาทิตย์ที่แผดแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง ก่อนที่แสงสว่างในกรอบสายตาของเขาจะค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ เมื่อมีหมวกใบใหญ่สวมลงมาบนศีรษะ ช่วยบดบังแสงที่แผดเผาใบหน้าและลำคอเขาอยู่

“อากาศร้อนไปหน่อย สวมไว้คงจะดีกว่า”

มือบางสัมผัสลงบนหมวกที่ตัวเองสวมอยู่ หมวกสานเรียบๆที่ไม่ได้ถูกออกแบบให้สวยงามอะไร แต่กลับเรียกความรู้สึกเดิมๆให้กลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกของการได้รับความเอาใจใส่จากใครสักคน

“อื้อ ขอบคุณ”

จีมินเหลือบมองใบหน้าสวยภายใต้หมวกสานที่ขึ้นสีแดงระเรื่อจากอากาศที่ร้อนระอุ หมวกใบนั้นที่เขาเอ่ยถามจากคนดูแลไร่เพราะทนเห็นคนตัวบางเดินตากแดดจนใบหน้าและลำคอกลายเป็นสีแดงไม่ได้ ถึงได้ยอมเสียเงินซื้อไวน์ที่ไม่เกรดไม่ได้แย่นักกลับมาสองขวดเพื่อแลกกับหมวกสานสักใบให้แทฮยองได้ใส่ เพราะนี่เพิ่งจะเป็นการเริ่มต้นตามรอยคิมนัมจุนเท่านั้น กว่าจะได้เบาะแสที่ต้องการจีมินเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลานานขนาดไหน อาจจะเป็นสัปดาห์ หรือหลายสัปดาห์ด้วยซ้ำ เขาเองก็ไม่อยากให้เจ้าของเหตุผลที่ทำให้ตัวเองมาไกลถึงที่นี่ต้องป่วยเสียก่อน

 

reply00000028360

 

เหนื่อย แทฮยองยอมรับว่าการตระเวนเดินทางไปเรื่อยๆแบบนี้เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก ทั้งการนั่งอยู่ในรถแทบจะทั้งวันและการเดินในไร่ท่ามกลางแดดร้อนจัด จนสองขาของเขาแทบจะหมดแรงลากไปกับพื้น แต่ที่ทำให้รู้สึกแย่ที่สุดเห็นจะเป็นผลตอบแทนที่ได้จากการเดินทางตลอดทั้งวันนี้ เบาะแสที่ไม่มีเพิ่มเติมสักนิด เพราะทุกไร่ต่างก็มีนักท่องเที่ยวเดินแวะเวียนไปเรื่อยๆ จนคนดูแลไร่ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเขาได้ เหมือนแทฮยองกำลังเสียเวลาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่

ภายในรถเงียบสนิทเมื่อคนที่เคยร่าเริงสดใสดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่เพิ่งจะแค่วันแรกแล้วพวกเขาก็เพิ่งจะแวะไร่องุ่นไปได้แค่ 3 ที่แต่แทฮยองกลับดูถอดใจจนจีมินสัมผัสได้ แล้วเขาเองก็ไม่ชอบมองแทฮยองที่เอาแต่ถอดใจแบบนี้เลย เขายังชอบแทฮยองที่ดื้อรั้นแบบปกติมากกว่า

“อย่าเพิ่งท้อแบบนั้นสิ คิดซะว่าวันนี้เราไปเที่ยวกันไง” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่คนฟังก็ยังเอาแต่นิ่งเงียบอยู่ดี เจ้าของดวงหน้าสวยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติและไร่สวนของชาวบ้านตามแบบฉบับเมืองแห่งการเกษตรของคนที่นี่ ข้อมือบางกดปุ่มเลื่อนกระจกรถฝั่งตัวเองลงจนลมด้านนอกพัดเข้ามาปะทะผิวหน้าในขณะที่ดวงตาสีอ่อนปิดสนิท ทำเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ความสดชื่นของสายลมยามเย็นพัดเอาความท้อแท้ให้หายไปบ้าง

จีมินมองคนที่นั่งนิ่งสลับกับของในตะกร้าที่อยู่เบาะหลัง บรรยากาศภายนอกรถตอนนี้ไม่ได้มีแดดจ้าเหมือนเมื่อตอนบ่ายอีกแล้วเมื่อเวลาเหยียบใกล้หกโมงเย็นเข้าไปทุกที สองข้างทางถึงมีแต่บรรยากาศสงบเงียบของธรรมชาติและสายลมที่พัดผ่านไปมาให้ความสดชื่น

พวงมาลัยรถถูกเบี่ยงออกนอกเส้นทางกลับโรงแรมจากที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกแต่ดูเหมือนคนที่นั่งหลับตานิ่งจะยังคงไม่รู้สึกตัว จีมินขับรถไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่ปรากฏอยู่ในจีพีเอส จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางถึงได้หยุดรถลงในสถานที่หนึ่งซึ่งห่างออกไปจากโรงแรมพอสมควร

 แทฮยองได้แต่งงงวยตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าจุดที่รถหยุดไม่ใช่โรงแรมของพวกเขาอย่างที่คิด แต่ยังไม่ได้ถามอะไรดี คนขับอย่างจีมินก็ลงจากรถไปก่อนแล้วอ้อมมาหยุดตรงประตูฝั่งที่เขานั่ง และมือหนาก็เปิดมันออกก่อนจะถอยหลังไปเพื่อเป็นสัญญานให้แทฮยองเดินลงจากรถ

ภาพด้านนอกที่แทฮยองได้เห็นคือเนินเขาที่เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนและมองลาดลงไปด้านล่างจะเห็นพื้นที่ของไร่องุ่นแห่งหนึ่งซึ่งล้อมรอบด้วยรั้วลวดหนามกินพื้นที่กว้างขวาง มีบ้านคนอยู่ประปราย ในขณะที่อีกด้านก็เป็นเนินเขาสูงต่ำสลับกันซึ่งมองเห็นดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มอ่อนของยามเย็น

“แวะดูพระอาทิตย์ตกกันหน่อยไหมคุณ”

 

128866881.jpg

 

แทฮยองนั่งลงบนพื้นหญ้าที่ให้ความรู้สึกนุ่มไม่แตกต่างจากผืนพรมในห้องพัก ร่างบอบบางชันเข่าก่อนจะเอาหน้าของตัวเองวางท้าวลงไป ในขณะที่นึกแปลกใจนิดหน่อยที่จีมินมีอารมณ์ชวนเขามาดูพระอาทิตย์ตกดินแทนที่จะกลับโรงแรมไปพักผ่อน

จีมินเดินย้อนกลับมาที่รถอีกครั้งโดยปล่อยให้แทฮยองนั่งอยู่เพียงลำพังเพื่อหยิบตะกร้าสานที่วางอยู่เบาะหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงดังจากเครื่องมือสื่อสารที่ถูกวางทิ้งไว้ เพียงแต่มันไม่ใช่มือถือของเขาแต่เป็นของแทฮยองที่วางลืมไว้ต่างหาก

ร่างหนาเดินอ้อมกลับไปยังที่นั่งของแทฮยองเพื่อหยิบมือถือที่เจ้าตัววางไว้ ลังเลนิดหน่อยเมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยม แต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะคว้าเอาทั้งตะกร้าสานและมือถือสีขาวเครื่องนั้นเดินกลับไปหาคนที่นั่งรออยู่

“เมื่อกี้มือถือคุณดังน่ะ” จีมินพูดแค่นั้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยออกไปถึงเจ้าของเบอร์โทรที่ตัดสายไปแล้ว เขาเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ว่าเป็นพี่ชายตัวเองที่โทรมา และทำแค่นั่งลงข้างๆแทฮยองพร้อมกับตะกร้าที่ตั้งใจถือมา

ผ่านไปแค่อาทิตย์กว่าแต่แทฮยองกลับรู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้คุยกับใครอีกคนที่เป็น miss call อยู่บนหน้าจอมือถือของเขา แทฮยองไม่รู้จริงๆว่าเขาควรจะรู้สึกยังไง กับพี่โบกอมที่รู้จักกันเพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ชายของเขา ความใจดีและเป็นสุภาพบุรุษที่ทำให้แทฮยองรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่มีคนแบบนี้มาตกหลุมรัก แต่ในเวลาที่แทฮยองกำลังลำบากแบบนี้ ต้องการกำลังใจ ต้องการคนสนับสนุน แต่พัคโบกอมกลับไม่อยู่ข้างๆ

มือบางเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเองโดยไม่ได้คิดจะโทรกลับไปที่ปลายสาย เขาแค่กลัวคำพูดที่จะออกมาจากปากโบกอม กลัวว่าอีกฝ่ายจะตอกย้ำว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันไม่มีประโยชน์ แทฮยองแค่กลัวว่ากำลังใจของเขาที่มีอยู่น้อยนิดตอนนี้จะลดหายไปอีก

“เคียนติเป็นเมืองที่สวยนะคุณว่ามั้ย เต็มไปด้วยธรรมชาติ สงบเงียบ แถมยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ยี่ห้อดีๆของโลกด้วย” จีมินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาทำลายบรรยากาศเงียบสงบที่เป็นอยู่ จนแทฮยองหันมามองเจ้าตัวก่อนจะตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

“อืม คงงั้นมั้ง ไม่รู้สิ ฉันไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์เท่าไหร่”

จีมินอมยิ้มให้กับคำตอบที่ได้รับ ดวงตาเรียวรียังจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวานภายใต้หมวกสานใบเดิม ความสวยงามที่หมวกสานราคาถูกๆไม่ได้ลบเลือนให้ลดน้อยลงสักนิด

“คุณทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า คนเรามักให้ความสำคัญกับจุดหมายปลายทางมากกว่าสิ่งที่เจอระหว่างทางเลย”

“…”

“ถึงเหตุผลที่ทำให้มาที่นี่จะเป็นเพราะตามหาพี่นัมจุนก็เถอะ แต่คุณกังวลมากไปหรือเปล่า คุณมุ่งมั่นจนพลาดสิ่งดีๆที่ควรจะได้รับ ทั้งบรรยากาศสวยๆ ธรรมชาติที่เงียบสงบ หรือแม้แต่ของอร่อยๆที่ไม่ได้มีแค่ไวน์องุุ่น”

 มือหนาเปิดตะกร้าสานที่เขาได้มาจากการเยี่ยมเยือนไร่องุ่นทั้งสามที่ในวันนี้ ขวดแก้วขนาดกลางที่เต็มไปด้วยของเหลวสีม่วง กับห่อกระดาษบางๆสีขาวที่ภายในคือทาร์ตและพายองุ่นหอมๆ

“น้ำองุ่นที่นี่อร่อยกว่าที่คุณซื้อแบบแพงๆในซุปเปอร์มาร์เก็ตซะอีก หวานแบบไม่ต้องใส่น้ำตาลเพิ่มเลยด้วยซ้ำ ลองชิมดูสิ”

แทฮยองยอมรับขวดน้ำองุ่นมาจากมือหนา ลิ้มรสชาติหวานที่มีความเปรี้ยวนิดๆทำให้รู้สึกสดชื่น ในขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ เก็บเกี่ยวภาพบรรยากาศสวยงามแบบที่จีมินเอ่ยถึง

“นายเคยตัดสินใจอะไรที่ทำให้ตัวเองดูโง่บ้างมั้ย” ริมฝีปากบางหลุดประโยคที่วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดมาตลอด

“ถ้าในสายตาคนอื่นก็บ่อยไป อย่างเช่นตอนที่ผมเลือกจะมาเรียนที่อิตาลีแทนที่จะเป็นอเมริกาอย่างพี่โบกอม หรือที่อังกฤษอย่างญาติพี่น้องคนอื่นๆ หรือตอนที่ผมเลือกจะเป็นบาร์เทนเดอร์แทนที่จะเข้าไปทำงานเป็นผู้บริหารอย่างที่พ่อกับพี่ชายคาดหวัง”

“มิน่าล่ะถึงพูดอิตาเลียนได้คล่องขนาดนี้ แต่เอาจริงนายไม่ได้ดูโง่หรอก ไม่ใกล้เคียงกับคำนั้นเลย” อย่างน้อยก็ในความคิดของแทฮยองตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการคิด หรือการตัดสินใจในอดีตก็ไม่ได้ทำให้จีมินดูโง่อย่างที่เจ้าตัวบอก

“ผมแค่โชคดีที่ทุกอย่างมันไม่ได้ออกมาล้มเหลวเลยไม่ได้ดูโง่นักในสายตาคนอื่น แต่สุดท้ายมันก็แค่ในสายตาคนอื่นนั่นแหล่ะ กดดันตัวเอง หรือเอาความคิดของคนอื่นมาทำให้ตัวเองกดดันมันก็ไม่ต่างกันหรอก สำหรับผมแค่มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำก็พอ จะผิดไปบ้างพลาดไปบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร” จีมินมั่นใจว่าคนฉลาดอย่างแทฮยองจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ สุดท้ายแล้วสิ่งที่จีมินคาดหวังคือเห็นได้แทฮยองที่มั่นใจกลับคืนมาอีกครั้ง แทฮยองในแบบที่สะดุดตาเขาเสมอ

“คุณจะสนุกและสบายใจมากกว่าถ้าปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปเรื่อยๆ อย่ากังวลมากนัก ผมชินกับคุณที่เอาแต่มั่นใจในตัวเองมากกว่าคุณเวอร์ชั่นนี้ซะอีก” แทฮยองมองเห็นรอยยิ้มกวนๆที่มุมปากของคนข้างๆเขา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังมันสักนิด ภาพความทรงจำในช่วงที่เคยพบหน้ากันบ้างกลับมาในห้วงความคิด เรื่องราวของจีมินที่เคยรับรู้มาบ้างผ่านเข้ามาในหัว แทฮยองไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลยว่าจะมีวันนี้ที่ได้นั่งคุยกันอยู่ข้างๆ

“นายต่างจากที่ฉันคิดไว้นะ ไม่คิดว่าจะเป็นพวกนักปรัชญา แถมยังกวนประสาทด้วย”

“มีอีกหลายอย่างที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับผม แต่เรายังมีเวลาอีกมาก ค่อยๆทำความรู้จักกันไปก็ได้หนิ”

แทฮยองเผลอยิ้มออกมาจนได้เมื่อคิดถึงการเดินทางในวันนี้ ถึงแม้จะไม่มีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับพี่นัมจุนเพิ่มขึ้น แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้พลาดสิ่งดีๆที่จีมินบอก ทั้งบรรยากาศสวยๆ ธรรมชาติที่เงียบสงบ ของอร่อยๆ รวมทั้งตัวตนของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆเรียกความสนใจของแทฮยองไปจนหมด บรรยากาศรอบข้างดูสวยงามไม่ต่างจากภาพวาดเสมือนจริงที่แทฮยองเคยเห็นในนิศรรศการที่ไปดูมาครั้งหนึ่ง ภาพของคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างกันบนทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม จนมองเห็นเงาอีกสองเงาที่ทอดลงบนพื้นทางด้านหลัง รอบด้านของพวกเขาตอนนี้ไม่ได้มีใครอีกแล้ว มีแค่สายลมเย็นๆที่พัดผ่านมาเป็นระลอกๆ ซึ่งบางคราวก็แรงจนแทฮยองต้องคอยจับปีกหมวกใบใหญ่เอาไว้

“อ๊ะ” แต่เพราะมัวเผลอไผลกับการจับจ้องดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าถึงได้ปล่อยมือจนหมวกเกือบปลิวหลุดไปเพียงแต่มือบางนั้นเอื้อมมือไปคว้าไว้ทันก่อน

แล้วก็ไม่ใช่แค่มือของแทฮยองที่เอื้อมไปคว้ามันไว้ แต่มือคู่หนาของจีมินเองก็เอื้อมออกมาเกือบพร้อมกันจนกุมทับมือบางของแทฮยองที่จับปลายหมวกเอาไว้ได้ มันเป็นเสี้ยววินาทีเล็กๆที่ร่างของแทฮยองเซไปชนกับจีมินที่นั่งอยู่ข้างๆจนระยะห่างระหว่างคนสองคนกลับกลายเป็นศูนย์ บางสิ่งทำให้แทฮยองนิ่งจนไม่ได้ขยับตัวออก ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ อาจเป็นดวงตาเรียวรีในระยะประชิดที่คล้ายจะฉายแววบางอย่างที่แทฮยองมองไม่ชัดนักแต่กลับดึงดูดสายตาเขาเอาไว้จนผละมองไปทางอื่นไม่ได้ อาจเป็นความอุ่นวาบที่เกิดขึ้นตรงไหล่ข้างซ้ายซึ่งซ้อนทับกับไหล่ของจีมินอยู่ อาจจะเป็นความรู้สึกยุบยิบเหมือนมีมดร้อยตัวที่ไต่ไปมาข้างในอก หรืออาจเป็นลมหายใจอุ่นๆที่รดรินอยู่ที่แก้มของเขา

อะไรพวกนั้นที่รวมกันแล้วทำให้แทฮยองใจเต้นแรงจนลืมทุกสิ่งอย่าง ลืมขยับร่างกายตัวเองออก ลืมดวงอาทิตย์ที่ทอแสงสีส้มและกำลังจะลับขอบฟ้า ลืมสนใจแม้กระทั่งบรรยากาศสวยงามราวกับภาพวาดของคนสองคนซึ่งแนบชิดกันจนเงาที่ทอดยาวบนพื้นหญ้าด้านหลังรวมเป็นหนึ่งเดียว

 

128950698.jpg

 

เหมือนจะนานแต่ก็ไม่มากนักนับจากวันที่แทฮยองเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังดินแดนที่อยู่ห่างออกไปคนละซีกโลกอย่างอิตาลี และท่ามกลางช่วงเวลาเล็กๆบนดินแดนที่เงียบสงบนี้ แทฮยองรับรู้ได้ดีถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ถ้วยโยเกิร์ตและผลไม้สดถูกวางลงตรงหน้าเขาด้วยฝีมือของใครอีกคนที่ทำแบบนี้เป็นประจำในทุกๆเช้า จนคนที่ไม่นิยมทานอะไรก่อนเที่ยงวันเริ่มเคยชินกับการหยิบจับอะไรเข้าปากบ้าง

รสชาติของผลไม้กับโยเกิร์ตเข้ากันได้ดีทิ้งความหวานอมเปรี้ยวที่สดชื่นเอาไว้ที่ปลายลิ้นและริมฝีปากในทุกคำที่แทฮยองทานมันเข้าไป ในขณะที่ดวงตากลมสวยก็พิจารณาคนตรงข้ามซึ่งเพลิดเพลินกับการทานขนมปังเนยคู่คาปูชิโน่เหมือนชาวอิตาเลียนคนอื่นๆ ที่จะทานของหวานเป็นหลักในมื้อเช้า

“วันนี้ต้องออกเดินทางอีกครั้งแล้วสินะ” คำพูดของคนที่เงยหน้าขึ้นมาทำให้แทฮยองนึกได้ว่าเช้านี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายสำหรับพวกเขาในโรงแรมนี้ ไม่ใช่ว่าทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเขาเยี่ยมเยียนไร่องุ่นในแถบใกล้ๆจนครบหรอก แต่เพราะข้อมูลใหม่ที่ได้จากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวบัญชีธนาคารของพี่นัมจุนต่างหาก

‘ก่อนที่พี่ชายคุณจะหายไป เขาโอนเงินเข้าบัญชีนึงอยู่สามเดือนติดกัน ครั้งนึงก็เกือบยี่สิบล้านวอนได้ แล้วจากที่เพื่อนผมเช็คมาให้ดูเหมือนบัญชีปลายทางเองก็อยู่ที่อิมปรูเนตาด้วย’ อิมปรูเนตาเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในเคียนติและไม่ได้ไกลออกไปมากนักจากจุดที่พวกเขาอยู่ ซึ่งเมื่อวานหลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว แทฮยองกับจีมินก็เห็นตรงกันว่าหากพวกเขาไปเริ่มต้นที่อิมปรูตาเลยอาจจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าจุดหมายปลายทางของพี่นัมจุนจะเป็นเจ้าของบัญชีที่ตอนนี้พวกเขารู้เพียงแค่ชื่อนามสกุลหรือเปล่า

“นายคิดยังไงกับจำนวนเงินที่พี่นัมจุนโอนไป เงินพวกนั้นจะเป็นเงินที่หายไปจากบริษัทหรือเปล่า” จีมินเงยหน้าขึ้นไปสบกับเจ้าของดวงตากลมโตอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถาม จริงอยู่ที่เมื่อวานเขาบอกแทฮยองเรื่องนี้ แต่เขาเองก็ไม่ได้พูดหรือตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่ได้รับรู้มาเลย

“จำนวนเงินที่โอนมันอาจจะไม่ได้มากเท่าเงินที่หายไป แต่ยังไงมันก็มากเกินกว่าปกติ จนน่าแปลกที่พี่นัมจุนไม่เคยพูดถึงมันเลย” กับพี่ชายที่แทฮยองมั่นใจว่ารู้จักดีทุกซอกทุกมุม แม้แต่ตอนนี้เขาเองก็ทำใจเชื่อไม่ได้ว่าพี่นัมจุนยักยอกเงินบริษัทไป เพียงแต่เรื่องที่ได้รู้ทำให้เขาตระหนักว่าพี่ชายเองก็มีเรื่องราวที่เขาไม่รู้

“ผมไม่รู้หรอกว่าความลับของพี่ชายคุณคืออะไร ที่เขาไม่บอกก็อาจเป็นไปได้ว่าไม่รู้จะพูดยังไง ทุกคนเองก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ทั้งนั้น ยิ่งกับคุณที่เป็นน้องชายเขาก็คงอยากแสดงออกแต่ด้านดีๆให้เห็น หรือบางทีมันอาจไม่มีอะไรเลยตั้งแต่แรกก็ได้” จีมินมองคนที่ใช้ช้อนคนโยเกิร์ตในถ้วยที่เขาตักมาให้เล่นหลังจากที่กินมันจนพร่องไปเกินครึ่งถ้วย เขารู้ดีว่าภายในหัวเล็กๆคงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ แต่จีมินเองรู้ดีกว่าใครว่าบางครั้งคนเราก็ไม่ความลับที่ไม่สามารถพูดไปได้

“คนเราก็มีผิดบ้าง พลาดบ้าง แต่สุดท้ายก็จะพยายามหาทางออกที่ส่งกระทบกับตัวเองแล้วก็คนที่รักน้อยที่สุด ผมเชื่อว่าพี่ชายคุณจะคิดถึงคุณแน่ถ้าเขาต้องตัดสินใจอะไรสักอย่าง” ตะกอนเล็กๆที่ขุ่นมัวเหมือนจะหายไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น จริงอยู่ว่าแทฮยองรู้สึกแย่ตอนรู้ว่าพี่นัมจุนมีความลับกับเขา จนลืมไปว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าเรื่องไหนก็เป็นพี่นัมจุนทั้งนั้นที่คิดถึงแทฮยองก่อน

“ขอบใจ นายดูเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นเสมอเลย” เพราะคำพูดของจีมินมักทำให้แทฮยองสบายใจขึ้น คำพูดที่หลายๆครั้งราวกับนั่งอยู่ในใจของเขา

จีมินยิ้มรับนิ่งๆกับสิ่งที่แทฮยองเข้าใจ โดยที่ไม่ได้กฏิเสธออกไปว่าเขาแค่ใส่ใจกับบางคนเป็นพิเศษ

“อ่า ไปกันเถอะ วันนี้เราคงต้องเดินทางไกลกว่าทุกๆวันเลยล่ะ”

 

128950698.jpg

 

อิมปรูเนตาที่แทฮยองได้มาเห็นด้วยตาตัวเองเป็นเมืองเล็กๆซึ่งอาคารและสิ่งก่อสร้างยังสะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมที่สวยงามไม่ต่างจากเมืองอื่นๆของอิตาลี แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยไร่องุ่นมากมายคงความเป็นส่วนหนึ่งของเคียนติดินแดนแห่งไวน์องุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

“หาโรงแรมพักแล้วก็คงต้องแผนเดิมนะคุณ ตระเวนตามไร่องุ่น เพราะถึงเราเดินเข้าไปขอข้อมูลของเจ้าของบัญชี ธนาคารก็คงไม่ยอมให้เราอยู่ดี” สุดท้ายถึงจะจำกัดพื้นที่ในการตามหาได้แคบลงมากแต่เบาะแสที่มีมาเพิ่มก็แค่เลขบัญชีปลายทาง ชื่อ นามสกุล และสาขาที่เปิดบัญชีเท่านั้น พวกเขาถึงได้ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว

“ป้ายประกาศบอกว่าอาทิตย์หน้าจะมีเทศกาลองุ่นประจำปี น่าจะเป็นเทศกาลที่ใหญ่สุดของที่นี่แล้วมั้ง ไว้ถ้าว่างเราลองไปดูกันมั้ย” แทฮยองหันไปมองป้ายโฆษณาข้างทางที่ซึ่งเพิ่งขับรถผ่านเมื่อครู่ มันถูกเขียนด้วยภาษาอิตาเลียนที่เขาแปลไม่ออก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของจีมินที่เคยมาเรียนอยู่นี่

“อือ เอาสิ” นอกจากจะเป็นกำลังสำคัญในการตามหาพี่ชายแล้ว อีกสิ่งที่แทฮยองนึกชื่นชมคือผู้ชายข้างเขาทำหน้าที่ผู้นำทัวร์ได้ดีมากๆ ทั้งหมวกสานที่เคยให้มาซึ่งกลายมาเป็นของติดตัวแทฮยองไปแล้ว หรือแม้แต่ขนม อาหาร ผลไม้สดที่จีมินมักจะหามาให้ชิมอยู่เสมอ ด้วยคำชวนที่ว่ามันอร่อยเพราะวัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติมากกว่าที่อื่นๆ จนการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้น่าเบื่อ ไม่ได้มีแต่พิซซ่าและพาสต้าเลี่ยนๆแบบที่แทฮยองจิตนาการเอาไว้แต่แรก

งานเทศกาลหมุนเวียนมาถึงตามที่พูดไว้หลังพวกเขาใช้เวลาทั้งอาทิตย์ไปกับการเยี่ยมชมไร่องุ่นในอิมปรูเนตาเพื่อหาเบาะแสของนัมจุนแต่ยังไม่พบ แล้วก็เป็นจีมินที่วกกลับมาพูดเรื่องนี้อีกครั้งหลังจากงานเทศกาลที่แสนยิ่งใหญ่จัดขึ้นมาสามสี่วันแล้ว

“ถือว่าไปเที่ยวเล่นพักผ่อนสมองบ้างก็แล้วกันนะคุณ เทศกาลนี้มันมีแค่ปีละหน ถ้าพลาดไปก็เหมือนมาไม่ถึงน่ะ”

ขบวนพาเหรดของชาวเมืองในชุดสไตล์ย้อนยุคเคลื่อนที่มาพร้อมกับรถที่มีโมเดลรูปขวดไวน์องุ่นขนาดใหญ่และเครื่องดนตรีที่ถูกบรรเลงอย่างสนุกสนาน แทฮยองมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างซึ่งเต็มไปด้วยสีม่วง สีเขียว สีแดงของลูกองุ่น จนแม้แต่คนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องไวน์อย่างเขาเองยังสมผัสได้ว่านี่ที่เป็นดินแดนแห่งองุ่นแท้ๆ

“มีร้านขายขนมกับอาหารเยอะแยะเลยนะคุณ แล้วก็มีให้เหยียบองุ่นทำไวน์ด้วยนะ” ยังไม่ทันได้พูดอะไรฝ่ามือหนาก็คว้ามือของเขาให้เดินตามไปเสียแล้ว จนกระทั่งหยุดอยู่หน้าลานกว้างที่เต็มไปเต็มถังไม้ที่มีลูกองุ่นอยู่ในนั้น และมีคนคอยพูดเชิญชวนนักท่องเที่ยวด้วยภาษาอังกฤษให้ลงไปเหยียบองุ่นทำไวน์ดูสักครั้ง

 

128953464

 

“ลองดูหน่อยสิ ไหนๆก็มาถึงแล้ว” ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธแขนของแทฮยองก็ถูกดึงจนปลิวมาหยุดอยู่หน้าถังไม้ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของงานเทศกาลอีกสองสามคนที่กุลีกุจอมาถอดรองเท้าพร้อมล้างเท้าให้เสร็จสรรพก่อนต้อนลงไปในถังไม้ที่เต็มไปด้วยผลองุ่น

“ก็บอกว่าไม่เอ..” ทั้งที่พยายามจะปฏิเสธแล้วแต่คนที่เป็นตัวต้นเหตุลากเขาลงมาในถังไม้ยังคงทำหูทวนลมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จีมินจับแขนของเขาเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้ก้าวเท้าออกนอกถัง ในขณะที่เจ้าตัวก็เต้นๆ ย่ำๆเท้าลงบนกององุ่นอย่างสนุกสนาน

“ห..เห้ย นาย” นอกจากจะไม่ได้ย่ำแค่องุ่นแล้วคนหูทวนลมยังจงใจย่ำลงบนเท้าของแทฮยองด้วย ร้อนจนร่างบางทนอยู่เฉยๆให้แกล้งเล่นไม่ไหว เลยต้องขยับเท้าเพื่อจะเหยียบกลับบ้าง ก่อนจะจบลงด้วยการไล่เหยียบเท้ากันเล่นในถังองุ่นอยู่เป็นสิบๆนาทีจนคนอื่นที่ดูอยู่หัวเราะกันอย่างสนุกสนานแล้วค่อยพากันมานั่งหอบอยู่ข้างถังไม้หลังเหนื่อยจนไม่มีแรงขยับ

“เหยียบมาได้ตั้งหลายทีนะคุณ”

“ก็แล้วใครเริ่มก่อนล่ะ” ถึงจะเหนื่อยมากแค่ไหน แต่สองคนที่แทบจะหายใจไม่ทันก็ยังคงนั่งเถียงกันต่อ แทฮยองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังย้อนเวลากลับไปเป็นเด็ก เด็กที่ใช้แรงทั้งหมดไปกับการเล่นและเถียงกับเพื่อนอย่างเอาเป็นเอาตายแบบที่ทำอยู่

“อยู่กับนายแล้วเหนื่อยเป็นบ้า”

“แต่อยู่กับคุณแล้วผมสนุกมากนะ” ฉับพลันเขารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่หัวใจมักจะพองโตและเต้นตุบตับอย่างถี่รัว ไหนจะความร้อนที่เหมือนเลือดไปกองรวมกันที่สองข้างแก้ม หรืออาการกลั้นยิ้มจนเมื่อยปาก

แค่พัคจีมินคนเดียวที่แทฮยองรู้สึกว่ารับมือได้ยาก เพราะอีกฝ่ายเรียกความรู้สึกหลากหลายรูปแบบของเขาให้เกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ

หลังพักจนหายเหนื่อยจีมินก็พาแทฮยองมาเดินเล่นต่อเพื่อหาอะไรทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป ซึ่งนอกเหนือจากองุ่นแล้วก็มีขนมและอาหารที่ตั้งแผงขายอยู่มากมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารทั่วๆไปรวมถึงขนมพื้นเมืองที่พบเห็นได้บ่อยๆ

“คุณอยากกินอะไร”

“อาหารเกาหลี” คำตอบของแทฮยองทำเอาจีมินกุมขมับ ในเมืองเล็กๆที่มีความเป็นชนบทแบบนี้เขาจะไปหาร้านอาหารเกาหลีจากที่ไหน

อยู่ดีๆ หางตาของจีมินก็เหลือบไปเห็นแผงขายองุ่นและไวน์องุ่นที่ดูไม่แตกต่างไปจากแผงอื่นๆที่อยู่ในเทศกาลนี้ แต่ที่สะดุดตาออกไปเห็นจะเป็นขนมหวานหน้าตาเหมือนแซนวิชไส้ครีมที่มีผลไม้สดอยู่ด้านบน ขนมที่จีมินจำได้ดีว่ามันฮิตและเห็นได้แทบทุกคาเฟ่ในเกาหลีเมื่อช่วงปีก่อนๆ

“กินออมเล็ตปังแก้โฮมซิกส์ไปก่อนละกันนะคุณ”

 

128954039.jpg

 

จีมินสาวเท้าเข้าไปยังแผงขายออมเล็ตปังที่เขาเห็น ถึงจะรู้ดีว่าแทฮยองคงไม่ได้อยากกินมันสักเท่าไหร่ เพราะรสชาติของครีมและตัวขนมปังซึ่งทำจากแป้งเค้กผสมไข่ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากขนมหวานอื่นชนิดอื่นๆในอิตาลี

“เอาสองอันครับ” จีมินสั่งคนขายไปก่อนจะรับขนมที่ถูกห่อใส่กระดาษกลับมาพร้อมกับประโยคทักทายจากคุณป้าเจ้าของร้าน “เป็นคนเกาหลีหรอคะพวกคุณ”

เหมือนจะเป็นบทพิสูจน์ของวิทยาศาสตร์ที่เคยเรียนตอนเด็กว่าโลกนี้เป็นทรงกลม พวกเขาถึงได้เจอคนที่สื่อสารภาษาเดียวกันในเมืองเล็กๆ ท่ามกลางงานเทศกาลพื้นเมืองแบบนี้ และถึงแม้อีกฝ่ายจะขายขนมที่พบเห็นได้ทั่วไปในเกาหลี แต่รูปร่างหน้าตาของเจ้าตัวที่ออกไปทางอิตาเลียนแท้ทำให้พวกเขาไม่ได้เอะใจว่าคนขายซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนจะสื่อสารภาษาเกาหลีได้ ถึงแม้จะด้วยสำเนียงแปร่งๆแบบชาวต่างชาติก็เถอะ

แทฮยองยิ้มร่าให้คุณป้าเจ้าของร้านที่ใจดีเพิ่มผลไม้บนออมเล็ตปังให้เป็นพิเศษเพราะนานๆทีถึงจะได้เจอคนเอเชีย โดยเฉพาะคนเกาหลีที่นี่ ในขณะที่จีมินเองก็ชอบใจในรสชาติของไวน์จนตัดสินใจซื้อทั้งไวน์และองุ่นสดเพิ่มอีกมาก

“ไร่ของป้าอยู่ห่างออกไปนิดหน่อยค่ะ แต่ถ้าพวกคุณสนใจก็เชิญไปเยี่ยมชมดูได้” ไม่ใช่เพราะออมเล็ตปังที่ดึงดูดความสนใจของแทฮยองให้อยากลองไปไร่องุ่นนั้นดูสักครั้ง แต่เพราะกิมจิและสารพัดเมนูอาหารเกาหลีที่หญิงวัยกลางคนพูดถึงซึ่งมีติดครัว ติดตู้เย็นที่บ้านเสมอที่ดึงดูดให้แทฮยองอยากไปหา

“ถือว่าเป็นของแถมไวน์สามขวดนั้นก็ได้ค่ะ ป้าทำกิมจิใส่ตู้เย็นไว้เยอะเลยเพราะคุณหนูเธอชอบทานมากๆ หรืออย่างไวน์ ที่ไร่ก็ยังมีอีกหลายสูตรที่ไม่ได้ขนมาขายในงานเทศกาลด้วย”

“งั้นพรุ่งนี้เช้าพวกผมขอแวะไปเที่ยวนะครับ”

“ยินดีต้อนรับเลยค่ะ”

 

128950698

 

ไร่องุ่นของคุณป้าที่จีมินกับแทฮยองมาเยี่ยมชมอยู่ห่างออกมาจากโรงแรมที่พวกเขาพักอยู่เกือบสามสิบกิโลเมตร และเป็นไร่องุ่นเล็กๆที่ไม่ได้มีพื้นที่มากมายอะไร มีสิ่งปลูกสร้างเพียงแค่บ้านหลังไม่ใหญ่กับโรงบ่มไวน์ขนาดกลางๆอีกหลังเท่านั้น

บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวซึ่งตั้งอยู่หน้าบ้านมีไวน์สองสามขวดที่คุณป้าเอามาให้จีมินลองชิมดู ในขณะที่แทฮยองกำลังให้ความสนใจกับกิมจิในกล่องพลาสติกที่ถูกแพ็คมาให้อย่างดี กับขนมปังหน้าแยมผลไม้ที่ถูกเคี้ยวอยู่ในปาก จนกระทั่งได้ยินเสียงรถที่ขับเข้ามาตามทางเข้าไร่และจอดลงข้างตัวบ้าน

“คุณหนูกลับมาพอดีเลย มีแขกมาเยี่ยมชมไร่ค่ะ” แทฮยองหันไปมองผู้มาใหม่ซึ่งเดินลงมาจากรถ เจ้าของสรรพนามคุณหนูที่คงเป็นทั้งเจ้าของบ้านที่แท้จริงและเจ้าของกิมจิกล่องที่เขาถืออยู่ จนกระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งซึ่งมีเค้าของความเป็นเอเชียผสมอยู่ภายใต้ดวงตาสีฟ้าอ่อนและจมูกโด่งๆของชาวอิตาเลียนซึ่งอยู่ในชุดเดรสสีขาวทิ้งตัวยาวเลยเข่า

“ขอโทษที่มารบกวนที่ไร่นะครับ” เป็นจีมินที่พูดทักทายขึ้นมาก่อนที่เจ้าของดวงตาสีอ่อนและผมหยักศกที่เข้มจะตอบกลับด้วยภาษาเกาหลีที่ชัดถ้อยชัดคำพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ “ไม่เป็นไรค่ะ”

แทฮยองมองเจ้าของดวงตาสีฟ้าซึ่งละสายตาจากจีมินแล้วหันมาสบตาเขาที่นั่งอยู่ ก่อนที่รอยยิ้มซึ่งเคยประดับอยู่บนใบหน้าสวยนั้นจะค่อยๆจางลงช้าๆ แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้แทฮยองรู้สึกแปลกใจกับแววตาที่มองมาแบบที่คาดเดาความหมายไม่ออก

“แทฮยอง คุณจะกลับเลยไหม” คำถามที่ดังขึ้นเรียกเขาให้หลุดออกจากภวังค์ความคิดกลับมาอีกครั้ง จนพบว่าจีมินเองก็เหมือนจะได้ไวน์องุ่นเพิ่มกลับมาอีกสองขวด นับๆดูตั้งแต่ที่มาถึงอิตาลี คนข้างตัวเขาเองก็ซื้อไวน์ติดไม้ติดมือไปไม่น้อย

“อ..อืม” แทฮยองตอบรับก่อนจะหิ้วถุงกระดาษที่มีกล่องกิมจิอยู่แล้วหันกลับไปเอ่ยขอบคุณคุณป้าผู้ใจดีอีกครั้ง ในขณะที่ตัดใจจากแยมผลไม้เพื่อเตรียมตัวลาขึ้นรถ แต่กลับถูกประโยคซึ่งไม่คาดคิดเอ่ยรั้งเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยวค่ะ คุณคือคิมแทฮยองใช่มั้ย”

แทฮยองไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้คนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกรู้จักชื่อเต็มของเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนามสกุลที่จีมินเองก็ไม่ได้เอ่ยออกมา

“คุณใช่น้องชายของนัมจุนหรือเปล่า”

 

128950698

 

“ตั้งแต่อุบัติเหตุรถชนเมื่อเกือบสองเดือนก่อนเขาก็ยังไม่ได้สติขึ้นมาเลย หมอบอกว่าอาการทางร่างกายไม่ได้น่าเป็นห่วง รอแค่เจ้าตัวฟื้นขึ้นมาเท่านั้น”

ภาพพี่ชายที่อยู่นอนไม่ได้สติบนเตียงท่ามกลางสายน้ำเกลือระโยงระยางคือคำตอบของคำถามที่แทฮยองสงสัยว่าทำไมถึงได้รับสายตาแปลกๆจากผู้หญิงคนนั้น และเป็นคำตอบที่ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้รู้จักชื่อของเขาทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน

“เราเป็นเพื่อนกันค่ะ รู้จักกันตอนที่ฉันไปเรียนมหาลัยที่เกาหลี ที่ผ่านมาเคยแต่ได้ยินกับเห็นรูปของคุณมาบ้างแต่ยังไม่เคยมีโอกาสเจอกันเลย ส่วนเรื่องพี่ชายคุณ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อไปบอกตั้งแต่แรก” แทฮยองไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยืนเกาะขอบเตียงนิ่งๆด้วยฝ่ามือที่สั่นเทา ตลอดหลายสัปดาห์ที่เขาสงสัยเหลือเกินว่าพี่ชายหายไปไหน ตอนนี้ถึงแม้จะรู้คำตอบแล้ว ถึงแม้จะได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้า แต่กลับกลายเป็นสถานการณ์ที่แทฮยองพูดไม่ออก ถ้าเลือกได้เขายอมได้ยินว่าพี่นัมจุนยักยอกเงินบริษัทแล้วหนีไปมากกว่าได้ยินว่าอีกฝ่ายกลายเป็นเจ้านายนิทราแบบนี้

จีมินเดินเข้าไปซ้อนด้านหลังของคนที่กำขอบเตียงผู้ป่วยแน่น วางมือลงบนมือบางที่สั่นเทาอยู่ มันเป็นเรื่องที่เกินจะรับไหว แล้วยิ่งนัมจุนเป็นญาติเพียงคนเดียวที่แทฮยองเหลืออยู่ ถึงได้เข้าใจว่าแทฮยองจะรู้สึกแย่แค่ไหน

ทั้งวันสิ่งที่จีมินเห็นคือแทฮยองที่นั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย จับมือพี่ชายมากุมเอาไว้โดยไม่พูดอะไร ส่วนภายในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นแดงระเรื่อ

ไม่มีน้ำตา ไร้เสียงสะอื้นไห้ ตั้งแต่ได้ใช้เวลาร่วมกันที่อิตาลี หลายครั้งถึงจะเหนื่อย ถึงจะท้อ หรือเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างตอนที่ถูกขโมยกระเป๋าเงินแต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่แทฮยองจะร้องไห้ออกมาให้เห็น จีมินถึงได้ยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเก่า กับคนที่พยายามฝืนเข้มแข็งและแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้

“ผมขอเฝ้าพี่นัมจุน” ประโยคแรกที่แทฮยองยอมเปล่งออกมาคือตอนที่ท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นสีส้มและดวงอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้า แต่แล้วคำเอ่ยขอของเขาก็ถูกปฎิเสธทิ้งอย่างนุ่มนวลด้วยหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้อง

“วันนี้พวกคุณน่าจะเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ ฉันให้คุณป้าเตรียมห้องให้แล้ว ถ้าย้ายออกจากโรงแรมมาอยู่ที่ไร่ก็น่าจะเดินทางสะดวกกว่า”

“ผม..”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่ชายคุณ เขาจะไม่เป็นไรเหมือนที่เขาพยายามสู้มาตลอดทั้งเดือน และตอนนี้คนที่ควรจะพักคือคุณค่ะ”

จีมินรู้ว่าแทฮยองเองคงอยากอยู่กับพี่ชายมากกว่า แต่เพราะดวงตาสีแดงระเรื่อเขาถึงได้เห็นด้วยกับผู้หญิงคนนั้นว่าอีกฝ่ายควรกลับไปพักผ่อน จีมินเดินเข้าไปจับมือของแทฮยองไว้เมื่อเห็นร่างบางกำลงจะเอื้อนเอ่ยคำพูดอีกครั้ง แล้วหลังจากที่หันมาสบตาเขา คนหน้าสวยก็ยอมปิดริมฝีปากลงเงียบๆโดยไม่ได้หลุดคำพูดอะไรออกมาอีก

ตลอดทางขับรถกลับโรงแรมเพื่อไปเช็คเอ้าท์และเก็บเสื้อผ้าย้ายไปที่ไร่องุ่นแทฮยองยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม ดวงตากลมสวยทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถ จีมินไม่ได้เอ่ยถามว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่หรือรู้สึกยังไง เขารู้ดีว่าแทฮยองคงไม่พร้อมจะพูดออกมาตอนนี้

จีมินจอดรถลงข้างบ้านหลังที่เขาเพิ่งแวะมาเยี่ยมเยียนเมื่อเช้าด้วยความรู้สึกว่าเป็นอีกครั้งในชีวิตที่โลกกลมเหลือเกิน หลังจากที่พวกเขาตระเวนไปตามไร่องุ่นในเคียนติจนมาถึงอิมปรูเนตาก็กินเวลาไปหลายอาทิตย์ หลายอาทิตย์ที่ไม่พบเบาะแสอะไร แต่แล้วอยู่ดีๆวันนึงก็ได้พบสิ่งที่ตามหาอยู่ง่ายๆ ในสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้

แทฮยองยังนั่งนิ่งไม่ได้เปิดประตูลงจากรถ นั่นทำให้จีมินรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเหม่อลอยอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนไม่ทันได้รับรู้ว่าพวกเขาเดินทางมาถึงไร่องุ่นแล้ว ร่างหนาเปิดประตูฝั่งตัวเองเดินลงไปจากรถเพื่ออ้อมไปยังที่นั่งข้างคนขับ และทันทีที่จีมินเปิดประตูออก ร่างบางที่นั่งนิ่งอยู่ถึงได้สติกลับมาและรู้ว่าพวกเขามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

มือหนาเอื้อมไปปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้แล้วจูงเด็กที่หลงทางอยู่ในความคิดของตัวเองลงมาจากรถ คุณป้าคนดูแลไร่ที่พบเมื่อเช้ายืนรออยู่ที่ประตู จีมินเพียงแค่โค้งทักทายผู้สูงวัยกว่านิดหน่อย และอีกฝ่ายก็รู้สถานการณ์ดีถึงได้เพียงแค่เข้ามาช่วยขนของไปเก็บให้เงียบๆ

ภายในบ้านไม่ได้มีใครอยู่เพราะคุณป้าคนดูแลบ้านหลังช่วยขนของเสร็จก็แยกตัวไปพักผ่อน ในขณะที่เจ้าของบ้านเองก็อยู่เฝ้าคนป่วยที่โรงพยาบาลในคืนนี้ ตอนที่จีมินพาแทฮยองเดินเข้าไปถึงไม่เจอใครสักคน มีเพียงห้องโถงเล็กๆที่ว่างเปล่ากับโซฟาสีกาแฟ ทีวีเครื่องกลางๆและเครื่องเล่นแผ่นเสียงซึ่งวางอยู่ที่ชั้นติดผนังเท่านั้น

ร่างหนาจูงคนตัวบางกว่าให้นั่งลงบนโซฟากลางห้อง ก่อนจะหยุดยืนหันหน้าเข้าหาแทฮยองแล้ววางฝ่ามือสองข้างลงบนพวงแก้มนิ่ม เชยใบหน้าสวยให้เงยขึ้นมาสบตาเขา

“ผิดหวัง เจ็บปวด เสียใจ รู้ใช่ไหมว่าคุณบอกผมได้เสมอ” ดวงตากลมที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างคนอดกลั้นมาตลอดทั้งวันค่อยๆมีน้ำใสไหลเอ่อขึ้นมาจนล้นคลออยู่ในกระบอกตาคู่นั้น จีมินมองเห็นความเศร้าและความเจ็บปวดที่ฉายอยู่ในแววตาของแทฮยอง ก่อนที่มันจะค่อยๆกลายเป็นหยดน้ำที่ไหลรินลงมา

ดวงตาสีเข้มและสัมผัสเบาๆที่สองข้างแก้มพร้อมคำพูดประโยคนั้นเหมือนพังกำแพงความเข้มแข็งที่ร้าวเต็มทีของแทฮยองให้แตกออก เขารู้สึกเจ็บปวดจริงๆที่ทำได้แค่มองพี่ชายนอนอยู่นิ่งๆบนเตียงผู้ป่วย พี่นัมจุนที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดคุย หยอกล้อ ปลอบใจ และให้กำลังใจเขาได้อีก สิ่งที่พี่ชายคนนั้นทำคือการนอนนิ่งๆ ซึ่งทำให้แทฮยองรู้สึกเหมือนเหลือตัวคนเดียวบนโลก

 คนที่จีมินเป็นห่วงทั้งวันสะอื้นอย่างหนัก เป็นครั้งแรกที่จีมินเห็นน้ำตาของแทฮยองและรู้ว่าอีกฝ่ายบอบบางขนาดไหน แผ่นหลังที่สั่นเทาพร้อมจะแตกสลายทุกเมื่อ เขาถึงค่อยๆใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างเช็ดเอาคราบน้ำตาแห่งความเจ็บปวดออก แล้วรั้งร่างที่สั่นสะท้านเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน

กับพายุที่โหมกระหน่ำและโลกทั้งใบที่แทฮยองแบกอยู่ จีมินทำได้แค่กอดอีกฝ่ายไว้ หวังให้แทฮยองสัมผัสถึงความรู้สึกของเขา

ตอนที่แทฮยองหยุดร้องไห้คือช่วงเวลาที่เหนื่อยจนเปลือกตาสีอ่อนบวมเป่ง แล้วก็เป็นหน้าที่จีมินที่ต้องพาอีกคนขึ้นห้องพักผ่อน เขาได้แต่หวังว่าหากดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดของแทฮยองคงจะลดน้อยลงบ้าง

มือหนากุมมือเรียวสวยเอาไว้เมื่อแทฮยองไม่ยอมให้ปล่อยออก จีมินนั่งอยู่ข้างเตียงรอให้ร่างบางหลับสนิทก่อนแล้วถึงออกมาจากห้องเพื่อหาผ้าขนหนูชุบน้ำเข้าไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนที่นอนหลับอยู่สบายเนื้อสบายตัวขึ้น

กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จแล้วจัดการชำระล้างร่างกายตัวเองก็ปาเข้าไปเกินครึ่งคืนแล้ว จีมินเดินเข้าห้องตัวเองที่ถูกจัดเอาไว้ติดกับห้องของแทฮยอง ตั้งใจจะพักผ่อนเสียทีเพราะตอนเช้ามีสิ่งที่ต้องจัดการต่ออีกมาก เพียงแต่เสียงบางอย่างที่แว่วมาจากห้องข้างๆทำให้ต้องล้มเลิกความคิดนั้น

เสียงร้องไห้ และภาพคนตัวบางที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมหยดน้ำตาไหลอาบแก้มคือสิ่งที่จีมินเห็นตอนเปิดประตูเข้าไป

“ฉันฝัน เห็นพี่นัมจุนถูกรถชนซ้ำๆไม่หยุด” ประโยคแผ่วเบาที่เร่งให้จีมินรีบสาวเท้าไปในห้อง

แทฮยองปิดเปลือกตาปล่อยให้น้ำร้อนๆไหลลงมาอีกครั้ง เขาซบใบหน้าลงบนเสื้อนอนของจีมิน รับสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือที่ลูบลงบนเส้นผมและแผ่นหลัง

ท่ามกลางความมืดมิด สิ่งเดียวที่แทฮยองไขว่คว้าได้ มีแค่มือคู่นี้ที่ปลอบโยนและเช็ดน้ำตาให้

 

128950698

 

ภาพแรกที่เห็นตอนลืมตาตื่นมาคือใบหน้าของคนในอ้อมแขนที่เปลือกตาซึ่งปิดสนิทยังบวมอยู่จนเห็นได้ชัด จีมินค่อยๆละมือออกจากร่างบอบบางที่กอดอยู่ เพราะเมื่อคืนแทฮยองเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เขาเลยต้องกอดอีกฝ่ายไว้จนหลับไปพร้อมๆกัน

จีมินเดินออกจากห้องโดยไม่ได้ปลุกให้แทฮยองตื่นเพราะเห็นว่ายังเช้าอยู่มากและอยากให้อีกฝ่ายได้พักต่ออีกหน่อย เขาเดินไปที่ห้องโถงซึ่งว่างเปล่า นั่งลงบนโซฟาสีกาแฟตัวเดิม และรอคอยจนได้ยินเสียงรถที่วิ่งมาจอดอยู่หน้าตัวบ้าน พร้อมร่างของใครบางคนที่อยากจะพบ

หญิงสาวร่างสูงโปร่งวันนี้อยู่ในชุดเดรสทิ้งตัวยาวสีฟ้ารูปทรงไม่ต่างไปจากเมื่อวานที่เจอกันครั้งแรก และดูเหมือนเจ้าตัวเองก็รับรู้ว่าเขามีเรื่องจะคุยด้วย ถึงได้นั่งลงอีกฟากของโซฟาตัวเดียวกัน

“พี่นัมจุนเป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็ยังเหมือนเดิมค่ะ”

บทสนทนาเริ่มต้นด้วยการไถ่ถามอาการของคนป่วย ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้ต่างไปจากที่จีมินคิดไว้

“มีอะไรหรอคะ” ดวงตาสีฟ้าอ่อนสบตากับเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง จีมินมองเห็นความเด็ดเดี่ยวอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“คุณเป็นเพื่อนของพี่นัมจุนจริงๆหรอ ถ้าเดาไม่ผิด คุณคงเป็นเจ้าของบัญชีที่พี่นัมจุนโอนเงินให้ครั้งละเกือบยี่สิบล้านวอนก่อนหน้านี้” มันคือสิ่งที่จีมินสงสัยมาตั้งแต่แรก แต่เลือกที่จะไม่ถามมันต่อหน้าแทฮยอง เพราะกลัวว่าคำตอบที่ได้มาจะมีเรื่องราวเหนือความคาดหมายซ่อนอยู่ ซึ่งมันอาจส่งผลกระทบกับจิตใจของแทฮยองอีก สำหรับจีมินแล้ว ตั้งแต่ที่ตัดสินใจเดินทางมาอิตาลี ไม่มีอะไรที่เขาทำให้แทฮยองไม่ได้ ในขณะเดียวกันสิ่งที่จะทำร้ายอีกฝ่าย จีมินก็อยากป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

“รู้เรื่องนั้นด้วยหรอคะ”

“ถามได้มั้ยครับว่าพี่นัมจุนโอนเงินให้คุณทำไม”

“เพราะในท้องฉันมีลูกของเราอยู่มั้งคะ”

ตุ้บ เสียงของตกดังขึ้น และจีมินพบว่ามันคือหมอนใบโตที่อยู่บนพื้นไม้ตรงหน้าของคนที่เขาไม่ต้องการให้มารับรู้ตั้งแต่แรก ดูเหมือนทุกอย่างจะผิดไปจากที่จีมินคิดไว้ เมื่อสีหน้าของแทฮยองมีแต่ความตกใจจนซีดเผือด

“ขอโทษที่ไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด ฉันแค่กลัวคุณจะรับไม่ได้ นัมจุนเองก็กลัวในสิ่งนี้ตั้งแต่แรก” จูเลียนามองใบหน้าสวยหวานในแบบฉบับของชาวเอเชียที่อยู่ตรงหน้า เค้าโครงที่ไม่ได้มีความละม้ายคล้ายคิมนัมจุนนอกจากผิวสีน้ำผึ้งที่ดูโดดเด่นและความสูงโปร่งของรูปร่างที่ไม่ต่างกันมาก

ก่อนหน้านี้สิ่งที่เธอเล่าไปไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้น หากแต่จูเลียนาไม่ได้เอ่ยมันไปทั้งหมด เรื่องราวของเธอและนัมจุนที่คบหากันมาพักนึง ตั้งแต่เริ่มรู้จักกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่เกาหลี แต่เพิ่งได้มาสานต่อตอนบังเอิญเจอกันอีกครั้งเมื่อครั้งนัมจุนมาเที่ยวอิตาลีเมื่อปีก่อน และยืดยาวจนกลายเป็นสายใยเล็กๆที่ทักถออยู่ในท้อง

“จริงๆนัมจุนวางแผนจะให้ฉันไปเกาหลีเพื่อทำความรู้จักกับคุณ แต่มารู้ว่าท้องเสียก่อนเลยล้มเลิกความคิดนั้นไป เขากลัวจะทำให้คุณผิดหวัง เพราะคุณพูดเสมอว่าพี่ชายคือต้นแบบที่ดีที่สุดในชีวิต”

แทฮยองไม่ได้พูดอะไรออกไป คำพูดของจีมินย้อนกลับมาในความคิด ไม่ว่าจะเรื่องไหนพี่ชายอย่างนัมจุนก็คิดถึงความรู้สึกของเขาก่อนเสมอ

“ตอนที่เกิดเรื่องรถชนฉันก็คิดจะหาทางติดต่อคุณอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเพราะคุณไม่รู้เรื่องราวของฉันมาก่อน สุดท้ายเลยได้แต่ยื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าคุณคงจะห่วงพี่ชายมาก ขอโทษจริงๆค่ะ” คนที่เคยนั่งอยู่ที่โซฟาเดินมาหยุดอยู่หน้าแทฮยองก่อนที่ฝ่ามือเรียวสวยจะยื่นมากุมมือของเขาไว้ แทฮยองรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเสียใจและกังวลที่ปรากฏอยู่ในดวงตาสีฟ้าอ่อนและบนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น

แทฮยองก้มมองหน้าท้องที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้เดรสตัวยาวสีฟ้า ในนั้นมีอีกหนึ่งสายเลือดที่เกิดจากพี่ชายคนเดียวของเขา อีกหนึ่งชีวิตที่จะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกันนับจากนี้

จีมินมองสองคนตรงหน้า นึกชื่นชมในความเข้มแข็งของจูเลียนาที่สามารถยืนหยัดได้หลังผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้ นึกสงสารสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆที่พ่อของเขายังต้องต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตอยู่ และนึกห่วงใครอีกคนที่ต้องใช้ความเข้มแข็งเพื่อก้าวผ่านเรื่องราวครั้งนี้ไปให้ได้

 

‘พี่นัมจุนรีบฟื้นขึ้นมานะครับ ทุกคนรอพี่อยู่ ทั้งภรรยาและลูกของพี่ หรือแม้แต่แทฮยองน้องชายที่พี่ห่วงที่สุด ฟื้นขึ้นมาก่อนที่แทฮยองจะรับทุกอย่างไม่ไหว ผมขอร้อง’

 

128950698

 

สามวันแล้วตั้งแต่ที่เราพบพี่นัมจุนที่ยังคงหลับใหลเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในห้องสีขาวของโรงพยาบาล แล้วก็เป็นสามวันที่แทฮยองเอาแต่นั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงคนป่วย ใบหน้าสวยมักจะเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่จีมินเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าของเหลวสีใสที่ใหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยตั้งแต่ที่รู้เรื่องมาจนถึงตอนนี้รวมกันได้ถึงลิตรแล้วหรือยัง

“ฉันมีนัดตรวจที่แผนกสูติน่ะค่ะ ยังไงรบกวนพวกคุณช่วยดูแลนัมจุนก่อน”

“ผมคิดว่าผมไปเป็นเพื่อนคุณดีกว่า แทฮยองเขาคงดูแลพี่ชายตัวเองได้”

จีมินเดินไปกระซิบเบาบอกคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง ก่อนที่ร่างบอบบางจะพยักหน้าน้อยๆเป็นการรับรู้ แล้วหันมาส่งยิ้มเบาๆให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้อง ที่ถึงแม้แทฮยองจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่จูเลียรู้ดีว่ารอยยิ้มนั้นแทนคำอวยพรให้โชคดีจากอีกฝ่าย

ร่างสองร่างเดินออกจากห้องผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อตรงไปยังอีกแผนกที่อยู่คนละฝั่งฝาก จูเลียพิจารณาผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเธอในตอนนี้ ดวงตาเรียวรีซึ่งบอกเชื้อความเป็นเอเชียของอีกฝ่ายอบ่างเด่นชัด กับความสูงที่ไม่ได้มากเหมือนชาวยุโรปปกติแต่ยังเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อให้เห็น

“ที่จริงฉันไปคนเดียวก็ได้นะคะ คุณน่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแทฮยองเขามากกว่า” เธอพูดไปตามที่คิด เพราะถึงแม้ร่างกายในตอนนี้อาจต้องระมัดระวังนิดหน่อยตามประสาคนท้องทั่วไป แต่เธอคิดว่าทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจในตอนนี้ คนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยนั้นน่าเป็นห่วงและน่ากังวลกว่ามาก

“ไม่เป็นไรครับ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องอยากคุยกับพี่ชายแค่สองคนก็ได้” คำตอบของจีมินสร้างความแปลกใจให้กับเธอนิดหน่อย หลายครั้งสิ่งที่สะท้อนออกมาจากคำพูดของผู้ชายคนนี้มักจะแสดงให้เห็นถึงความฉลาดช่างสังเกตของเจ้าตัว

“คุณคงได้ยินจนเบื่อแน่ๆ ว่าคุณเป็นคนฉลาด ช่างสังเกตและใส่ใจคนอื่น” เสียงหัวเราะเบาๆดังหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้น ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มนุ่มจะเอ่ยขึ้นแบบสบายๆ

“ตรงข้ามเลย มีแต่คนบอกว่าผมโง่ ผมบ้า เพราะผมทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่คนอื่นหวังไว้ตลอด ส่วนเรื่องใส่ใจคนอื่นผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเทคแคร์คนอื่นเก่งนะ”

“อย่างน้อยก็แฟนคุณไง คุณแทฮยองโชคดีนะที่มีแฟนแบบคุณ” จูเลียนึกเปรียบเทียบชายหนุ่มด้านข้างกับคนที่นอนป่วยไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียงขึ้นมาเสียเฉยๆ ผู้ชายสองคนที่เป็นคนเอเชียแท้ร้อยเปอร์เซ็นเหมือนกันแต่กลับแตกต่างกันเหลือเกิน คนนึงแบกเอาความหวังของคนอื่นไว้บนบ่าจนกลัวเหลือเกินที่จะทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองให้เสียหาย แต่อีกคนกลับทำทุกอย่างตามใจโดยไม่สนสิ่งที่ใครๆคิด

“บางทีคุณคงเข้าใจผิด ผมไม่ได้เป็นแฟนเขาหรอก พี่ชายผมต่างหากที่เป็นแฟนเขาน่ะ” คำตอบที่ได้ยินกลับมาทำเอาเธอเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ แต่เพราะผ่านอะไรหลากหลายอย่างมา ถึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าบางสิ่งก็ซับซ้อนและไม่เป็นไปอย่างที่คิด

“อ่า งั้นฉันคงเข้าใจผิดไปเอง แต่ยืนยันนะ คุณเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นมากๆเลยล่ะ อย่างน้อยคุณก็ใส่ใจคุณแทฮยองมากกว่าแฟนของเขาอีก”

 

หลังการตรวจสิ้นสุดลงและพบว่าทุกอย่างยังคงปกติพวกเขาสองคนถึงได้กลับไปยังห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง ภาพตรงหน้าที่จีมินเห็นยังเหมือนเดิมกับตอนที่เขาก้าวเท้าออกจากห้องไป แทฮยองยังนงอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย มือบางกุมมือข้างนึงของพี่ชายเอาไว้หลวมๆในขณะที่ดวงตาสองข้างกลับเหม่อลอยจนไม่รู้แม้กระทั่งว่าพวกเขาสองคนกลับมาถึงห้องแล้ว

จีมินวางมือตัวเองลงบนบ่าของแทฮยองเบาๆแต่กลับทำให้เจ้าตัวสะดุ้งโหยงหลังจากที่ปล่อยให้ความคิดเหม่อลอยไปเรื่อย จีมินมองคนป่วยที่นอนนิ่งหน้าซีดไร้สีเลือด ตั้งแต่ที่พวกเขาเจอพี่นัมจุนที่นี่ทุกอย่างยังคงปกติ อาการอีกฝ่ายไม่ได้แย่ลง แต่ก็ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย

จีมินพาแทฮยองกลับมาที่ไร่อีกครั้งในตอนเย็น หน้าที่การเฝ้าผู้ป่วยที่โรงพยาบาลยังเป็นของจูเลียเมื่อพวกเขาต่างลงความเห็นเหมือนกันว่าแทฮยองในเวลานี้ควรพักผ่อนมากกว่า ร่างบอบบางที่ตอนนี้ผอมลงกว่าแต่ก่อนเพราะเจ้าตัวเอาแต่จมอยู่กับความเศร้ากับคราบน้ำตาที่แทบไม่เคยจางไปจากใบหน้าสวย

“พักผ่อนบ้างเถอะคุณ เอาแต่ร้องไห้แบบนี้พี่นัมจุนรู้เข้าจะยิ่งไม่สบายใจนะ” ยิ่งพูดปลอบก็เหมือนยิ่งสะกิดต่อมน้ำตาคนฟังให้ไหลออกมามากขึ้นจนร่างบอบบางนั่นสะอื้นไห้จนตัวโยน ร้อนรนให้คนตัวหนากว่าต้องคว้าอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขน ลููบหลังลูบไหล่ปลอบโยนเหมือนเด็กๆ

แทฮยองรู้ดีว่าเขาในตอนนี้กลายเป็นภาระของคนอื่นมากขนาดไหน น้องชายที่แสนดื้อรั้นและเอาแต่ใจแบบที่พี่นัมจุุนบ่นเสมอแต่ก็คอยตามใจเขาตลอด บัดนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองอ่อนแอนัก แทฮยองที่ตอนนี้ไม่มีพี่ชายยืนสนับสนุนอยู่ด้านหลัง แทฮยองที่ไม่เหลือใคร อ่อนแอจนแม้แต่จะดูแลตัวเองให้ได้ยังกลายเป็นเรื่องยาก

“ร้องไห้ออกมาให้พอนะคุณ ที่ผมบอกไว้ รู้สึกยังไงคุณระบายกับผมได้เสมอ” นิ้วมือสากๆลากผ่านพวงแก้มเพื่อเช็ดเอาคราบความเศร้าบนใบหน้าสวยออก ในขณะที่แทฮยองได้แต่หลับตาปลดปล่อยความกลัวและความกังวลทั้งหลายให้ล้นทะลักออกมา เขากลัวเหลือเกินว่าพี่ชายจะไม่ฟื้นขึ้นมา กลัวว่าจะไม่เหลือใครอีก

 

128950698

 

วันเวลายังคงเดินต่อไปถึงแม้แทฮยองจะเลิกสนใจกับปฏิทินที่อยู่บนโต๊ะหรือที่ติดอยู่ที่ผนังแล้ว เขาไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วันกี่คืนแล้วที่ทำได้แค่มองพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียง แทฮยองเลิกสนใจเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เลิกสนใจทุกอย่างที่บอกให้รู้ว่าคิมนัมจุนหลับไหลมานานแค่ไหน แม้แต่โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กก็ถูกปล่อยให้แบตหมดแล้วดับไปโดยไม่ได้คิดจะชาร์ตแล้วเปิดมันขึ้นมาอีก

“ที่จริงฉันจัดการเองก็ได้นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงพี่นัมจุนก็พี่ชายผม ที่ผ่านมาก็ลำบากคุณมาเยอะมากแล้วด้วย”

เป็นครั้งแรกที่แทฮยองอยู่ตามลำพังกับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของพี่ชายเมื่อเขาเสนอตัวไปพร้อมอีกฝ่ายที่ต้องจัดการค่าใช้จ่ายในการรักษาคิมนัมจุนในเดือนก่อน เขามองใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูง อย่างน้อยก็นึกขอบคุณในใจที่อีกฝ่ายเองก็พยายามเต็มที่ในการรักษาพยาบาลพี่ชายเขาอย่างดีที่สุด

“ไปหาที่นั่งเล่นกันหน่อยไหมคะ เรายังไม่เคยคุยกันจริงๆจังเลย” แทฮยองมองรอยยิ้มสวยของร่างบางระหงตรงหน้าเขาก่อนจะพยักหน้าตอบตกลงเบาๆแล้วปล่อยให้จูเลียเป็นฝ่ายเดินนำออกไปยังสวนดอกไม้ด้านข้างตึก

สองร่างนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ถูกจัดไว้ให้ทั้งบุคลากรของทางโรงพยาบาลละคนที่มาใช้บริการได้นั่งพักผ่อน ในขณะที่อากาศยามสายในขณะที่เองก็ไม่ได้ร้อนนัก ติดจะมีลมพัดผ่านเบาๆจนแทฮยองได้กลิ่นหอมของดอกไม้ผ่านปลายจมูก

“ขอบคุณนะครับที่ดูแลพี่นัมจุนอย่างดี” เป็นแทฮยองที่ทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาลงก่อนที่จะได้รับรอยยิ้มเบาๆกลับมาอีกครั้งพร้อมประโยคที่เอ่ยถามอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ทำใจได้บ้างหรือยังคะ”

เขาเพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆเท่านั้น ทั้งที่พยายามจะปลอบใจตัวเองเข็มแข็งแต่ทุกครั้งที่เห็นร่างพี่ชายอยู่ท่ามกลางเครื่องมือแพทย์มากมายในห้องสี่เหลี่ยมห้องนั้นแทฮยองเองก็ทำใจไม่ได้ และถึงแม้อาการอาการของนัมจุนจะยังคงที่เสมอแต่แทฮยองก็ไม่รู้ว่าพี่ชายจะตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อไหร่

“คุณเข้มแข็งจังเลยนะครับ”

ในดวงตาสีฟ้าฉายภาพผู้ชายหน้าสวยที่สะท้อนคลื่นอารมณ์แห่งความเศร้าออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ถึงแม้จะไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกันมาก่อนหน้า แต่อย่างไรเสียแทฮยองเองก็เป็นน้องชายของนัมจุนคนที่เธอรัก  เธอถึงอดไม่ได้ที่จะมอบความรักนั้นเผื่อแผ่ไปถึงอีกฝ่ายด้วย

“เพราะฉันยอมแพ้ไม่ได้ค่ะ ฉันมีไร่มีคนงานที่ต้องรับผิดชอบ ฉันมีลูกมีคนรักที่ต้องดูแล ฉันถึงล้มไม่ได้” เพราะรู้ว่านัมจุนคงจะไม่สบายใจแน่ถ้าเห็นน้องชายตัวเองเป็นแบบนี้ แล้วเธอเองก็ไม่อยากให้บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความเศร้าอีกแล้ว

“คนเรามักจะอยู่ได้เพราะใครสักคน ฉันไม่รู้ว่านอกจากพี่ชายแล้วคุณได้คิดถึงคนอื่นบ้างไหม อย่างเช่นคนรักของคุณ ซึ่งฉันคงพูดอะไรไม่ได้มากเพราะไม่รู้จักเขาเลย”

“แต่ที่ฉันพูดได้แน่ๆคือคนที่นั่งเฝ้าพี่ชายคุณอยู่ตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังมีคุณจีมินที่ห่วงคุณมาก แม้แต่ในช่วงเวลาที่ยากที่สุดแบบนี้เขาก็ยังยืนอยู่ข้างคุณ หรือถึงจะเจอเรื่องที่แย่กว่านี้ ฉันก็คิดว่าเขาคงไม่ทิ้งคุณไปไหนอยู่ดี ลองคิดถึงเขาให้มากๆเถอะค่ะ”

 

128950698

 

หลังจากวันนั้นผ่านไปก็คล้ายว่าแทฮยองจะคิดอะไรได้มากขึ้น เขาเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้งโดยที่ไม่ได้เอาแต่ร้องไห้หรือเหม่อลอยเหมือนช่วงก่อนๆ หลงเหลือไว้เพียงบางเวลาที่เผลอปล่อยให้น้ำตารื้นขึ้นมาบ้างเพราะความกังวลและความกลัวในใจที่ยังหลงเหลืออยู่

 

วันเวลาผ่านไปเกือบสามอาทิตย์ซึ่งอาการของคิมนัมจุนก็คล้ายว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ จากการที่หมอเจ้าของเคสบอกว่าร่างกายของคนป่วยมีการตอบสนองมากขึ้น และถึงแม้จะยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่อย่างน้อยก็เริ่มจุดประกายความหวังเล็กๆว่าอีกไม่นานเจ้าตัวจะฟื้นขึ้นมาแน่

“คุณคิดเรื่องคดียักยอกเงินของพี่นัมจุนไว้บ้างหรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อ” จีมินเอ่ยถามขึ้นในเช้าวันหนึ่งในขณะที่เจ้าตัววุ่นวายอยู่กับการใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของนัมจุนซึ่งถูกพบอยู่ในกระเป๋าเดินทางที่อีกฝ่ายพกติดตัวมาที่อิตาลีด้วยเพื่อเช็คข่าวสารและตอบกลับอีเมล์งานที่คั่งค้างไว้ เพราะช่วงที่ผ่านมาเขาวุ่นวายเกินกว่าจะได้อ่านอีเมล์พวกนี้ ในขณะที่แทฮยองเองก็กำลังเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเดินทางไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เป็นกิจวัตรประจำวันที่พวกเขาต้องไปเฝ้าคิมนัมจุนผลัดเปลี่ยนกับจูเลียที่ต้องกลับมาดูแลงานในไร่องุ่น

“คงต้องรอให้พี่นัมจุนฟื้นขึ้นมาก่อนนั่นแหล่ะ” จริงอยู่ที่พวกเขาจะเจอคิมนัมจุนและทราบเหตุผลของการโอนเงินก้อนผ่านธนาคารของอีกฝ่ายแล้ว แต่อย่างไรเสียเงินจำนวนนั้นเมื่อเทียบกับเงินของบริษัทที่หายไปก็ยังถือว่าเป็นจำนวนที่ต่างกันมากเกินไปอยู่ดี แทฮยองถึงไม่ปักใจเชื่อสักทีว่าพี่ชายของเขาทำเรื่องทั้งหมด ในเมื่อเขาเองก็ไม่พบว่าพี่นัมจุนจะสามารถถ่ายเงินก้อนมหาศาลนั้นไปทางไหนได้

“อืม ว่าแต่คุณไม่พันผ้าพันคอเพิ่มหน่อยหรอ อากาศวันนี้แลจะเย็นกว่าปกตินะ” จีมินที่วุ่นวายกับโปรแกรมเดิมซึ่งถูกเปิดค้างมาเกินกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วพูดขึ้นเมื่อหันไปเห็นร่างบอบบางในชุดสีชมพูอ่อน ก่อนที่แทฮยองจะหันไปหยิบผ้าพันคอสีเดียวกันในกระเป๋ามาผูกเข้าที่ลำคอระหงตามที่เขาบอก แทฮยองในตอนนี้สดใสในชุดสีโทนอ่อนหวานที่จีมินไม่เคยพูดออกไปว่าเหมาะกับเจ้าตัวมากที่สุด

ร่างหนาหันกลับมาสนใจกับหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าอีกครั้ง อีเมล์ฉบับสุดท้ายในกล่องขาเข้าถูกตอบกลับไป แล้วหน้าต่างโปรแกรมที่เปิดไว้นั้นก็ถูกปิดลงจนโชว์หน้าเดสก์ทอปสีฟ้าที่มีไอคอนโปรแกรมเรียงรายอยู่ไม่มาก รวมทั้งโฟลเดอร์บางรายการที่ทำให้จีมินตัดสินใจเปิดเข้าไปทันทีที่เห็น

“แต่บางทีเราอาจไม่ต้องรอจนพี่นัมจุนฟื้นก็ได้”

 

ตัวเลขมากมายเรียงรายอยู่บนหน้าโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป ตัวเลขที่แทฮยองและจีมินจำได้ว่ามันแตกต่างจากรายงานที่เคยเห็นก่อนหน้าที่พัคโบกอมเคยเอามาให้ดู มันเป็นรายงานฉบับก่อนที่จะมีการปรับแต่งบัญชีใหม่ขึ้น

“เท่าที่ดูผมว่าพี่นัมจุนคล้ายจะระแคะระคายเรื่องนี้อยู่ด้วย เขามาร์กไว้ทุกจุดที่มีตัวเลขน่าสงสัยเลย แล้วยังเก็บรวมรวบเอกสารตั้งเบิกและใบเสร็จทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ด้วย มีหลายจุดที่แสดงให้เห็นว่ามีคณะกรรมการแล้วก็พนักงานระดับสูงบางคนที่เซ็นเบิกจ่ายหลายรายการที่น่าสงสัยมาตลอด”

“ถ้าเราส่งหลักฐานพวกนี้ให้พี่โบกอม พี่นัมจุนจะพ้นข้อกล่าวหาสินะ”

“ที่พี่นัมจุนทำไว้มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์หรอก แต่ก็คงมากพอจะสืบหาคนโกงที่แท้จริงต่อได้”

ร่างบางคล้ายจะยิ้มออกกว้างที่สุดนับตั้งแตเกิดเรื่อง นับเป็นความอังเอิญที่โชคดีท่ามกลางเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นมาตลอด อย่างน้อยตอนนี้การได้ล้างมลทินให้พี่ชายก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่หากเรื่องนี้คลี่คลายไป ก็เหลือเพียงแค่รอเวลาที่พี่ชายเขาจะฟื้นขึ้นมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

“ฉันจะโทรบอกพี่โบกอมก่อนว่าเราเจอหลักฐานสำคัญแล้ว” จีมินมองรอยยิ้มที่แสนมีความสุขของแทฮยอง ถึงแม้จะยินดีที่กับอีกฝ่าย หากแต่ในความรู้สึกลึกๆแล้ว เขาก็อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ ถ้าทุกเรื่องราวกำลังจะคลี่คลายลง บทบาทที่เขากำลังทำอยู่จะถึงคราวสิ้นสุดลงแล้วหรือเปล่า

โทรศัพท์มือถือที่ดับไปนานเพราะเจ้าของไม่ได้สนใจจะหยิบมันขึ้นมาชาร์ตแบตกลับถูกให้ความสำคัญอีกครั้ง แทฮยองมองข้อความมิสคอลนับร้อยจากบุคคลไม่กี่คนที่พยายามติดต่อหาเขา ซึ่งเจ้าของข้อความและมิสคอสที่มีจำนวนมากที่สุดคงไม่พ้นบุคคลที่แทฮยองตั้งใจจะติดต่อกลับ ฉ,ธเพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่เสียงรอสายดังขึ้น เจ้าของเบอร์โทรปลายทางนั้นก็รีบรับสายอย่างรวดเร็วพร้อมประโยครัวๆที่เอ่ยขึ้น

“ท…แทฮยองหรอ”

“ครับ ผมเอง”

“นายเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ รู้ไหมพี่ห่วงจนจะแย่แล้วที่ติดต่อนายไม่ได้เลยเกือบเดือนแบบนี้” ประโยคคำถามรัวๆที่ทำเอาแทฮยองอดแปลกใจไม่ได้

“ผมก็ยังอยู่ที่อิตาลีหมือนเดิม แล้วตอนนี้เราก็เจอพี่นัมจุนแล้วด้วย” หลังประโยคนั้นคำถามมากมายยังถูกรัวใส่จนแทฮยองแทบตอบไม่ทัน หลายสิ่งหลายอย่างที่พัคโบกอมถามทำให้แทฮยองต้องคิดใคร่ครวญคำตอบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับไป ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายคงรู้ความเคลื่อนไหวของเขาเป็นอย่างดีจากน้องชายที่เดินทางมากับเขาด้วย แต่กลายเป็นว่าพัคโบกอมไม่รู้อะไรเลยสักเรื่อง ดูเหมือนที่แทฮยองเข้าใจว่าตลอดว่าจีมินติดตามมาด้วยคำสั่งของพี่ชายคงจะเป็นความเข้าใจผิดไปเองเท่านั้น

 

128950698

 

สองวันคือเวลาที่เร็วที่สุดที่โบกอมหาตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางมาอิตาลีได้ หลักฐานทั้งหมดที่คิมนัมจุนรวบรวมไว้ยังคงอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องเดิมที่แทฮยองคัดลอกไฟล์ทุกอย่างใส่ลงในแฟลชไดร์ฟไว้แล้ว เขานัดหมายกับพัคโบกอมเพื่อยืนยันเรื่องวันเวลาที่อีกฝ่ายจะเดินทางมาถึงเรียบร้อย เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้จูเลียและจีมินฟัง

“ดูเหมือนพี่ชายนายจะไม่รู้เรื่องที่นายอยู่ที่นี่ แล้วมันคงจะดีกว่าถ้าพวกนายจะไม่เจอหน้ากัน” แทฮยองคิดแบบนั้น เขาตั้งใจจะให้จีมินอยู่ที่ไร่ในช่วงที่โบกอมเดินทางมาที่อิตาลี เขาไม่อยากให้ทุกอย่างที่กำลังจะคลี่คลายต้องวุ่นวายมากขึ้น

ในขณะที่จีมินไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง เมื่อเขาไม่ได้เป็นคนมีสิทธิ์เลือกตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพี่โบกอมกับแทฮยอง หรือแทฮยองกับเขา จีมินรู้ดีว่าตัวเองไม่อยู่ในฐานะที่จะเลือกหรือตัดสินใจอะไรได้

น่าแปลกที่ระยะเวลาสองวันนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คิด และบรรยากาศที่แสนสงบในไร่องุ่นก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของคนที่นั่งนิ่งๆมองสวนองุ่นตรงหน้านั้นสงบลงเท่าไหร่ มือหนาคว้าเอาแก้วเครื่องดื่มสีม่วงใสมาจรดริมฝีปากอีกครั้ง จิบเอาความฝาดของเหล้าองุ่นลงสู่ลำคอช้าๆ เมื่อเขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นอกจากนั่งรอเฉยๆแบบนี้

จีมินเข้าใจและเห็นด้วยกับเหตุผลของแทฮยองดีที่ไม่อยากให้เขาไปเจอพี่ชายตัวเอง และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่พร้อมจะเจอหน้าอีกฝ่ายแน่ๆ เพราะเขาเองคงไม่สามารถตอบได้ถึงเหตุผลที่พาให้เขามาถึงอิตาลี่พร้อมกับคนรักของพี่ชายตั้งแต่แรก เขาล้ำเส้นมามากแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็แค่กลับเข้าไปอยู่ในกรอบเดิม เพื่อประคับประคองไม่ให้ทุกอย่างพังทลายลง

เข็มนาฬิกาเดินไปอย่างเชื่องช้า จากวินาทีสู่ชั่วโมงที่จีมินยังคงใช้เวลาอยู่ที่เดิม นั่งมองไร่องุ่นโดยมีไวน์ขวดเดิมอยู่ข้างๆ แก้วใบใสที่ถูกเติมเต็มด้วยเหล้าองุ่นครั้งแล้วครั้งเล่า แอลกอฮอล์ที่อาจทำให้ดวงตาของเขาพร่าเลือนลงไปบ้างในตอนนี้ แต่ไม่ได้ทำให้สติของบาร์เทนเดอร์ที่คลุกคลีกับเครื่องดื่มมึนเมาทั้งหลายหายไปไหน

เสียงรถจอดลงพร้อมการรอคอยของจีมินที่สิ้นสุด เขามองเห็นร่างบอบบางที่รอคอยอยู่แต่เช้าเดินลงมาจากรถเพียงลำพัง ก่อนที่อีกฝ่ายจะมานั่งลงข้างเขา

“พี่โบกอมว่ายังไงบ้าง”

“เขาดูหลักฐานทุกอย่างแล้ว พูดเหมือนนาย คงหาตัวคนที่โกงได้ไม่ยาก” ความเงียบเกิดขึ้นเพราะจีมินเองก็ไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรต่อ จนกระทั่งแทฮยองต้องเป็นฝ่ายทำลายมันลงอีกครั้ง”

อันที่จริงเขาเสนอให้พาพี่นัมจุนกลับไปรักษาต่อที่เกาหลี แต่ฉันยืนยันว่าจะรักษาที่นี่ เพราะครอบครัวของพี่นัมจุนตอนนี้ก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวแล้วด้วย” จีมินพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ถึงได้เห็นว่าดวงตาใสแจ๋วเป็นประกายคู่นั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“พี่โบกอมจะกลับเกาหลีพรุ่งนี้ เห็นว่ามีประชุมสำคัญต่อ” จีมินไม่ได้หลบสายตาที่มองมาคู่นั้น แม้แต่กระทั่งตอนที่เอ่ยถามแทฮยองกลับไป พร้อมลมหายใจที่ขาดช่วงไปชั่วขณะหนึ่งเพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ

“แล้วคุณล่ะ”

“ฉันจะอยู่ดูแลพี่นัมจุนจนกว่าจะฟื้น แล้วนาย?”

“นั่นสิ” จีมินไม่ได้ตอบในสิ่งที่แทฮยองถาม อีกฝ่ายมีเหตุผลสมควรที่จะอยู่ต่อเมื่อผู้เป็นพี่ชายยังไม่ได้สติ หากแต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเองควรจะอยู่ต่อหรือเปล่า

ความเงียบคือสิ่งที่เข้ามาแทนที่พวกเขา จนกระทั่งคำพูดหนึ่งของจูเลียย้อนกลับเข้ามาในความคิด

“ครั้งนึงจูเลียเคยพูดว่านายห่วงฉันมาก ในช่วงเวลาที่ยากที่สุดนายก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ หรือต่อให้เจอเรื่องที่แย่กว่านี้ เขาก็คิดว่านายจะไม่ทิ้งฉันไปไหนแน่” แทฮยองมองดวงตาเรียวที่หลบสายตาเขาไปแล้ว สีแดงก่ำบนใบหน้าและลำคอรวมทั้งกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยคละคลุ้งทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายดื่มไปมากแค่ไหน ถึงแม้จะไม่ได้เมามายจนพูดจากันไม่รู้เรื่อง แต่จีมินคงไม่รู้ว่าแอลกอฮอล์ทำให้เขาระมัดระวังตัวน้อยลง หลุดพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกมากขึ้น แม้แต่ความลับที่พยายามเก็บไว้มาตลอดก็กล้าที่จะพูดถึง

“ผมไม่แน่ใจว่าควรจะอยู่ต่อหรือเปล่า มันไม่มีเหตุผลตั้งแต่แรกที่ผมควรจะอยู่ตรงนี้”

“แล้วฉันก็ไม่เคยฉุกคิดด้วยว่าเพราะอะไรที่ทำให้คนที่ออกจะรักอิสระ ไม่เคยอยู่ในกรอบอย่างนายจะเชื่อฟังพี่ชายที่ให้ตามมาดูแลฉันถึงที่นี่” สายตาคมกล้าคู่นั้นเงยขึ้นมาสบตากับแทฮยองอีกแล้ว นอกจากความจริงจังในน้ำเสียง แทฮยองมองเห็นความอึดอัดที่ทอประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“คุณคงไม่อยากรู้เหตุผลนักหรอก โดยเฉพาะถ้ามันคือการที่ผมเกิดคิดเกินเลยกับแฟนพี่ชายตัวเอง” ความลับที่แทฮยองไม่เคยรู้หลุดออกมาจากริมฝีปากหนานั่น เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่แทฮยองที่มีสิ่งใหม่ที่เพิ่งได้รู้ หากแต่จีมินเองก็เหมือนกันที่มีเรื่องบางอย่างซึ่งแทฮยองยังไม่ได้บอก

“ก็ไม่รู้ว่าใครควรจะเซอไพร์สมากกว่ากัน ระหว่างฉันที่ถูกสารภาพรัก หรือนายที่ต้องทำความเข้าใจใหม่ ว่าฉันไม่ใช่แฟนของพี่โบกอมแล้ว” ดวงตาที่ทอประกายอึดอัดนั้นกลับเต็มไปด้วยแววตาสงสัย ในขณะที่ร่างหนาขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้น ข้อมือแข็งแรงดั่งเหล็กกล้าเชยหน้าเขาให้สบสายตาคมนั้นชัดๆ คาดคั้นให้อธิบายด้วยแววตาอ้อนวอนคู่นั้น

“ที่ผ่านมาฉันเคยชินที่มีเขาอยู่ในชีวิตเพราะเส้นทางของเราอยู่คู่กันมาตลอด จนกระทั่งวันนึงที่ต้องเดินแยกทางกันไป ทั้งที่เป็นแบบนั้นฉันกลับลืมที่จะโหยหา แล้วก็ไม่ได้คาดหวังให้เส้นทางเรากลับมาบรรจบกันอีก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้กลายเป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่คาดไม่ถึงที่จู่ๆก็โผล่เข้ามาในชีวิตฉันหรือเปล่า”

แทฮยองไม่รู้ว่าตอนไหนที่หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงมากขึ้น ตอนที่ใบหน้าคมคายนั้นขยับเข้ามาใกล้ ตอนที่ปลายนิ้วแข็งเกร่งนั้นเชยหน้าเขาให้เชิดขึ้นอีกนิด หรือตอนที่ริมฝีปากคู่นั้นเอ่ยประโยคถัดมาทั้งที่มีช่องว่างระหว่างกันไม่ถึงหนึ่งเซ็นเท่านั้น

“แล้วอะไรบางอย่างของคุณ ผมจะเข้าข้างตัวเองว่าเป็นผมได้ไหม คุณอยากให้ผมอยู่ในเส้นทางของคุณหรือเปล่า ยังอยากให้ผมอยู่ที่นี่ต่อไหม”

“ฉันไม่รู้ว่านายจะกลายเป็นแค่ความเคยชินเหมือนที่พี่โบกอมเป็นหรือเปล่า หรือนายจะเป็นได้มากกว่านั้..” คำสุดท้ายของประโยคขาดหายไปเพราะริมฝีปากหนาประทับลงเบาๆที่กลีบปากของเขา จีมินไม่ได้สอดปลายลิ้นเข้ามานอกจากผละออกไปแล้วกดซ้ำลงมาเบาๆจนทั่วริมฝีปาก สัมผัสช้าๆ ซ้ำๆที่อ่อนโยนเหมือนมีผีเสื้อมาเกาะ ก่อนที่ผีเสื้อฝูงนั้นจะค่อยๆโบยบินเข้าไปในร่างกาย กระจายอยู่ทั่วในท้อง

“รู้ไหมว่าผมกำลังรู้สึกผิด ที่ทำกับพี่ชายตัวเองแบบนี้” แทฮยองไม่รู้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังจนเผลอสอดเข้ามาในเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่ เขารู้แค่ว่ามือของตัวเองเกะกะจนต้องเกาะเกี่ยวที่บ่าหนาๆนั่น แล้วมันก็ไม่ถนัดจนต้องเอียงคอปรับองศาตัวเองให้เหมาะสม

ริมฝีปากของจีมินผละออกช้าๆ ทิ้งช่วงนานจนกระทั่งแทฮยองหาเสียงตัวเองพบ

“งั้นก็รู้ไว้เถอะว่าฉันก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำให้นายรู้สึกแบบนั้น” ก่อนที่จะเป็นแทฮยองเองที่เรียกร้องให้สัมผัสเบาๆราวผีเสื้อโบยบินเกิดขึ้นอีกรอบ

จีมินถอนริมฝีปากออกมาแล้ว ภายในใจตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่ตีกันอยู่ในหัว เขารู้สึกผิดที่ตัวเองกลายเป็นสาเหตุให้แทฮยองตัดขาดกับพี่ชายตัวเองแบบนี้ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือหัวใจที่เต้นระรัวและพองโตอยู่ในอก

“ถ้าสักวันพี่โบกอมรู้เขาคงโกรธ ไหนจะพี่ชายคุณอีก” เขามองดวงตากลมโตที่ฉ่ำวาวกับกลีบปากบางที่บวมเจ่อ ใบหน้าสวยหวานบัดนี้แดงระเรื่อและร่างบอบบางก็ไร้ซึ่งเรียวแรงจนต้องพิงร่างกายแนบชิดกับอกเขา

ใบหน้าหวานซบลงกับบ่าของจีมินในขณะที่ลำแขนสองข้างก็ประสานอยู่หลังคอของร่างหนา แทฮยองหลับตาลงช้าๆแนบพวงแก้มใสลงบนอกแข็งๆจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่รัวที่ดังอยู่ในนั้น

ริมฝีปากบางอ้าออกอีกครั้ง ก่อนที่จีมินจะได้ฟังประโยคที่ทำให้หัวใจเขาพองฟูจนเต้นแรงมากยิ่งขึ้น

“เราเดินทางมาไกล แล้วก็ยังเหลืออีกไกลที่ต้องไปต่อ แล้วถ้าวันนั้นมาถึง ไม่ว่าเรื่องราวจะแย่แค่ไหน ถ้านายไม่ปล่อยมือกัน ฉันเองก็คงไปไหนไม่ได้หรอก”

 

ใส่ความเห็น