องค์รักษ์กุกวี

EP. 6 : สงบศึก

กลิ่นหอมของสวนข้างตำหนักทำให้ร่างบางที่เดินมาอย่างอารมณ์ดีรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ดอกไม้หลากหลายสายพันธ์ชู่ช่ออวดความงดงามให้เหล่าผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้เห็น แทฮยองมองดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าและดอกนาร์ซิสซัสสีขาวเหลืองที่ปลูกอยู่เป็นพุ่มข้างๆกอกุหลาบสีแดงสด สีสันที่แตกต่างแต่กลับผสมผสานกลมกลืนเป็นบรรยากาศที่สดชื่นและสวยงามเข้ากับช่วงเวลาในตอนเช้าแบบนี้ที่สุด

แทฮยองเดินผ่านสวนดอกไม้เข้าไปในอาคารทรงยุโรปที่กว้างขวางและใหญ่โตสมกับเป็นที่ประทับขององค์หญิงยูจอง ผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิท  ร่างบางเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนที่ตอนนี้มีองค์หญิงและจีมินนั่งอยู่ เขาก้าวเข้าไปนั่งที่ประจำของตนเอง หยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นมาเตรียมจดบันทึกวิชาของอาจารย์ที่กำลังจะเข้าสอน โดยมีสายตาของเพื่อนสนิทสองคนมองมาอย่างสงสัย

“ทำไมวันนี้แทฮยองดูอารมณ์ดีจังเลย” องค์หญิงถามเพื่อนที่เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าสดใสและรอยยิ้มกว้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม

“ก็ไม่ได้มีเรื่องให้ต้องทุกข์ใจซะหน่อยหนิองค์หญิง แทฮยองก็ต้องอารมณ์ดีสิ” ถึงความจริงจะเป็นเพราะเมื่อวานเขาได้แกล้งคนก็เถอะ แล้วป่านนี้ไม่รู้คู่กรณีจะเป็นอย่างไรแล้วบ้าง ดีไม่ดีอาจหาเรื่องเล่นงานเขากลับคืนก็ได้ แต่ช่างเถอะอย่างไรเสียแทฮยองก็จะหาวิธีโต้ตอบกลับไปให้ได้อยู่ดีนั่นล่ะ

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูทำให้สามเพื่อนสนิทต้องหันไปมอง แล้วก็เป็นแทฮยองที่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นพี่ชายตัวเองยืนอยู่ที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ ไม่ใช่ครูประจำวิชาที่กำลังจะถึงเวลาเข้าสอน

“องค์หญิงขอประทานอภัยนะขอรับ กระหม่อมมีเรื่องต้องมาแจ้งแทฮยองน่ะขอรับ” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดทหารเต็มยศที่ส่งเสริมให้ร่างหนาและไหล่กว้างของซอกจินดูดีขึ้น จนเป็นที่ประจักษ์ไปทั้งวังหลวงถึงบุคลิกงดงามและดูดีของราชองค์รักษ์ทั้งสองคนขององค์ชายนัมจุน และกลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงบ่อยๆในกลุ่มนางกำนัลและข้าหลวงทั้งหลาย

“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญท่านซอกจินตามสบายเถอะ” ถึงแม้อีกคนจะต่ำศักดิ์กว่าแต่อย่างไรก็โตกว่าด้วยวัยวุฒิแล้วยังเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทและเป็นทหารคนสนิทของพี่ชายเธอด้วย จึงให้ความเคารพนับถือเป็นพิเศษ

“งั้นแทฮยองขอไปคุยกับพี่ซอกจินนะขอรับองค์หญิง” แทฮยองหันไปบอกเพื่อนสาวผู้สูงศักดิ์และวิ่งออกจากห้องเรียนไปหาพี่ชายที่ยืนรออยู่ด้านนอก

“พี่ซอกจินมีอะไรกับแทฮยองหรือเปล่า” ทั้งที่เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็นั่งร่วมโต๊ะอาหารกัน แต่พี่ชายของเขาก็ไม่ได้มีเรื่องราวที่ต้องการจะบอกกล่าวสักหน่อย

“จะมาบอกเรื่องจองกุกน่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาแทฮยองตัวเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดเท้า หรือว่าเขาจะมาฟ้องอะไรพี่ซอกจินหรือเปล่า กับแค่เรื่องเล็กๆน้อยขนาดนี้ยังเป็นคนขี้ฟ้องไปได้

“พี่เพิ่งเข้าไปรายงานตัวมาเมื่อเช้าแล้วเห็นจองกุกลางาน เลยมาบอกเราไว้ก่อนว่าวันนี้คงไม่ได้มีฝึกซ้อมเหมือนปกติ”

“หืม ทำไมถึงลางานล่ะ” แทฮยองถามกลับไปด้วยความสงสัย เมื่อวานก็ดูมีทีท่าปกติ ไม่ได้ดูเหมือนจะป่วยอะไรสักหน่อย หรือว่าจะมีเรื่องอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นหรือเปล่า

“สงสัยเมื่อวานจะไปกินอะไรผิดสำแดงมามั้ง พี่ก็ไม่รู้สิ มาบอกแค่นี้ล่ะ” จากนั้นแทฮยองก็กลับเข้าไปในห้องเรียนตามปกติ หัวสมองน้อยๆคิดถึงขนมแป้งนึ่งสีส้มเข้มที่ยัดใส่มือท่านจองกุกไปเมื่อเย็นวันก่อน กับขนมชิ้นเล็กแบบนั้นกินเข้าไปเพียงนิดก็คงรู้ฤทธิ์ของพริกป่นแล้วล่ะ แล้วกินแค่คำเดียวหรือชิ้นเดียวก็คงไม่ถึงกับทำให้ป่วยจนมาทำงานไม่ได้หรอก ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ในใจกลับอดห่วงไม่ได้ เขาไม่ได้คิดจะญาติดีกับคู่อริอันดับหนึ่งหรอก แค่ไม่อยากให้ตนเองกลายเป็นสาเหตุให้คนอื่นเดือดร้อนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ

“องค์หญิง คือแทฮยองมีธุระด่วนต้องไปจัดการน่ะ องค์หญิงกับจีมินเข้าเรียนไปก่อนนะ” คนตัวบางเก็บเอาสมุดบันทึกที่เพิ่งจะหยิบออกมาจากกระเป๋าย่ามได้ไม่นานและยังไม่ทันได้ใช้ประโยชน์กลับสู่ที่เดิมอีกครั้ง รอยยิ้มไม่สู้ดีถูกส่งออกไปให้เพื่อนทั้งสอง และยังไม่ทันที่องค์หญิงยูจองจะตอบอะไร แทฮยองก็วิ่งออกจากห้องเรียนไปซะก่อน

“จะไปทำอะไรของเขานะ” ยูจองหันไปหาเพื่อนชายตัวเล็ก ถามเอาความคิดเห็นของอีกฝ่าย

“จีมินก็ไม่รู้หรอก” ใบหน้ากลมส่ายไปมา มือเล็กลูบท้องที่กำลังส่งเสียงโครกครากประท้วง เพราะอาหารเช้าที่เพิ่งทานมาเหมือนจะย่อยเร็วไปจนหมด

 

 Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

สองขาพาเจ้าของร่างมาถึงหน้าบ้านพักประจำตำแหน่งของนายทหารคนเก่ง บ้านปูนหลังไม่เล็กไม่ใหญ่แต่รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น และไม่ไกลกันก็มีบ้านแบบเดียวกันหลายหลัง สำหรับนายทหารที่มียศศักดิ์สูงพอและไม่ได้มีบ้านเป็นของตัวเองก็มักจะมาอาศัยบ้านพักประจำตำแหน่งซึ่งเป็นอีกหนึ่งสวัสดิการที่มีไว้เพื่อตอบแทนความสามารถและความเสียสละของคนที่ทำงานเพื่อราชสำนักและบ้านเมืองอย่างเต็มความสามารถ

แทฮยองเข้าไปในบ้านที่เงียบเชียบราวไม่มีคนอยู่ คงเพราะแถวนี้เป็นเขตบ้านพักของพวกทหาร เลยไม่ได้มีการระวังเรื่องความปลอดภัยเพราะคงไม่มีโจรขโมยกล้าบุกมาปล้น แทฮยองเดินผ่านห้องโถงที่เอาไว้รับแขกซึ่งอยู่ติดกับประตูทางเข้า ด้านข้างมีทางเดินไปยังห้องครัวที่เอาไว้ปรุงอาหาร ส่วนอีกด้านก็เป็นห้องเล็กๆที่น่าจะเป็นห้องนอนเจ้าของบ้าน เขาเคาะประตูสองสามครั้งเพื่อเป็นสัญญานบอกคนในห้องรู้ แล้วเมื่อได้รับการตอบรับกลับมาเขาถึงเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง

คนที่แสนจะชอบวางมาดเหลือเกินนอนซมอยู่บนเตียงหลังเล็ก ผ้าม่านถูกเปิดออกให้แสงอาทิตย์เข้ามาจนห้องเล็กๆดูสว่างโร่ ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดเปลือกตาขึ้นมาเล็กน้อย เสมองมาทางผู้ที่เดินเข้ามาใหม่

“คือ..เห็นพี่จินบอกว่าไม่สบาย เราเลยมาเยี่ยม” แทฮยองพูดออกไปอย่างอึกอัก มือไม้ก็พันกันไปหมดเพราะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่โดนไล่ตะเพิดออกจากห้องเสียก่อน

“นั่งก่อนสิ เก้าอี้ที่โต๊ะหนังสือก็ได้” จองกุกชี้ไปที่เก้าอี้ไม้ซึ่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือริมหน้าต่าง

“เอ่อ..เป็นอะไรมากรึเปล่า” คนตัวบางลากเอาเก้าอี้มาตั้งไว้ที่ข้างเตียง นั่งพิจารณาสีหน้าซีดเซียวของคนป่วย ความรู้สึกสนุกและมีความสุขเมื่อเช้ากลับเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม รอยยิ้มสี่เหลี่ยมสดใสกลายเป็นรอยยิ้มแหย ส่วนดวงตาที่สุกสกาวก็พลันหม่นหมอง

“ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบใจที่เป็นห่วง” น้ำเสียงแหบพร่าถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน ทำเอาคนมองที่เป็นต้นเหตุรู้สึกผิดมากขึ้นอีกเป็นสิบเท่า จนแทฮยองได้แต่หลุบตามองพื้นไม่กล้าเงยหน้าไปสบตาคนป่วย

“คงไม่ใช่เพราะขนมของเราใช่มั้ย คงไม่ได้กินมันเข้าไปเยอะหรอกใช่รึเปล่า”

“ก็บอกว่าตั้งใจทำให้ไม่ใช่หรอ แล้วก็สัญญาไปแล้วว่าจะกิน ถึงจะเผ็ดไปหน่อยแต่สุดท้ายก็กินจนหมด”

ประโยคนั้นทำเอาคนที่ได้ฟังออกอาการเหวอ จริงอยู่ที่แทฮยองตั้งใจมากๆ ตั้งใจผสมพริกป่นลงไปเยอะๆ แล้วใช้ให้จีมินเอาไปปั้นต่อ เขาไม่รู้ว่าท่านจองกุกทำงานมากไปจนเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า ถึงได้กินขนมแป้งนึ่งผสมพริกป่นจนหมด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงนอนซมแบบนี้ แทฮยองว่าป่านนี้ท้องไส้ข้างในคงจะพังไปหมดแล้วล่ะ

“หรอ สงสัยเราจะทำผิดสูตรไปหน่อยมั้ง” เสียงหัวเราะเจื่อนๆออกจากริมฝีปากบางเฉียบ ถึงแทฮยองจะรู้สึกผิดแต่ใครกล้าสารภาพออกมาตรงๆ ในเมื่ออีกคนไม่ได้คาดคั้นเอาผิด เขาก็จะแถไปแบบสีข้างถลอก

“ว่าแต่ท่านจองกุกกินข้าวกินยาแล้วหรือยัง ถ้ายังเดี๋ยวเราจัดการให้”

“อ่า ข้าจัดการเองดีกว่า พูดตามตรงว่ายังไม่อยากป่วยหนักกว่าเดิม” ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่คนตัวบางก็ยังจะดื้อด้านห้ามปรามไม่ให้คนป่วยลุกขึ้นจากเตียง แทฮยองออกจากห้องนอนไปที่ครัวห้องเล็ก ภายในตู้เย็นมีของสด ผักผลไม้และกระปุกเล็กๆอีกกระปุก แทฮยองเปิดฝาออกและพบว่าภายในเป็นขนมแป้งนึ่งลายดอกกุหลาบแสนสวยที่ยังอยู่เต็มกระปุก ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของคุณข้าหลวง แต่ที่น่าแปลกใจคือมันยังมีอยู่เต็ม ไม่ได้พร่องไปแม้สักนิด

แทฮยองตัดสินใจเอามันออกมานึ่งใหม่ให้ร้อนขึ้น อย่างน้อยกินรองท้องก่อนกินยาก็ยังดี เพราะแทฮยองเองก็ไม่กล้าลงมือทำอาหารหรอก กลัวจะทำให้คนป่วยเจียนตายมากขึ้นไปอีก ขนมแป้งนึ่งร้อนๆส่งกลิ่นหอมฉุยและควันสีขาวลอยกรุ่น เขาจัดมันใส่จานเล็กๆ พร้อมยาและน้ำเปล่าสำหรับคนป่วย แล้วหยิบส้อมสำหรับทานของหวานไปด้วย

จองกุกมองขนมแป้งนึ่งในถาดอย่างชั่งใจ เขาเข็ดขยาดกับขนมสูตรชาววังของแทฮยองไปแล้วรอบนึง ถึงจะรู้ดีว่าครั้งนี้มันเป็นฝีมือของคุณข้าหลวงที่ปลอดภัยแน่แต่เขาก็ไม่อยากกินมันสักนิด

“กินเถอะ แทฮยองแค่นึ่งมันใหม่ ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมลงไปอีก” สีหน้าท่าทางที่บ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่างทำให้แทฮยองต้องรีบร้อนปฏิเสธเป็นพัลวันว่าเขาไม่ได้ทำอะไรแผลงๆกับขนมในจานแน่ จนลืมแม้กระทั่งแทนตัวเองด้วยชื่อแบบที่ใช้กับคนสนิทบ่อยๆ

จองกุกยอมจิ้มขนมแป้งนึ่งเข้าปาก รสหวานของถั่วแดงกระจายติดปลายลิ้น แล้วยังหอมกลิ่นใบสนติดอยู่นิดหน่อย

“อ่ะ กินด้วยกันสิ อุตส่าห์เป็นคนไปอุ่นมาให้” ขนมแป้งนึ่งถูกเป่าให้คลายความร้อนลงแล้วยื่นมาจ่อที่ริมฝีปาก แทฮยองลังเลนิดหน่อยแต่ก็ยอมกินเข้าไป เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจนสองแก้มอูมขึ้น

“อร่อยจริงๆด้วย”

“ปากเลอะหมดแล้ว” มือหนาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่อยู่ข้างเตียงมาเช็ดคราบมันที่ริมผีปากของแทฮยองออกให้ แล้วส่งให้เจ้าตัวเก็บไว้เช็ดปากตัวเองต่อ

“ไม่กินอีกหรอ”

“ไม่ดีกว่า ท่านจองกุกกินเถอะ” แทฮยองได้แต่วุ่นวายกับการใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางเช็ดปาก สัมผัสเบาๆของผ้าที่ปัดผ่านริมฝีปากตอนที่จองกุกเช็ดให้ยังคงทิ้งความรู้สึกอุ่นๆเอาไว้อยู่ ถึงแทฮยองจะเอาผ้าถูริมฝีปากตัวเองไปมาหลายรอบเพราะหวังว่าความรู้สึกนั้นมันจะหายไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันกลับเพิ่มมากขึ้น

“เอ่อ ท่านจองกุกอย่าลืมกินยาแล้วพักผ่อนนะ เรากลับแล้วดีกว่า ไม่อยากอยู่รบกวนนานๆ” เพราะความรู้สึกร้อนที่กำลังขยายไปเรื่อยๆ จากริมผีปากสู่พวงแก้มและกำลังจะกระจายไปทั่วทั้งหน้าทำให้แทฮยองอยากออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยแค่มาจัดยาให้คนป่วยเพื่อแทนคำขอโทษก็น่าจะเพียงพอแล้ว

“เดี๋ยวสิ”

“…” แทฮยองมองข้อมือที่ถูกอีกคนรั้งไว้ สัมผัสเบาๆหลวมๆที่กำรอบข้อมือค่อยๆอุ่นมากขึ้น จนกลายเป็นร้อนวูบวาบเหมือนมีเหล็กลนไฟมาวางนาบอยู่

“กลับดีๆนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” แล้วแทฮยองก็ต้องเบือนหน้าหนีน้ำเสียงอบอุ่นที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ไม่ชินกับท่านจองกุกแบบนี้เลยสักนิด มันต่างจากท่านจองกุกคนปกติมากจนเขารับมือไม่ทัน

 

ร่างบอบบางเดินออกจากห้องนอนไปแล้ว หลังจากผ่านไปได้สักพักจนจองกุกแน่ใจว่าแทฮยองคงออกจากบ้านของเขาแล้วจริงๆ ร่างสูงจึงลุกขึ้นมาจากเตียง เช็ดเอาคราบแป้งที่ทาหน้าให้ดูขาวซีดออก บทบาทคนป่วยถูกลอกคราบทิ้ง เหลือเพียงแต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก แน่นอนว่าคงไม่มีใครกินขนมผสมพริกป่นได้หรอก เขากัดแค่คำเดียวก็คายออกทิ้งถังขยะไปหมดแล้ว และเพราะเมื่อวานเอาแต่กินน้ำแก้เผ็ดจนจุกไม่ได้กินมื้อค่ำ พอมาตอนนี้แค่ขนมแป้งนึ่งเลยไม่พอให้อิ่มท้องสักเท่าไหร่ สุดท้ายเจ้าของบ้านเลยเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาอะไรทานเพิ่ม

 

“ทำไมต้องเล่นกันหนักขนาดนี้ มีปัญหาอะไรกันหรือไง”

“อ่า คงเพราะถูกบังคับให้มาฝึกอะไรที่ไม่ชอบ เลยต่อต้านล่ะมั้ง”

“งั้น….ลองวิธีนี้สิ”

งานนี้ต้องขอบคุณที่ปรึกษาดีๆอย่างซอกจินที่ทำให้เขาสามารถสงบศึกกับเด็กดื้ออย่างแทฮยองได้ ก็จะมีใครรู้จักแทฮยองได้ดีไปกว่าคนในครอบครัวล่ะ งานนี้เขาก็แค่ทำตามคำโบราณที่ว่าไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก็เท่านั้นเองล่ะ

 

731676o68y53p7aq

 

แทฮยองกลับถึงบ้านในตอนเย็นย่ำค่ำ หลังจากออกจากบ้านพักของท่านจองกุกก็กลับไปหาจีมินกับองค์หญิงยูจองเหมือนเดิม รอจนหมดเวลาทำหน้าที่ราชองค์รักษ์ถึงกลับบ้านได้ เขาเดินเข้าไปในบ้านพร้อมได้กลิ่นอาหารลอยออกมาจากห้องครัว ดูเหมือนแม่ของเขากำลังวุ่นวายกับการทำมื้อค่ำ แทฮยองเดินผ่านห้องอาหารที่มีใครบางคนนั่งอยู่ ผู้ชายในชุดทหารชั้นสูงสุดที่เป็นนายของทหารทุกคนรวมทั้งเป็นนายของคนที่อยู่ภายใต้ชายคาบ้านหลังนี้

“แทฮยอง เข้ามาคุยกันก่อนสิ” น้ำเสียงเข้มและก้องกังวานดังขึ้นในขณะที่แทฮยองกำลังจะเดินผ่านห้องอาหารไป คนตัวบางจำใจต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วเดินเข้าไปในห้องอาหารที่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ แทฮยองนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างห่างจากบุคคลที่อยู่หัวโต๊ะสักสองตัวได้ ทั้งที่นั่งห่างกันขนาดนี้แต่กลับรู้สึกถึงความอัดอัดจนเหมือนหายใจไม่ออก แทฮยองสบสายตาดุดันที่มองมา ท่าทางแข็งกร้าวตามแบบฉบับนายทหารทำให้ดูยอดเยี่ยมเสมอในสายตาคนอื่น

“การฝึกกับจองกุกเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็ดีครับ ได้ฝึกฟันดาบแล้วก็เพิ่งหัดขี่ม้า”

“อืม ตั้งใจหน่อย เจ้ายังบกพร่องอีกมาก หัดดูซอกจินเป็นตัวอย่าง รักดีทุกอย่างไม่ต้องให้ใครคอยบังคับ อย่าทำให้เกียรติของทหารต้องต้องต่ำลงเพราะเจ้า”

แทฮยองเดินกลับขึ้นห้องนอนตนเอง ประโยคสุดท้ายยังติดค้างอยู่ในความรู้สึก ความน้อยใจที่เคยซุกซ่อนอยู่ลึกๆเริ่มขยายจนครอบคลุมไปทั่วทั้งอก เพียงเพราะไม่ได้ดั่งใจเขาจึงเป็นได้เพียงลูกชัง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนถูกเปิดออกโดยคนที่เป็นดั่งลูกรักที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง

“แทฮยองเป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างสูงของซอกจินเดินเข้ามาหาน้องชายที่นั่งก้มหน้าอยู่ เพียงแวบเดียวที่ได้เห็นหน้าก็รับรู้ถึงความผิดปกติ เมื่อรอยยิ้มซุกซนสดใสที่มีอยู่ตลอดเวลาหายไปเหลือเพียงนัยน์ตาเศร้าที่สัมผัสได้

แทฮยองส่ายหน้าไปมาแล้วซุกตัวเขากับอกอุ่นๆของพี่ จนซอกจินต้องเชยคางอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมาสบตากัน

“อย่าเอาแต่ปฏิเสธสิ ท่าทางของเรามันไม่ปกติ แล้วรู้หรือเปล่าว่าดวงตาของคนเรามันไม่เคยโกหก” ซอกจินจ้องมองความกระจ่างใสสีน้ำตาลอ่อนที่สั่นเครือ เขาลูบไหล่น้องชายเบาๆ ถึงในสายตาเขาน้องจะยังเด็ก แต่ความจริงซอกจินรู้ดีว่าแทฮยองโตแล้ว โตจนเขาไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายทุกเรื่องในชีวิตน้องได้

“รู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่เคยละสายตาไปจากแทฮยอง พี่พร้อมจะช่วยเราเสมอ หรือถ้าไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือพี่ก็ยังคอยเป็นกำลังใจให้อยู่ดี” ไม่ใช่แค่เพียงอยู่ข้างๆค่อยประคับประคองไม่ให้น้องล้ม แต่ซอกจินพร้อมจะอยู่ข้างหลังเพื่อสนับสนุนแทฮยองทุกอย่าง

“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่จำเอาไว้สำหรับพี่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือความสุขของแทฮยอง และสิ่งที่พี่ต้องการปกป้องมากที่สุดก็คือรอยยิ้มของเรา” ซอกจินรู้สึกถึงความชื้นอุ่นๆบริเวณหน้าอก ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินแต่เขารู้ดีว่าน้องชายของเขากำลังร้องไห้ เขากอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หวังว่าความห่วงใยของเขาจะทำให้แทฮยองลืมเรื่องราวที่เสียใจไปได้

“ร้องไห้ให้พอใจแล้วลงไปกินข้าวด้วยกันนะ แม่ทำของโปรดของแทฮยองไว้ตลอดแหล่ะ” และถึงแทฮยองจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาให้เห็น แต่ซอกจินก็รับรู้ได้ว่าน้องชายของเขากำลังยิ้มอยู่ การกระทำของคนเป็นแม่ที่กลบความน้อยใจเสียมิด เพราะในมื้ออาหารทุกมื้อจะต้องมีจานโปรดของแทฮยองอยู่ด้วย กลับกันเมื่อเขาเป็นได้แค่ลูกชังของพ่อแต่ก็เป็นดั่งลูกรักของแม่

 

Aide-De-Camp [KookV]
#องครักษ์กุกวี

 

แทฮยองตื่นนอนมาแต่เช้าเพราะเข้านอนแต่หัวค่ำ เวลาไม่สบายใจสิ่งที่เขามักจะทำคือการนอนหลับ เพราะเวลานอนมักจะทำให้ลืมทุกสิ่ง แล้วก็ช่วยเติมเต็มพลังงานที่หายไปให้กลับฟื้นคืนมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทางด้านร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

“หน้าตาสดชื่นขึ้นแล้วนี่ แบบนี่สิถึงจะสมเป็นแทฮยองเด็กดื้อน้องพี่” เสียงจากคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องโถงชั้นล่างทักขึ้น เมื่อเขาเดินลงจากบันไดลงมา แทฮยองเดินไปนั่งลงข้างพี่ชายของเขา กอดแขนคนข้างๆแล้วเอาหัวพิงไหล่กว้างเสียเฉยๆ

“ทำไมไม่ไปอาบน้ำแต่งตัวล่ะ”

“แทฮยองเหนื่อยไม่อยากออกไปไหนเลย เบื่อต้องไปนั่งเรียน แล้วตอนเย็นก็ต้องไปฝึกซ้อมอีก”

“เพราะขี้เกียจมากกว่ามั้ง น้องของพี่พลังงานล้นเหลือเกินกว่าจะเหนื่อยได้ง่ายๆนะ” มือหนาเอื้อมไปจับมือน้องชายมากุมเล่น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือเล็กขยายใหญ่ได้ขนาดนี้ รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานเองที่น้องชายชอบอ้อนขอขี่หลังเขาบ่อยๆ

“ไม่นะ มันเหนื่อยจริงๆ เพราะเพื่อนพี่ฝึกโหด”

“อ่า แต่ก็ไม่แน่นะ วันนี้จองกุกอาจจะยังลุกไม่ไหวก็ได้ เมื่อวานออกจะดูอาการย่ำแย่” เมื่ออยู่ๆน้องชายก็เปิดประเด็นมาให้ ซอกจินเลยเติมเชื้อไฟเข้าไปสักหน่อย หลังจากได้ฟังจองกุกเล่าวีรกรรมความแสบของน้องคนเป็นพี่เลยอดอยู่เฉยไม่ได้ ไม่ใช่ไม่เข้าข้างน้องชายแต่เขากำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แทฮยองมากกว่า ในเมื่อการฝึกซ้อมเป็นเรื่องดีกับแทฮยองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องไม่สนับสนุน และเขารู้ดีว่าน้องตัวเองไม่ใช่เด็กนิสัยร้ายกาจ เพียงแต่บางครั้งออกจะรั้นไปสักหน่อย

“น่าเห็นใจนะ ไม่รู้ว่าไปกินอะไรเข้าถึงป่วยหนักจนต้องหยุดงานกันเลย ทั้งที่หมอนั่นถ้าไม่ใกล้ตายก็ไม่เคยยอมลางานสักครั้ง” แน่นอนว่าซอกจินไม่ได้พูดโกหก เพียงแต่ใส่เรื่องราวเกินจริงเข้าไปนิดหน่อย

 

731676o68y53p7aq

 

ในห้องครัว ผู้หญิงที่แทฮยองเห็นมาตั้งแต่เกิดกำลังมุ่งมั่นกับการทำอาหารเช้า แทฮยองเดินเข้าไปกอดเอวของคนเป็นแม่ ออดอ้อนแบบที่เขาชอบทำบ่อยๆ

“ตื่นแล้วหรอเราไปอาบน้ำแต่งตัวสิ แม่กำลังจะทำซุปใก่ใส่มันฝรั่งแบบที่แทฮยองชอบอยู่เลย”

“งั้นแทฮยองช่วยนะ”

“จ้า กินซุปตอนเช้าๆเนี่ยคล่องคอดีนะ แทฮยองว่าไหม” แทฮยองพยักหน้างึกงักทั้งที่ยังกอดเอวแม่ไม่ปล่อย เขาชอบกินซุปไก่ใฝีมือแม่ที่สุด ความหวานของน้ำซุปเข้ากันได้ดีกับความนุ่มของเนื้อไก่และความมันของเนื้อมันฝรั่ง แทฮยองมองมือเล็กของแม่ที่ทำลังปอกเปลือกเจ้าผักสีส้มแล้วก็พลันนึกถึงขนมแป้งนึ่งรูปแครอทครั้งก่อน

“แม่ทำเยอะๆนะ แทฮยองว่าจะเอาไปฝากคนอื่นด้วย” เพราะคำพูดของพี่ชายทำให้เขารู้สึกผิดอีกรอบ ถ้าจะชดเชยด้วยซุปไก่อร่อยๆแทฮยองคิดว่ามันน่าจะแทนกันได้

“เดี๋ยวแทฮยองปอกมันฝรั่งให้นะ” แล้วเด็กหนุ่มผู้ไม่เชี่ยวชาญด้านการครัวก็อาสาขึ้น

 

 “แทฮยองทำไมหั่นใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวคนกินก็ติดคอหรอก”

“แทฮยองทำไมใส่มะเขือเทศก่อนล่ะ ต้องใส่ทีหลังสิ เดี๋ยวมันเละหมด”

สารพัดคำบอกกล่าวของคนเป็นแม่ เมื่อลูกชายทำให้การทำครัวกลายเป็นเรื่องยากกว่าปกติ แต่ถึงจะทุทักทุเลไปหน่อยแต่สุดท้ายซุปไก่ใส่มันฝรั่งของแทฮยองก็ออกมาเรียบร้อย ส่งกลิ่นหอมฉุยทั่วครัวไปหมด

 

“พี่ซอกจิน แทฮยองฝากไปให้ท่านจองกุกหน่อยสิ” แทฮยองยื่นปิ่นโตเถาน้อยให้พี่ชาย

“ก็แม่ทำซุปไก่ไว้เยอะเลยกลัวจะกินไม่หมด เลยจะให้พี่เอาไปฝากท่านจองกุกเผื่อจะใจดีไม่ฝึกแทฮยองโหดๆไง” คำอ้างที่คิดขึ้นมาสดๆร้อนๆถูกเอ่ยออกไปจากริมฝีปากบาง แทฮยองก็แค่รู้สึกผิดกับอาหารตำรับชาววังคราวก่อน เลยตั้งใจจะใช้ซุปไก่สูตรของแม่ชดเชยก็เท่านั้น
“ฝีมือแม่จริงๆใช่ไหม กินแล้วจะไม่ท้องเสียกว่าเดิมนะ” น้ำเสียงกังวลของพี่ชายทำเอาความมั่นใจของแทฮยองลดฮวบ ถึงเขาจะได้ลงมือทำแต่ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของแม่ ไม่ได้ใส่อะไรแปลกๆลงไปแม้แต่น้อย

“จริงๆ อันนี้ก็หม้อเดียวกับบนโต๊ะอาหารนั่นแหล่ะ ฝากด้วยน้า แทฮยองไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน” หลังยัดปิ่นโตเถาเล็กใส่มือพี่ชายแล้ว แทฮยองก็รีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ขืนชักช้าเดี๋ยวไปไม่ทันคาบเรียนของท่านโฮซอกก็แย่น่ะสิ

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

ซอกจินวางปิ่นโตเอาไว้แล้วเดินไปทานข้าวเช้าที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมฉุยของซุปไก่ลอยมาเตะจมูกจนเขาเจริญอาหารมากกว่าปกติ ไม่ใช่แค่แทฮยองที่ชอบซุปไก่ของแม่ ซอกจินก็ชอบมันมากเหมือนกัน

ร่างสูงลุกจากโต๊ะอาหารเมื่อใกล้เวลาต้องไปทำงาน ปิ่นโตเถาเล็กวางอยู่ให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่ซอกจินกลับเลือกจะเดินผ่านมันไปใส่รองเท้าหนังสีดำแล้วออกจากบ้านไปทำงานเสียเฉยๆ จนแทฮยองที่ลงมาเห็นปิ่นโตถูกทิ้งไว้แต่ได้บ่นเบาๆออกมา

“ทำไมพี่ซอกจินถึงลืมปิ่นโตของแทฮยองล่ะ”

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

คนตัวบางชะเง้อชะแง้อยู่หน้าห้องทำงานห้องเล็ก จนกระทั่งประตูถูกเปิดแล้วได้เผชิญหน้ากับคนที่เดินออกมาจากห้อง

“อ้าวแทฮยองมาทำอะไรที่นี่ อ่อ ปิ่นโตสินะ โทษทีพอดีเมื่อเช้าพี่ลืม ไหนๆก็มาแล้วเข้าไปสิ จองกุกอยู่ข้างในพอดีเลย” ซอกจินบอกน้องชายที่ยืนถือปิ่นโตอยู่หน้าห้องทำงานของพวกเขา มือหนารุนหลังน้องเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยม

คนที่ถูกดันเข้ามามีท่าทีเหรอหราอย่างเห็นได้ชัด ภายในห้องทำงานมีโต๊ะทำงานอยู่เพียงสองตัวเท่านั้น ตัวหนึ่งที่มีคนตัวหนานั่งอยู่ และอีกตัวหนึ่งเป็นของพี่ชายของเขา

คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเงยหน้ามามองคนที่เข้ามาใหม่ ปิ่นโตเถาเล็กสะดุดตามากพอๆกับอาการเขินของคนที่ถือมัน

“เอ่ออ คือ ซุปไก่ของแม่เรา แม่ให้เอามาฝาก” คำอ้างที่ไม่ตรงกับเมื่อตอนที่บอกพี่ชายถูกเอ่ยขึ้น และเป็นอีกครั้งที่จองกุกลังเลเหลือเกินที่จะรับมันมาถือไว้

“อันนี้แม่ทำ เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่หิ้วมาเฉยๆ” แทฮยองวางปิ่นโตลงบนโต๊ะทำงาน แล้วก็หุนหันออกจากห้องไปโดยไม่ได้รอให้จองกุกเอื้อนเอ่ยอะไรตอบ

เจ้าของโต๊ะมือไปหยิบปิ่นโตเถาเล็กที่ถูกวางไว้ และเมื่อเปิดออกดูก็เห็นซุปไก่หน้าตาน่าอร่อยที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น แต่แล้วอะไรบางอย่างกลับปรากฏอยู่บนเนื้อมันฝรั่งสีเหลืองอ่อน

“ซุปไก่สูตรแม่ฉันเอง กินได้ ปลอดภัย แต่ระวังหน่อยนะ คนทำเขาปอกเปลือกมันฝรั่งออกไม่หมด” ซอกจินตะโกนบอกเพื่อนสนิทที่จ้องมองซุปไก่ในมือตาไม่กระพริบ

ใส่ความเห็น