องค์รักษ์กุกวี

EP. 7 : ผลพวงจากอุบัติเหตุ

ดวงตายิบหยีจ้องมองใบหน้ากลมของเพื่อนชายตัวเล็กที่ยังยิ้มไม่หุบทั้งที่ท่านโฮซอกเดินออกจากห้องเรียนไปแล้วหลังการเรียนการสอนเสร็จสิ้น

“โอ้โห ไม่น่าเชื่อว่าจีมินของเราจะเก่งขนาดนี้ ท่านโฮซอกชมไม่หยุดเลยเรื่องการบ้านครั้งก่อน สงสัยจะได้คะแนนจิตพิสัยเพิ่มอีกมากโขเลยเนอะแทฮยอง” องค์หญิงหันไปหาลูกคู่ที่จะช่วยเย้าเพื่อนชายตัวเล็กที่มีท่าทีเขินอายอยู่

“จีมินก็แค่ตั้งใจเขียนรายงานมาส่งเฉยๆชดเชยที่มาสายไงขอรับ” รอยยิ้มสดใสที่กว้างเสียจนทำให้พวงแก้มสีชมพูยุ้ยขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดูจนเพื่อนสองคนอดยิ้มตามไม่ได้

“อ๊ะ ฝนทำท่าจะตกแล้วนะองค์หญิง” แทฮยองชี้ออกไปนอกหน้าต่าง เมฆฝนตั้งเค้าเป็นกลุ่มก้อนสีเทาอยู่บนท้องฟ้า สายลมที่พัดผ่านหน้าต่างก็เริ่มแรงขึ้นจนได้กลิ่นดินกลิ่นหญ้าลอยเข้าจมูก ในขณะที่อุณหภูมิก็ลดต่ำลงจนรู้สึกถึงความเย็นที่กระทบผิวกาย

“ว้า เสียดายจัง เราว่าจะชวนไปปีนเก็บมะม่วงเสียหน่อย ต้นมะม่วงข้างตำหนักเราตอนนี้ก็กำลังเหลืองน่ากินเชียว”

“ถ้ารีบปีนไปเก็บตอนนี้ ก่อนฝนจะตกก็คงจะได้สักสองสามลูกล่ะมั้ง” แล้วสุดท้ายสามคนก็ลงความเห็นพ้องกันว่าพวกเขายังคงมีเวลาอีกนิดหน่อยเพื่อเจ้าลูกมะม่วงสีเหลืองอ่อนที่ห้อยเป็นพวงอยู่บนกิ่งก้านสูงชันข้างตำหนัก

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

“แทฮยองระวังหน่อยนะ เดี๋ยวตกลงมา” องค์หญิงตะโกนบอกเพื่อนชายคนสนิทที่ปีนขึ้นไปได้ถึงกลางต้นมะม่วงสูงใหญ่ จากที่เคยกระฉับกระเฉงอยู่เสมอแต่ด้วยชุดประจำตำแหน่งที่ตอนนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคเพราะมันไม่เหมาะกับการปีนต้นไม้เอาเสียเลย

“อ๊ะ อีกนิดเดียวเององค์หญิง แทฮยองจะถึงลูกมะม่วงแล้วนะ” สองเท้าที่เปลือยเปล่าปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เกาะเกี่ยวกับลำต้นสีน้ำตาลใหญ่และเนื้อไม้ขรุขระ ในขณะที่มือเล็กก็เอื้อมออกไปจนสุด อีกไม่กี่ฝ่ามือเท่านั้นเขาจะเอื้อมถึงพวงมะม่วงสีเหลืองอ่อนที่ทุกคนเฝ้ารอใจจดใจจ่อ

ดวงตาที่เฝ้ามองอย่างเป็นกังวลอยู่ห่างออกมาจากอีกสองคนที่ยืนลุ้นอยู่ใต้ต้นมะม่วง ท่าทางเก้ๆกังๆของคนที่อยู่บนความสูงหลายเมตรจากพื้นเบื้องล่างและเสียงฟ้าฝนที่เริ่มร้องครืนๆดูน่ากังวลจนเขาไม่อาจจะวางใจได้

แปะ แปะ เสียงสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาจนสัมผัสกับผิวหนังที่อยู่พ้นเสื้อผ้าที่สวมอยู่จนคนเบื้องล่างต้องเอามือป้องหยดน้ำที่ไหลลงมาโดนใบหน้าและลำตัว

แทฮยองเอื้อมมือออกไปจนสามารถจับกิ่งก้านของมะม่วงพวงที่ต้องการได้ หยดฝนทำให้เขาต้องก้มหน้าลงเพราะมันไหลเข้าตาจนบดบังภาพตรงหน้า ส่วนมือและเท้าก็เริ่มชื้นแฉะไปหมด

เปรี้ยง!! เสียงดังสนั่นและแสงสว่างวาบเป็นเส้นตรงลงมาจากท้องฟ้าทำคนที่กำลังใช้สมาธิในการประคองตนเองสะดุ้งจนเท้าที่เกาะอยู่กับเนื้อไม้แข็งกระด้างลื่นลงมา ในมือคว้าเอาพวงมะม่วงไว้แน่นแต่เจ้าของร่างกลับร่วงหล่นลงมาตามน้ำหนักที่พวงมะม่วงไม่สามารถทานไว้ได้

“แทฮยองงง!!” สองเสียงประสานกันขึ้นในจังหวะที่เห็นเพื่อนกำลังจะตกลงมา และไม่ทันที่จะได้คิดอะไรสองมือสองเท้าก็วิ่งเข้าไปรองรับร่างที่กำลังจะกระแทกพื้น ไม่ใช่เพียงแค่สองคนเท่านั้น แม้แต่คนที่มองดูอยู่ห่างๆก็วิ่งถลาเข้าไปด้วย

“โอ๊ยยย” สี่เสียงของสี่คนที่ล้มระเนระนาดกับพื้นดังขึ้นมาแทบจะในจังหวะเดียวกัน แทฮยองเจ็บเพราะขาของเขาครูดไปกับพื้นดินจนเป็นรอยถลอก ส่วนองค์หญิงที่วิ่งเข้ามารับก็ถูกแขนของเขากระแทกเข้ากับหน้าผากนูนจนแดงเป็นปื้นใหญ่ แม้แต่จีมินก็ถูกเขาทับจนจุกแล้วยังข้อศอกที่โดนหินก้อนเล็กที่พื้นบาดจนเลือดออก

“ท..ท่านยุนกิ” แทฮยองมองอีกคนที่เข้ามาช่วยเขาซึ่งนั่งกุมมือตนเองอยู่ด้วยสีหน้าซีดเซียวไม่สู้ดีนัก ก่อนที่ทุกคนจะพากันย้ายเข้าไปในตำหนักในขณะที่สายฝนเทกระหน่ำลงมามากขึ้น

ซ่า ซ่า… แทฮยองมองสายฝนที่ตกลงมาไม่หยุด ภายในห้องโถงเอกที่พวกเขาชอบมานั่งเล่นด้วยกันยามว่าง แต่ตอนนี้กลับถูกจับจองด้วยคนเจ็บที่นั่งอยู่กันคนละมุม แทฮยองเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอหรือพูดคุยกันมากนักแต่กลับวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเขาในเวลาคับขันเมื่อครู่

“ท่านยุนกิเป็นอะไรมากหรือเปล่า แทฮยองขอโทษที่ทำให้ท่านยุนกิเจ็บตัว” ท่าทางที่เคยแสนซนไม่ยอมใครแต่ตอนนี้กลายเป็นลูกหมาที่เหงาหงอยไปแล้ว แทฮยองมองข้อมือของคนที่เข้ามาช่วยเขาที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวๆม่วงๆ

“ไม่เป็นอะไรครับ แค่มือซ้นนิดหน่อยตอนล้มกระแทกพื้น แต่เห็นท่านแทฮยองปลอดภัยดีก็พอแล้ว” แทฮยองจ้องมองดวงตาสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยความยินดีและไม่มีท่าทางขุ่นเคืองแม้แต่นิดสะท้อนออกมาให้เห็น

“ท่านยุนกิทำไมใจดีจัง แทฮยองยิ่งรู้สึกผิดไปอีกที่ทำให้ท่านยุนกิเจ็บ” ความประทับใจเล็กๆเต็มตื้นอยู่ในหัวใจดวงน้อย ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน แต่อีกฝ่ายกลับเข้ามาช่วยเหลือเขาโดยที่ไม่ได้นึกถึงตนเองด้วยซ้ำ

“อ๊ะ จีมินมาพอดีเลย ฝากดูมือของท่านยุนกิให้หน่อย แทฮยองขอไปดูแผลให้องค์หญิงก่อน” ทั้งที่อยากจะดูแลด้วยตนเองเพราะเขาเป็นสาเหตุทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว แต่เมื่อมองไปเห็นเพื่อนผู้สูงศักดิ์ที่นั่งนวดคลึงหน้าผากอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง แทฮยองเลยได้แต่ฝากจีมินที่เป็นทั้งเพื่อนและญาติให้ช่วยดูแลยุนกิให้

จีมินนั่งลงข้างยุนกิเมื่อแทฮยองเดินไปแล้ว เขาหยิบหลอดยานวดแก้ปวดออกมาจากกล่องพยาบาล แล้วยื่นไปจับข้อมือคนเจ็บที่ช้ำจนเปลี่ยนสี

“คือ ทำแผลของท่านจีมินก่อนดีกว่า มีเลือดไหลด้วย” วินาทีที่ยุนกิกำลังจะเอื้อมมือไปดึงข้อศอกของจีมินเพื่อดูแผลที่มีเลือดไหลแต่กลับถูกปัดมือทิ้ง จนกลายเป็นความผิดหวังที่ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้า บางทีท่านจีมินคงจะรังเกียจไม่อยากให้เขาถูกเนื้อต้องตัวล่ะมั้ง

“คือ ไม่เป็นไร ของเราแค่แผลถลอกเฉยๆ มือซ้นไม่ใช่หรอ นวดยาก่อนสิ มันช้ำมากเลยนะ” ยุนกิแทบทำอะไรไม่ถูกเมื่อมือเล็กเอื้อมมาจับข้อมือของเขาไปพิจารณา ก่อนจะป้ายเนื้อยาเย็นๆแล้วนวดวนให้มันซึมลงไปใต้ผิวหนัง สัมผัสเบาๆที่วนไปเรื่อยๆทำเอาหัวใจที่เคยห่อเหี่ยวพองฟูคับอก มันเต้นถี่และไม่เป็นจังหวะเหมือนตอนปกติ จนยุนกิไม่แน่ใจว่าตนเองป่วยเป็นโรคหัวใจหรือตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้รับสัมผัสอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างและเย็นชาจากอีกฝ่าย

“ท่านจีมินไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยครับ บาดเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า” ถึงแม้จะดูมีทีท่าปกติแต่ยุนกิก็อดห่วงไม่ได้ เพราะท่านจีมินตัวเล็กกว่าท่านแทฮยองเสียอีก แล้วถูกทับไปเต็มๆก็ไม่รู้ว่าตามเนื้อตัวจะเขียวช้ำหรือเปล่า

“เปล่าไม่เป็นอะไร แล้วทำไมถึงวิ่งถลาเข้ามาล่ะ ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย” จีมินว่าตามที่คิด ยุนกิโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รับบาดเจ็บแค่ซ้น ไม่ได้แตกหรือหักที่ส่วนไหน

“แต่ท่านจีมินก็วิ่งเข้าไปเหมือนกันนะครับ” ยุนกิพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะราวต้องการจะหยอกเย้าคนตรงหน้า

“ก็แทฮยองเป็นเพื่อนเรา เป็นญาติด้วยจะเข้าไปช่วยคงไม่แปลก แต่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าสักนิด”

“อ่า ไม่รู้สิครับ คงเพราะท่านแทฮยองเป็นคนสำคัญของท่านจีมินมั้ง”

“หมายความว่ายังไง ถ้าคนที่ตกจากต้นไม้ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เจ้าก็จะไม่เข้าไปช่วยแบบนั้นหรอ” เพราะจีมินไม่เข้าใจจริงๆกับสิ่งที่อีกคนพยายามจะสื่อ

“ถ้าให้พูดตามตรง ข้าไม่ใช่คนดีขนาดที่จะเข้าไปช่วยเหลือทุกคนโดยไม่สนความปลอดภัยของตนเองหรอก  แต่เพราะสำคัญมากพอถึงได้ทำแบบนี้ ท่านแทฮยองเป็นคนสำคัญของท่านจีมินไม่ใช่หรอ ถ้าท่านแทฮยองเจ็บมากกว่านี้ ท่านจีมินคงรู้สึกไม่ดีแน่ ข้าก็แค่ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

“…”

“ฟังดูน่าผิดหวังใช่หรือเปล่า ที่ข้าไม่ใช่คนดีแล้วก็ไม่ได้ช่วยอย่างบริสุทธิ์ใจ”

จีมินพิจารณาคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ความจริงใจที่ฉายชัดผ่านแววตาสีดำสนิท ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่เขาเอาแต่เมินคนคนนี้ เพราะเหตุผลอะไรกันที่ทำให้เขาไม่ชอบยุนกิ นอกจากอคติ นอกจากเพราะเขาไม่ชอบที่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นเด็กผู้หญิง ยุนกิคงไม่รู้ว่าคำพูดของตนเองสั่นคลอนความรู้สึกของเขามากขนาดไหน เขานึกถึงการกระทำที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าจะปฏิบัติกับอีกฝ่ายแย่แค่ไหนแต่ยุนกิก็ไม่เคยโกรธเคือง ที่ผ่านมาจีมินรับความช่วยเหลือมามากเหลือเกิน รับโดยที่ไม่เคยตอบแทนอะไรคืนสักครั้ง แม้แต่คำขอบคุณก็ไม่เคยยอมให้หลุดออกจากปาก

“ถ้าคนเราจะคบกับใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไร มันคงไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องดีกับคนทั้งโลก แค่ดีกับเราแล้วก็คนที่เรารักก็พอแล้วไม่ใช่หรอ” ไม่ใช่คำขอบคุณที่จีมินเอ่ยออกไปแต่มันมากกว่านั้น เพราะมันคือโอกาส โอกาสที่เปิดให้ทั้งยุนกิและตัวเขาเอง มันคงไม่เสียหายอะไรถ้าเขาจะยอมทิ้งอคติ แล้วให้คนดีๆอีกสักคนก้าวเข้ามาในชีวิต อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนที่เขาไม่ได้อยู่มากนัก นอกจากแทฮยองกับองค์หญิงยูจองที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก

“องค์หญิงเจ็บมากหรือเปล่าขอรับ” แทฮยองเดินไปหยุดอยู่หน้าองค์หญิง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคลอไปด้วยน้ำตาที่เหมือนจะไหลออกมารอมร่อ

“องค์หญิงจะเข้ามารับแทฮยองทำไม ร่างกายองค์หญิงมีค่ามากกว่าแทฮยองเยอะเลย ถ้าองค์หญิงเจ็บมากกว่านี้แทฮยองจะทำยังไง” แทฮยองใช้นิ้วมือลูบหน้าผากที่แดงและบวมเป่งของเพื่อนสาวผู้สูงศักดิ์ แขนของเขาคงกระแทกเข้าไปเต็มแรง ถึงได้บวมมากขนาดนี้ แทฮยองรู้สึกผิดจริงๆ ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะเจ็บมากขนาดไหน

“คิดมากไปแล้ว สุดท้ายเราก็ไม่เป็นอะไรสักหน่อย แล้วร่างกายเราก็ไม่ได้มีค่าไปมากกว่าแทฮยองด้วย เราเป็นคนเหมือนกัน จะมีใครมีค่ามากกว่าใครได้ยังไง” องค์หญิงยิ้มให้เพื่อนของเธอสบายใจ ก่อนจะดึงแขนเล็กให้ลงมานั่งข้างๆ และเลิกชายกางเกงขายาวของทหารขึ้นมาจนเห็นคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ที่ผิวเนื้อซึ่งถลอกเป็นแผลใหญ่

“เจ็บมากมั้ย เพราะเราตัวเล็กไปหน่อย ไม่งั้นคงช่วยให้แทฮยองเจ็บน้อยกว่านี้ได้” น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยออกมาเรียกน้ำตาที่คลออยู่ให้ไหลลงมาทันที ไม่มีใครรู้หรอกว่าแทฮยองกลัวมากแค่ไหน ร่างกายองค์หญิงมีค่ามากกว่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ แต่ทำไมองค์หญิงถึงได้ยอมเอาตนเองเข้ามาเสี่ยง ถ้าองค์หญิงเป็นอะไรไป โทษของแทฮยองคงมากเกินกว่าที่จะรับไหว

“ฮึก คราวหน้าไม่เอาแบบนี้แล้วนะองค์หญิง แทฮยองใจไม่ดีเลย” แทฮยองได้แต่ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก จนองค์หญิงต้องคอยลูบหลังให้

“แทฮยองกับจีมินเป็นเพื่อนคนสำคัญของเรานะ จะให้ยืนดูอยู่เฉยๆโดยไม่ช่วยไม่ได้หรอก ลองคิดดูสิว่าถ้าคนที่ตกลงมาเป็นเราหรือจีมินแทฮยองจะทำยังไง” แทฮยองได้แต่ก้มหน้านิ่ง เขาไม่รู้หรอกว่าตนเองจะกล้าหาญและเสียสละได้มากเท่าองค์หญิงกับจีมินหรือเปล่า ถ้าเป็นเขาที่ยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วงจะกล้าวิ่งไปรับเพื่อนที่ตกลงมาเหมือนที่ทั้งสองคนทำมั้ย และการที่เขาลังเลอยู่แบบนี้เพราะเขากำลังเห็นแก่ตัวหรือเปล่า

“แทฮยองน่ะไม่มีทางยืนดูอยู่เฉยๆหรอกนะ แทฮยองที่เรารู้จักมาตั้งแต่เด็กน่ะจิตใจดีแล้วก็เสียสละไม่แพ้ใคร ไม่งั้นเรากับจีมินจะรักแทฮยองหรอ” องค์หญิงใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาของเพื่อน แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหลลงมา ถึงได้เปลี่ยนมากุมมือกันเอาไว้แทน เพราะรู้จักกันมานานกว่าใคร เกือบทั้งชีวิตที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ถึงมั่นใจว่าลึกๆแล้วพวกเธอสามารถเสียสละให้กันได้มากกว่าที่คิดและจะแสดงออกมาให้เห็นในช่วงที่คับขันที่สุด

“เราขอมะม่วงลูกนึงนะ แทฮยองอุตส่าห์ปีนขึ้นไปเก็บมานี่ เจ็บตัวเพราะเราแท้ๆเลย” องค์หญิงยิ้มให้เพื่อนสนิท จนแทฮยองต้องรีบวิ่งไปหยิบพวงมะม่วงที่หลุดติดมือมาแล้วดึงลูกสีเหลืองอ่อนที่สวยที่สุดให้ไป

“องค์หญิงเอาไปเถอะขอรับ ถ้าไม่พอแทฮยองจะปีนขึ้นไปเก็บมาให้ใหม่” แทฮยองเช็ดน้ำตาจนแห้ง หลังจากที่ให้องค์หญิงไปในมือของเขาก็เหลือมะม่วงอยู่อีกสามลูก แทฮยองเดินไปหาจีมินกับยุนกิที่ยังนั่งทำแผลกันอยู่

“แทฮยองให้ เก็บมาได้แค่สี่ลูก เราแบ่งกันคนละลูกเนอะ” เขายื่นมะม่วงสีเหลืองอ่อนให้กับจีมินและยุนกิ มันอาจดูไม่คุ้มกันนักกับการที่ทุกคนต้องเจ็บตัวเพียงเพื่อมะม่วงสี่ลูกเล็กๆ แต่มันกลับมีคุณค่าเหลือเกินกับสิ่งที่ได้จากอุบัติเหตุในครั้งนี้

 

Aide-De-Camp [KookV]
#องครักษ์กุกวี

 

“แทฮยองมานั่งก่อนเร็ว เราจะทำแผลให้” คนตัวบางผละออกจากจีมินและยุนกิแล้วเดินไปหาองค์หญิงที่ส่งเสียงเรียกเขา มือนิ่มกระตุกแขนเสื้อให้เขานั่งลงบนโซฟาตัวยาว ก่อนที่เจ้าตัวจะลงไปคุกเข่ากับพื้นแล้วเลิกชายกางเกงเพื่อดูแผลอีกครั้ง

“องค์หญิงอย่าลงไปนั่งแบบนั้นสิ” แทฮยองบอกองค์หญิงที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าเขา องค์หญิงจะลงไปนั่งต่ำกว่าเขาได้ยังไง ถ้าใครมาเห็นคงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ทำแผลเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” แทฮยองมองข้อมือบางที่ไม่เคยต้องทำงานอะไรแต่กลับกำลังค้นกล่องพยาบาลเพื่อหายาใส่แผลให้เขา แอลกอฮอล์ขวดเล็กถูกหยิบขึ้นมา ของเหลวสีฟ้าใสที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ทำให้นึกถึงบรรยากาศในโรงพยาบาลที่เขาไม่ชอบ และในขณะที่แทฮยองกำลังสอดส่ายสายตาหาสำลีมาชุบของเหลวขวดนั้น องค์หญิงยูจองก็ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

“อ๊ากกก  แสบๆๆๆ องค์หญิง..แทฮยองแสบ” เสียงร้องคร่ำครวญเมื่อแอลกอฮอล์ถูกราดลงบนแผลถลอกจนแสบและปวดหนึบ

“ฆ่าเชื้อโรคไง” แทฮยองมองดวงตาหยิบหยีที่ใสซื่อและสะท้อนความห่วงใยออกมาด้วย

“องค์หญิงต้องเอาเช็ดรอบๆแผลสิ ไม่ใช่เทราดแผล ฮืออ แทฮยองแสบมากๆเลย”

“อ้าวหรอ แหะแหะ เราขอโทษ คือเราไม่รู้” และถึงแม้การทำแผลจะผ่านไปอย่างทุลักทุเลแต่แทฮยองก็ไม่กล้าแม้แต่จะตำหนิหรือขุ่นเคืองอีกฝ่าย ตลอดเวลาที่ใส่ยาลงในแผลจนถึงตอนที่ต้องใช้ผ้าพันแผลเอาไว้ สีหน้าองค์หญิงแสดงถึงความเป็นห่วงเสมอ นิ้วเล็กๆพยายามที่จะแตะอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวเขาเจ็บ และท่าทางเหล่านั้นเหมือนจะช่วยแบ่งเบาความปวดหนึบของแทฮยองหายไปเกือบครึ่ง

“เย็นนี้งดฝึกดีกว่าหรือเปล่า เจ็บขาขนาดนี้แล้ว” หลังการทำแผลเสร็จสิ้นไปหน้าองค์หญิงก็ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่วายอดห่วงสวัสดิภาพของเพื่อนสนิท

“แทฮยองไม่อยากให้ท่านจองกุกรอเก้อน่ะสิ ทำเขาเดือดร้อนไปหลายรอบแล้ว”

 

738299vt6qv1ppxh

เขาค่อยๆก้าวเดินไปทีละก้าวเมื่อรู้สึกถึงความตึงของแผลที่ขา ถึงจีมินจะคะยั้นคะยอว่าจะประคองไปส่งให้ได้แต่เขาก็ปฏิเสธเพื่อนตัวเล็กไปด้วยเหตุผลที่ว่าตำหนักขององค์หญิงก็ไม่ได้ไกลมากจากสนามฝึกซ้อมของพวกทหารสักเท่าไหร่ แล้วเขาก็ยังมีเวลามากพอที่จะค่อยๆเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆในตอนเย็นที่แดดไม่ได้แรงนัก

ทันทีที่มาถึงสนามฝึกซ้อมสีหน้าของคนที่ยืนรออยู่ก็เปลี่ยนไปเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติของคนที่เพิ่งมาถึง จังหวะการเดินที่แปลกจนจองกุกต้องก้มมองลงไปที่ขาและเห็นคราบเปื้อนบนกางเกงขายาวสีกรมท่า

“คือเราล้มเป็นแผลนิดหน่อย” บอกออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเมื่อเห็นคำถามที่ถูกส่งผ่านสายตาคมกริบ ไม่กล้าบอกตามตรงว่าเขาปีนต้นไม้แล้วตกลงมาเพราะมันเหมือนตอกย้ำว่ายังมีพฤติกรรมเหมือนเด็ก ทั้งทีพยายามพร่ำบอกอยู่เสมอว่าตนเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

“อื้อ เดี๋ยว จะไปไหน” เมื่ออยู่ดีๆก็ถูกมือหนาคว้าข้อมือแล้วพาเดินเลยอดเอ่ยถามไม่ได้ แต่ความเงียบกลับเป็นสิ่งเดียวที่ได้รับเมื่อจองกุกไม่ปริปากพูดอะไรสักอย่าง

“อยู่นิ่งๆ ขอดูแผลหน่อย” แทฮยองมองห้องพยาบาลของทหารที่เขามีโอกาสเข้ามาเป็นครั้งที่สอง ผ้าพันแผลที่องค์หญิงยูจองพันให้อย่างทุลักทุเลถูกแกะออกอีกครั้ง แทฮยองแทบเอ่ยปากปฏิเสธไม่ทันเมื่อจองกุกหันไปคว้าอุปกรณ์ทำแผลออกมาจากชั้นวางของ

“องค์..เอ่อ คือเราทำแผลมาแล้วไม่เป็นไรหรอก” แล้วเขาก็เกือบยั้งปากไว้ไม่ทัน ถ้าบอกให้คนอื่นรู้ว่าองค์หญิงทำแผลให้ อาจจะถูกมองว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็ได้

“แน่ใจได้ยังไงว่าทำความสะอาดแผลดีแล้ว อยู่เฉยๆเถอะถ้าไม่อยากเป็นบาดทะยักน่ะ” ถึงอยากจะเถียงออกไปว่าเขามั่นใจมากเพราะองค์หญิงใช้แอลกอฮอล์ราดแผลฆ่าเชื้อจนชุ่ม แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบปล่อยให้คนตัวโตทำแผลให้ใหม่อีกครั้ง

สัมผัสแผ่วเบาของสำลีที่ค่อยๆแตะลงในแต่ละครั้งช่างดูขัดกับภาพลักษณ์ทหารที่แข็งแกร่ง นิ้วมือที่ค่อยๆขยับราวกับกลัวจะทำให้แผลของเขาเจ็บมากขึ้นทำให้แทฮยองเผลอจ้องมองใบหน้าคมตาไม่กระพริบ ไม่ต่างจากคราวองค์หญิงที่ความรู้สึกปวดหนึบบนแผลเหมือนจะจางไป แทนที่ด้วยสัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงมาบนผิวเนื้อแต่กลับซึมซาบลงบนหัวใจของเขาด้วย

ดวงตากลมโตมองผ้าพันแผลที่ถูกพันเรียบร้อยกว่าที่องค์หญิงเคยทำให้ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบดวงตาที่จ้องมองมาที่เขาอยู่แล้ว น้ำเสียงทุ้มเข้มเหมือนเดิมถูกเอื้อนเอ่ย

“ต่อไปก็ระวังหน่อย อย่าซนให้มากนักเลย คนอื่นเขาจะห่วงกันไปหมด” แต่ครั้งนี้แทฮยองกลับรู้สึกว่ามันฟังดูอ่อนโยนมากขึ้น

 

“ไม่ขี่ม้าได้มั้ย เราไม่ไหวหรอก เราเจ็บขามากเลย” ดวงตาสดใสที่กระพริบปริบๆดูน่าสงสารจนจองกุกเกือบจะใจอ่อน แต่พอนึกได้ว่าแผลที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแผลถลอกเท่านั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร ถึงได้ทำใจแข็งเมินสายตาออดอ้อนที่ถูกส่งมา

จองกุกพาคนตัวบางเข้ามาในโรงฝึกม้าแบบปิดที่เดียวกับคราวก่อน เขาเลือกม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ไม่ใช่ตัวเล็กแบบเดิม ทำเอาคนที่ต้องขึ้นไปขี่ออกอาการดื้อดึงกว่าเก่า จนจองกุกต้องปีนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าแล้วส่งมือมาให้คนที่อยู่ข้างล่าง

“ขึ้นมาเร็วเข้า ครั้งนี้ไม่แกล้งหรอก” แทฮยองมองมือหนาที่ถูกยื่นมา คนหน้าหวานไม่มีท่าทางลังเลแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรเขาก็เข็ดกับการฝึกจนไม่อยากขี่อีกอยู่ดี

“ถ้าวันนี้ไม่ยอมผึก ก็อยู่กันในนี้ไม่ต้องกลับ” แทฮยองมองสีหน้าจริงจังของครูฝึกใจร้าย มือเล็กยื่นไปวางบนมือใหญ่อย่างไม่เต็มใจ แล้วจองกุกก็ดึงคนตัวบางขึ้นไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหน้าจนได้

“จำที่สอนคราวก่อนได้หรือเปล่า จับสายบังเหียนให้กระชับมือ” มือหนาของจองกุกกุมทับมือเล็กให้จับสายบังเหียนไว้

“ถ้าจะให้ม้าเดินก็ใช้น่องกระทุ้งเบาๆที่ท้องม้าแบบนี้” หลังจากจองกุกลงน้ำหนักไป เจ้าสัตว์สี่เท้าก็ค่อยๆออกเดินทีละก้าว และทันทีที่มีการเคลื่อนไหว ร่างกายของแทฮยองก็เกร็งขึ้นจนตัวแข็งไปหมด

“ผ่อนคลายหน่อยสิ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น” ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่ลำตัวที่แข็งทื่อก็ไม่มีวี่แววจะผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย จนจองกุกต้องละมือซ้ายที่กุมข้อมือเล็กให้จับสายบังเหียนไว้มาโอบรอบเอวบางแทน

“กอดไว้แบบนี้ไม่ต้องกลัวตกแล้วนะ” แล้วน้ำเสียงอบอุ่นที่ข้างหูและสัมผัสหลวมๆก็ยิ่งกระตุ้นให้แทฮยองเกร็งมากขึ้นไปอีก

“ถ้าอยากให้วิ่งก็ใช้น่องกระทุ้งท้องม้าไปเรื่อยๆ” แทฮยองรู้สึกถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น วงแขนที่เคยโอบรอบเอวเขาหลวมๆถูกกระชับให้แน่นขึ้นอีก ดึงรั้งจนแผ่นหลังของเขาสัมผัสกับแผ่นอกแข็งด้านหลัง แทฮยองรับรู้ถึงลมหายใจที่รินรดอยู่ที่หลังคอ แล้วหัวใจของเขาก็เริ่มเต้นเร็วขึ้น ยิ่งม้าวิ่งเร็วมากเท่าไหร่ความสั่นไหวในอกก็ยิ่งรัวขึ้นเท่านั้น หัวใจของเขาราวกับเต้นตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเจ้าม้าสี่ขา มันเร็วและแรงจนเจ็บไปหมด

“ม…มันใกล้ไปหรือเปล่า” แทฮยองเอ่ยเสียงสั่น แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะดังพอไหม เสียงลมที่พัดผ่านลำตัวไปเมื่อเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเช่นนี้จะกลบเสียงสั่นๆของเขาไปจนหมดหรือเปล่า

“หืม ไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย” แต่ประโยคตอบกลับที่แสนแผ่วเบากลับชัดเจนที่ข้างหู ชัดเจนแทฮยองรู้สึกถึงลมร้อนๆจากริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่ที่ใบหู และตามมาด้วยความรู้สึกแข็งๆของสันจมูกโด่งที่ลากไล้ลงมาตามลำคอของเขา

“อ๊ะ อื้ออ” เหมือนภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด อาจด้วยความเร็วของเจ้าม้าที่กำลังเคลื่อนที่ไปรอบโรงฝึกหรือเปล่าที่ทำให้แทฮยองต้องปิดตาสนิท ในขณะที่รับรู้ถึงความนุ่มหยุ่นบางอย่างที่ประทับซ้ำๆลงบนลำคอและผิวเนื้อที่โผล่พ้นคอเสื้อออกมา เหมือนเขาถูกตัดออกจากสิ่งรอบข้างเมื่อโสตประสาทรับรู้เพียงสายลมเย็นๆที่พัดผ่านไป เสียงกระหน่ำรัวในอก และสัมผัสอุ่นร้อนที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นที่ข้อมือ รอบเอว แผ่นหลัง ใบหูหรือแม้แต่ซอกคอ

กลิ่นหอมอ่อนที่ลอยเข้าจมูกทำจองกุกหลงใหลจนแข็งใจผละออกไม่ได้ ยิ่งอยู่ในที่ลับตาคนเหมือนจิตใจของเขาสั่งให้ตัวเองอยากทำมากขึ้นและร่างกายก็ไม่อาจฝืนความต้องการได้ เขาดมกลิ่นหอมอ่อนที่ต่างจากกลิ่นเครื่องประทินโฉมที่ผู้หญิงชอบใช้จนชุ่มปอด กดริมฝีปากและไล้ปลายลิ้นลงบนความหวานของผิวเนื้ออ่อน มันหวานจนเขาอยากจะลิ้มรสหวานให้มากขึ้น ถึงได้เริ่มเคลื่อนย้ายปลายนิ้วที่โอบรอบเอวบางไปวุ่นวายกับสาบเสื้อของในอ้อมแขนแทน

 

ใส่ความเห็น