2020

2002 (ALLV)

2002 – Anne Marie

 

 

เสียงพูดคุยของผู้คนดังคลอไปกับท่วงทำนองเพลงที่คุ้นหู ผมเดินเข้าไปในอาคารหลังนั้นช้าๆ จนกระทั่งหยุดนิ่งที่กลางลานซึ่งปูด้วยพื้นกระเบื้อง พร้อมกับเสียงผู้คนที่ค่อยๆเบาลงและท่วงทำนองที่ขับขานอยู่นั้นหยุดไป

ตรงหน้าคือใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยดีสำหรับผม วันนี้เขาดูแปลกตาไปจากปกติ ไม่ว่าจะเป็นทรงผมหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็เปลี่ยนไปในรูปแบบที่ไม่ค่อยได้เห็น มีเพียงแค่ดวงตาสีนิล ปลายจมูกโด่ง และริมฝีปากหนาที่ไม่ได้ต่างไปจากคนเดิมในอดีต และทันทีที่สบสายตากัน ความรู้สึกบางอย่างก็ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ราวกลับเข็มนาฬิกาที่ฝาผนังหยุดลงแล้วเดินย้อนหลัง วนกลับไปสู่ปี 2002 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องของทุกอย่าง

 

จึก จึก

แรงสะกิดเบาๆที่หลังทำให้ผมยอมฝืนเปิดเปลือกตาที่ง่วงงุนขึ้นมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกราวกับมีก้อนหินและแผ่นเหล็กถ่วงมันให้พร้อมปิดลงได้ทุกเมื่อ หรือบางทีอาจเป็นแรงโน้มถ่วงของโลกตามที่ครูกำลังพูดอยู่ที่หน้าชั้นหรือเปล่า ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก นอกจากปล่อยให้ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านั้นทะลุเข้าและออกจากหูไปโดยแทบไม่หลงเหลืออยู่ในสมอง

ผมหันไปมองเจ้าของแรงสะกิดด้านหลังที่ยื่นเศษกระดาษแผ่นเล็กซึ่งยับยู่ยี่มาให้ นึกสงสัยในใจว่าเพื่อนสนิทของตัวเองนึกครึ้มอะไรถึงอยากจะเขียนจดหมายน้อยคุยกันในขณะที่นักเรียนเกือบทั้งห้องพร้อมใจกันหลับ

‘คืนนี้พ่อกับแม่กลับค่ำ ไปบ้านฉันกันมั้ย’ ตัวอักษรลายมือที่ผมลงความเห็นว่าใกล้เคียงกับไก่เขี่ยแต่เพราะคุ้นชินกับมันมานานเลยสามารถเดาและทำความเข้าใจในสิ่งที่เห็นได้ไม่ยาก ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบดินสอที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องขึ้นมาตวัดลงบนเศษกระดาษเพียงไม่กี่ครั้ง ข้างใต้ข้อความแสนยืดยาวแล้วส่งมันกลับคืนเจ้าของ

‘อือ’ คำเดียวที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ยาวนานในชีวิตผม

 

 

ควันสีขาวพรั่งพรูออกจากทางจมูกและปากเมื่อเราพ่นลมหายใจออกมาในแต่ละครั้ง ผมพ่นมันลงหน้ากระจกรถที่พวกเรานอนอยู่ก่อนจรดนิ้วมือลงวาดมันออกมาเป็นรูปร่างตามแต่ใจคิด ท่ามกลางค่ำคืนในฤดูหนาว มีเพียงเด็กผู้ชายอายุ 11 สองคนที่นอนอยู่บนกระโปรงรถคันใหญ่ พร้อมกระป๋องเบียร์ในมือที่เจ้าของบ้านแอบขโมยมันออกมาจากตู้เย็นโดยที่คนเป็นพ่อแม่ไม่รู้

“มันทำให้อุ่นขึ้นจริงๆนะ ลองดูสิ” คำชวนที่ผมได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของคนอื่นเกี่ยวกับรสชาติของเครื่องดื่มสีอำพันนั้น “ขมแน่ๆ”

เสียงหัวเราะเบาๆท่ามกลางความมืดและเงียบที่ไร้ซึ่งคนอื่น ก่อนที่เจ้าของเสียงหัวเราะนั้นจะไถลตัวลงจากระโปรงรถแล้วเดินไปเปิดเครื่องเสียงรถยนต์เล่นเพลงป็อปที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนั้น แล้วปีนกลับขึ้นบนกระโปรงรถเปล่งเสียงร้องเพลงคลอไปกับดนตรีที่ถูกเปิดอยู่

 

“ไม่ลองดูจริงหรอ มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก พวกผู้ใหญ่ยังกินเลย” กระป๋องเบียร์ถูกหยิบยื่นมาให้พร้อมความลังเลในใจผมที่ประทุขึ้น จริงอยู่ที่ผู้ใหญ่รอบข้างดื่มมันบ่อยๆ ซึ่งถ้ารสชาติมันแย่ขนาดนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนมากมายจะยอมเสียเงินเพื่อซื้อหามันแน่ๆ

 

สุดท้ายก็สำลักแทบตายเมื่อรสชาติฝาดขมกระจายทั่วโพรงปากจนยากเกินกว่าจะกลืนลงลำคอ ผมนึกสมน้ำหน้าตัวเองที่เกิดอยากทำตัวเลียนแบบพวกผู้ใหญ่ ส่วนตัวต้นเหตุกลับระเบิดเสียงหัวเราะไม่หยุด

ผมยื่นกำปั้นไปทุบลงบนอกของเขาทั้งที่ยังสำลักอยู่ จนฝ่ามือหนาต้องมากุมมือผมไว้เพื่อให้หยุดประทุษร่างกายร้ายเขา

 

นอกจากรสชาติแย่แล้ว มันยังส่งผลให้ผมร้อนวูบวาบทั่วโพรงปากและลำคอด้วย

“ขมติดลิ้นเลย แย่ที่สุด” ผมบ่นออกไปถึงแม้จะหยุดสำลักแล้ว หันไปมองค้อนอีกคนด้วยสายตาขุ่นเคือง ก็ถ้าอีกฝ่ายไม่ยื่นมาให้ ผมคงไม่ต้องอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้

“ให้ช่วยไหมเล่า”

“ยังไงล่ะ”

ความนุ่มหยุ่นทาบทับลงบนริมฝีปากผม ก่อนที่อะไรบางอย่างจะค่อยๆละเอียดเข้ามาในโพรงปากอย่างช้าๆ ผมชะงักนิ่งด้วยความตกใจ จนเปิดโอกาสให้ความชื้นและก้อนเนื้อนั้นเข้ามาหยอกล้อและพันเกี่ยวปลายลิ้นตัวเองเล่น

เนิ่นนานจนลมหายใจขาดช่วง กระทั่งกลายเป็นสายน้ำใสที่เชื่อมกันเมื่อผละออก จนต้องยอมให้ริมฝีปากหนานั้นตามมาดูดซับหยดน้ำเหล่านั้นจนหมด

“หวานจัง”

 

ผมก้มหน้านิ่งชิดอก หัวใจเต้นถี่รัวจนเจ็บ เป็นความรู้สึกไม่บอกไม่ถูก ในขณะที่ความขมที่ปลายลิ้นถูกชะล้างออกไป แต่ความร้อนวูบวาบในโพรงปากและลำคอกลับเพิ่มมากขึ้น

 

 

2004

ควันสีขาวลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศและรอบข้างก็เต็มไปด้วยกลิ่นเผาไหม้ที่ลอยเข้าสู่ปลายจมูก มันน่าอึดอัดเมื่อเราต้องแอบซ่อนอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเล็กๆ ที่กลุ่มควันเหล่านั้นไม่สามารถระบายออกไปไหนได้

 

“ลองดูสิ”

มวนกระดาษสีขาวถูกหยิบยื่นมาให้ผมด้วยมือหนาคู่เดิมที่เคยยื่นกระป๋องเบียร์มาให้เมื่อสองปีก่อน พวกเราในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก อย่างความสูงที่เพิ่มขึ้น หรือลำตัวและลาดไหล่ที่ขยายออก จนต้องเบียดเสียดกันในห้องเล็กๆที่แทบขยับไม่ได้

ผมรับมันมาถือไว้ด้วยความลังเลใจไม่ต่างจากคราวก่อน จ้องมองประกายไฟสีแดงที่ปลายมวนบุหรี่สีขาวซึ่งอีกคนคาบอยู่ในปาก เครื่องผลิตควันคละคลุ้งที่ลอยตลบอบอวลอยู่ตอนนี้

 

ใบหน้าคมคายเขยิบเข้ามาใกล้ จนกระทั่งประกายไฟสีแดงลามมาเผาไหม้มวนกระดาษสีขาวที่ริมฝีปากผม ผมสำลักควันนิดหน่อยตอนสูดมันเข้าไปครั้งแรก รู้สึกราวกับกลืนเขม่าควันเข้าไปในลำคอ เป็นประสบการณ์ที่ไม่ต่างจากครั้งก่อนที่ทำตัวเลียนแบบพวกผู้ใหญ่แล้วก็จบลงแบบไม่สวยนัก

ก่อนที่คราบเขม่าควันพวกนั้นจะถูกลบล้างไปจากปลายลิ้นด้วยวิธีการที่ไม่ต่างจากเดิมนัก นอกจากจะเนิ่นนานและลึกซึ้งขึ้นจนกลีบปากผมบวมเป่ง

กระทั่งความนุ่มหยุ่นและลมหายใจร้อนๆนั้นผละออกไป เหลิอไว้แค่กลิ่นควันบุหรี่ที่เด่นชัดขึ้นในโพรงปาก และแรงเต้นภายในอกที่ถี่รัวจนเจ็บ ราวกับคืนวันนั้นในปี 2002 ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง

 

2007

เสียงน่าอายหลุุดออกจากภาพวาบหวิวที่ฉายอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยม ในขณะที่เพื่อนผู้ชายหลายคนกำลังใช้มือรีดเอาหยาดหยดแห่งความปรารถนาให้ปริ่มล้นออกมาเป็นสายธารแห่งความสุขจนเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้นห้อง

ประสบการ์ณที่แสนธรรมดาสำหรับวัยรุ่นแต่แปลกใหม่สำหรับตัวเอง ผมได้แต่ก้มหน้างุดไม่กล้ามองภาพบนจอหรือภาพเปลือยเปล่าของเพื่อนคนอื่น อดกลั้นกับความรู้สึกอึดอัดและหน่วงที่ช่วงล่าง ก่อนจะรีบผละกลับหอตัวเอง ทิ้งเหล่าคนที่ยังคงหรรษาอยู่ในปาร์ตึ้ของนักเรียนชายล้วน

 

เสียงประตูเปิดปิดลงไม่นานหลังผมกลับมาถึงห้อง ผมแสร้งนอนหลับตาภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ นึกแปลกใจที่เพื่อนสนิทซึ่งกลายมาเป็นรูมเมทกลับมาเร็วกว่าที่คิด อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ต่อในงานปาร์ตี้กับเพื่อนๆคนอื่น

ผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ถูกเลิกออกนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมยอมเปิดเปลือกตาขึ้น ลูกแก้วสีนิลคู่เดิมที่ทอประกายคมกล้ามากกว่าแต่ก่อนจดจ้องมาที่กลางลำตัวผม จนต้องเบือนหน้าหนีสายตาคมคู่นั้น

 

“ให้ฉันช่วยเถอะ”

มันน่าอายผมรู้สึกแบบนั้น ยิ่งตอนที่ฝ่ามือหนารูดรั้งขึ้นลงผมยิ่งแทบแทรกแผ่นดินหนี กลีบปากตัวเองถูกเม้มแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงน่าอายหลุดรอดออกมาได้ แต่ดูเหมือนคนขี้แกล้งจะรู้ทัน ถึงได้เพิ่มความเร็วและน้ำหนักมือ จนผมยอมแพ้ให้เสียงครางหลุดออกมาริมฝีปากได้

ความอายกลายเป็นหยดน้ำตาที่ทำผมต้องซุกซ่อนใบหน้าแดงก่ำลงกับหมอน

ก่อนจะได้รับการปลอบโยนด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ ริมฝีปากที่ประทับลงที่ขมับแล้วเคลื่อนย้ายลงมาที่เปลือกตาปลายจมูก จนหยุดที่เดิมอีกครั้ง ที่ๆเรียกจังหวะหัวใจของผมให้ถี่รัวได้เสมอ

 

2009

เทียนสีขาวที่ปักอยู่บนเค้กสตอเบอรี่ยังไร้ซึ่งเปลวไฟเหมือนเดิมทั้งๆเข็มนาฬิกากำลังจะเคลื่อนเข้าสู่วันใหม่เข้าไปทุกเมื่อ ผมมองอาหารเต็มโต๊ะที่ตัถูกจัดวางไว้บนจานแต่ไม่ได้พร่องไปแม้แต่น้อย ก่อนจะละความสนใจมาที่โทรศัพท์มือซึ่งส่งเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น

ภาพคู่ถูกโพสต์และเช็คอินสถานที่ที่ไม่ได้ไกลออกไปนัก แต่ก็ทำให้ผมตัดสินใจเก็บอาหารทุกจานเข้าตู้เย็นโดยที่ยังไม่ทันได้ลิ้มรส ในเมื่อคนที่นัดกันไว้ไม่มีทีท่าจะกลับมาถึงห้องในเร็วๆนี้

 

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วซุกหน้าลงกับหมอน ความกว้างของมันทำให้สัมผัสได้ถึงความเงียบเหงาและอ้างว้างเมื่ออีกฝั่งยังคงว่างเปล่า เพราะรู้จักกันมานาน เพราะเขาไม่เคยลืมวันเกิดของผมสักครั้ง ถึงได้ไม่แน่ใจว่าเวลาได้ลดทอนความสำคัญของผมลงไปแล้วหรือเปล่า

 

เสียงประตูดังขึ้นหลังเมื่อเข็มนาฬิกาเคลื่อนเข้าสู่วันใหม่เกือบสองชั่วโมงแล้ว ร่างหนาของคนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดทิ้งตัวลงบนเตียงฝั่งขวาที่ว่างเปล่า ก่อนที่วงแขนแข็งแรงจะเอื้อมมารวบตัวผมเข้าไปกอดเหมือนในยามค่ำคืนปกติ

“ขอโทษ ฉํนไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาไม่ทันวันเกิดของนาย” ผมปล่อยให้ความน้อยใจไหลออกมาพร้อมเสียงสะอื้น จนรู้สึกถึงวงแขนที่คลายออกเพื่อหมุนร่างของผมให้หันไปเผชิญหน้าเขา

“พี่เขาบังคับให้อยู่เลี้ยงสาย ฉันปฏิเสธไม่ได้ ขอโทษจริงๆ” คำอธิบายแผ่วเบากับสีหน้ารู้สึกผิดทำให้ผมนึกย้อนไปถึงภาพถ่ายที่ถูกอัพลงบนโชเชียลเน็ตเวิร์ค ผู้หญิงที่เขาบอกว่าเป็นแค่รุ่นพี่ในสายไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

“ฉันไม่ได้สำคัญน้อยลงใช่หรือเปล่า” เกือบสิบปีที่รู้จักกัน เกินครึ่งชีวิตที่มีเขาอยู่ด้วย เขากลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุด แต่ผมกลับไม่แน่ใจ สำหรับเขาแล้วความสำคัญของผมยังเท่าเดิมหรือเปล่า หรือถูกลดลงเพราะมีคนอื่นมาแทนที่

“ไม่มีตอนไหนที่นายจะสำคัญน้อยลง สำหรับฉันแล้ว มีแค่นายคนเดียวมาตลอด” ผมปล่อยให้ความน้อยใจปริ่มล้นออกมาอีกระลอก จนอีกฝ่ายต้องปลอบโยนด้วยสัมผัสแผ่วเบาทะนุถนอม

 

ตลอดคืนนั้นผมได้รู้ว่าตัวเองสำคัญมากแค่ไหน ผ่านน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่พร่ำขอโทษอยู่ข้างหู ผ่านริมฝีปากที่พรมจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านฝ่ามือที่กุมกันหลวมๆ ผ่านร่างกายที่สอดประสานรวมกันเป็นหนึ่ง

ในตอนนั้นสิ่งที่ผมได้ยินไม่ใช่แค่เสียงหัวใจตัวเอง แต่เป็นเสียงหัวใจของเราที่เต้นซ้อนทับเป็นจังหวะเดียวกัน

 

 

2020

เข็มนาฬิกากลับวนกลับมายังปัจจุบันอีกครั้งเมื่อใครอีกคนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าพวกเราทั้งคู่ ผมมองบาทหลวงซึ่งขึ้นมายืนอยู่บนแท่นศักดิ์สิทธิ์ มองรอยยิ้มกว้างและดวงตาคมคู่เดิมของคนที่กล่าวคำปฏิญานอยู่ข้างๆ

ผมยื่นฝ่ามือออกไปเกี่ยวพันกับนิ้วมือของเขา รับรู้ถึงความเย็นของแหวนและความอบอุ่นที่แล่นปราดอยู่ที่ปลายนิ้ว ก่อนจะสอดประสานฝ่ามือให้แนบสนิทกันมากขึ้น เอ่ยคำปฏิญานที่ตั้งใจไว้

 

ที่ผ่านมา ผมเรียนรู้และลองประสบการณ์ใหม่ๆทุกอย่างไปพร้อมกับเขา ไม่ว่าจะเป็นตอนดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรก ตอนหัดสูบบุหรี่ที่ฉุนกึก หรือแม้แต่จูบกับเซ็กส์ที่ลึกซึ้งด้วย และตอนนี้ ผมกำลังจะเรียนรู้สิ่งใหม่อีกครั้ง เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมกับใครอีกคนในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นับจากนี้

 

2bf_flowerbar1

ไม่ได้ฟิคคู่ค่ะ เพราะคิดว่าจะกลับมาแต่งออลวีแล้ว

 

 

 

 

 

ใส่ความเห็น