องค์รักษ์กุกวี

EP. 5 : ตำรับชาววัง

แทฮยองผิวปากอย่างอารมณ์ดีเพราะคาบเรียนของท่านโฮซอกผ่านไปอย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สรุปรายงานบทเรียนครั้งก่อนที่เขาทำไปมั่วๆ ท่านโฮซอกก็แค่ยิ้มแต่ไม่ได้ดุอะไรสักคำทั้งที่เขาแน่ใจว่าที่สรุปไปคงไม่ตรงกับที่ท่านโฮซอกสอน และเมื่อแทฮยองตั้งใจเรียนพอหมดคาบเรียนท่านโฮซอกก็ไม่ได้ให้การบ้านอะไรอีก มีเพียงจีมินที่น่าสงสารที่โดนสั่งงานเพิ่มเพราะเข้าเรียนสายเท่านั้น

คนตัวเล็กกระโดดโลดเต้นอย่างสบายใจเมื่อตรงไปยังลานฝึก จองกุกยืนรออยู่แล้วเมื่อเขาไปถึงที่นั่น และมันทำให้แทฮยองแปลกใจนิดหน่อยที่ในมือของคนตัวสูงไม่มีดาบไม้เหมือนอย่างวันก่อน

“มือเจ็บคงฝึกดาบไม่ถนัด เดี๋ยวแผลจะแย่กว่าเก่า” แทฮยองก้มมองมือตัวเองที่ยังพันผ้าพันแผลเอาไว้ เขาเริ่มทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยคิดว่าคู่อริจะใส่ใจเรื่องนี้ด้วย

“ตามมาสิ” จองกุกเอ่ยขึ้นแล้วเดินนำไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรอีกจนแทฮยองได้แต่เดินตามไปแบบงงๆ จนมาถึงเรือนไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกกั้นแบ่งเป็นช่องยาวเรียงกันเป็นสองแถว แทฮยองมองเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เขาคุ้นเคยดีที่อยู่ในคอกไม้ตรงหน้า

“วันนี้หัดขี่ม้าแล้วกัน” จบคำพูดของจองกุกแทฮยองก็หันไปมองหน้าคนตัวสูงอย่างคาดไม่ถึง ถึงตอนนี้จะมีรถยนต์ใช้อยู่บ้างแล้วแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมนักเพราะราคาสูงจนคนทั่วไปไม่อาจซื้อได้ แล้วไหนจะลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ไม่ได้เป็นที่ราบสำหรับให้ตัดถนนผ่านได้ง่ายๆ การขี่ม้าเลยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเดินทางของชาวเมืองเคปแลนด์อย่างพวกเขา

“แต่เรากลัวหนิ” แทฮยองมองม้าตัวใหญ่ที่เรียงรายอยู่ในคอกไม้ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยขี่ม้าเลยสักครั้ง เคยแต่นั่งรถม้าเอา แล้วก็เคยแต่แทงม้าเท่านั้นแหล่ะ ซึ่งก็ได้เงินดีมาก แต่นี่จะให้ขึ้นไปขื่ แล้วจะมีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ถูกม้าสะบัดตกลงมาหลังหัก

จองกุกไม่สนใจคนที่คร่ำครวญราวกับจะเป็นจะตาย เขาจูงม้าสีน้ำตาลตัวเล็กที่เชื่องที่สุด ส่วนอีกมือก็ลากคนที่แสนพยศไปโรงฝึกม้าที่เป็นโรงปิดขนาดใหญ่ เผื่อถ้ามีอะไรเกิดขึ้นหรือแทฮยองทำม้าเตลิดจะได้ช่วยได้ง่ายๆหน่อย

“ม..ไม่เอานะ ถ้ามันทำเราตกจะทำยังไง” สีหน้างอแงของเด็กน้อยทำเอาจองกุกระอาใจ

“ถ้าไม่อยากตกลงมาก็ตั้งใจฟังสิ่งที่สอนสิ จะกลัวอะไรนัก คนอื่นเขายังขี่กันได้ทั้งเมือง” เขาปล่อยให้คนเด็กกว่าดีดดิ้นร้องคร่ำครวญไปเรื่อยในขณะตรวจดูสภาพความพร้อมของม้าและเครื่องมือต่างๆให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้ ขืนทำลูกชายท่านเสนาบดีกลาโหมตกม้าลงมาพิการอนาคตทางทหารของเขาคงจะย่ำแย่ แล้วหลังจากทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ เขาก็ลากคนดื้อดึงมายืนอยู่ทางด้านซ้ายของตัวม้าจนได้

“ปีนขึ้นไปเร็ว เอามือจับบังเหียนให้แน่นๆ เท้าซ้ายเหยียบโกลนแล้วยันตัวขึ้นไปบนหลังม้าเลย” จองกุกชี้ไปที่เหล็กทรงโค้งที่ติดอยู่กับอานม้าซึ่งเอาไว้ใช้สอดเท้าเข้าไปสำหรับเหยียบ

“ไม่เอา ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวแน่ๆ” เพราะแทฮยองเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมทำตาม จองกุกเลยต้องคว้ามือบางไปจับสายบังเหียน บังคับขู่เข็นให้เหยียบโกลนเหล็กก่อนจะดันสะโพกอวบขึ้นไปบนหลังม้าจนได้

“ไม่เอานะ ตกแน่ๆ เราไม่ไหวหรอก” แทฮยองร่ำร้อง เขาไม่กล้าขยับแม้แต่นิดกลัวว่าจะพลาดตกลงไปแล้วโดนม้าเหยียบ

“นั่งให้ชิดหัวอานม้าหน่อย ดันเอวไปข้างหน้าอีกนิด” มือหนายื่นไปจับเอวบางให้แอ่นไปข้างหน้า จัดท่าทางให้นั่งตรงตัว แล้วเอื้อมมือไปกุมมือเล็กที่จับสายบังเหียน

“ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ปล่อยให้ตกลงมาหรอก เชื่อสิ” สัมผัสอุ่นๆของฝ่ามือหนาที่บีบกระชับลงบนมือของเขาสองสามครั้งทำให้แทฮยองอุ่นใจมากขึ้น จนลืมไปด้วยซ้ำว่าจองกุกเป็นคู่อริอันดับหนึ่ง

“งอเข่าหน่อยให้เท้าสองข้างขนานติดกับลำตัวม้า เหยียบโกลนเอาไว้ให้ถนัดๆ จำไว้ให้ดีจับสายบังเหียนให้แน่นๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่าปล่อย” ใจดวงน้อยเต้นตึกตัก อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนคอแห้งไปหมดจนต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แทฮยองหันไปสบตาคนที่ยืนจูงม้าอยู่ด้านข้าง เกือบจะอุ่นใจแล้วที่เห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาให้ ถ้าจองกุกไม่ตบลงที่ตัวม้าซะก่อน

“ม่ายยยย” เสียงกรีดร้องไม่เป็นภาษาดังออกมาทันทีที่ม้าออกวิ่ง ร่างเล็กกำสายบังเหียนแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นั่งตัวแข็งหลับตาปี๋รับรู้เพียงสายลมที่พัดกระทบผิวหน้าเมื่อม้าวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“ไอ้คนใจร้ายยย คนเลว คนชั่ววววว” ส่งเสียงด่าทอครูฝึกไม่หยุด มือเล็กกำสายบังเหียนแน่นเมื่อมันเป็นบทเรียนบทเดียวที่ได้รับถ่ายทอดมาก่อนฝึก สองเท้ากระชับแนบสนิทกับตัวม้ามากขึ้น มือเล็กสั่นเทาในขณะที่ลำตัวก็ค่อยๆลู่ลงมาใกล้คอม้ามากขึ้นเพราะกลัวจนไม่สามารถนั่งตัวตรงได้

“เอ้า อย่าเสียงดังสิเดี๋ยวม้าตกใจ จับสายบังเหียนให้แน่นๆน้า” จองกุกหัวเราะไม่หยุดเมื่อมองม้าที่วิ่งรอบโรงฝึก เขามองหูทั้ง 2 ข้างที่แกว่งไปมาสลับกันแสดงให้เห็นว่าม้าอารมณ์ดีมากๆ เป็นไปได้ว่าจะชอบใจคนขี่

“หยุดนะ หยุดสิ หยุดดดด” แทฮยองพยายามแหกปากบอกเจ้าสี่ขาที่เขานั่งอยู่ แต่นอกจากจะไม่หยุดแล้วมันยังวิ่งเร็วขึ้นอีกต่างหาก

“ฮือออ พ่อจ๋า แม่จ๋า พี่ซอกจินช่วยแทฮยองด้วย” อยู่ๆน้ำตาก็เหมือนจะคลอขึ้นมาดื้อๆจนปล่อยมันออกมาเป็นสาย ในใจก็นึกโกรธเคืองไปหมดทั้งคนตัวสูงที่กลั่นแกล้งเขา ทั้งครอบครัวที่ส่งเขามาเป็นเหยื่อ ใจดวงน้อยเหมือนจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทุกวินาทีที่ม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ตัวเขาได้แต่โอนเอนไปเรื่อยจนเหมือนจะตก แทบทรงตัวบนอานม้าต่อไปไม่ไหว

“อ้าวร้องไห้ซะแล้ว ถ้าอยากหยุดก็ดึงบังเหียนพร้อมกันทั้งสองข้าง ดึงพอดีๆไม่ต้องแรงมาก” ถึงอยากจะแกล้งให้นานกว่านี้ แต่ก็อดสงสารเด็กขี้แยไม่ได้ สุดท้ายเลยตะโกนสอนวิธีหยุดออกไป ยังดีที่แทฮยองพอจะมีสติเหลืออยู่บ้างเลยพอจัดการให้ม้าหยุดได้

จองกุกเดินไปหาคนที่ยังอยู่บนม้าไม่ยอมก้าวลงมา พอเดินเข้าไปใกล้ถึงเห็นดวงตากลมโตที่สั่นระริกและแพขนตายาวที่ชุ่มไปด้วยหยดน้ำใสจนไหลลงมาเต็มสองแก้ม ส่วนริมฝีปากอิ่มที่เคยแดงสดก็ขบเม้มเน้นจนเป็นสีซีด

“ไม่ลงมาล่ะ” เขาถามเด็กขี้แยที่เอาแต่ร้องไห้ แทฮยองส่ายหน้าไปมาแต่ไม่ยอมพูด ลำตัวแข็งทื่อไม่ยอมขยับ สุดท้ายจองกุกก็จนใจไม่รู้จะทำอย่างไรต้องอ้าแขนออกแล้วอุ้มอีกคนลงมาเหมือนเด็ก…ก็ที่แทฮยองไม่ยอมลงมาเพราะกลัวจนขยับไม่ไหวแล้วต่างหาก

“ฮืออ” จองกุกได้แต่กอดคนในอ้อมแขน ลูบหลังลูบไหล่ไม่หยุด ตั้งแต่ที่อุ้มลงมาจากหลังม้าแทฮยองก็เอาแต่ร้องไห้ มือหนากดใบหน้าสวยลงบนอกของเขา ลูบผมนิ่มสีน้ำตาลอ่อน

“หยุดร้องได้แล้วน่า” จองกุกมองคนหน้าหวานที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งสายตาเขียวปั๊ดให้

“ขอโทษ อย่างอนสิ” ก้านนิ้วยาวปาดน้ำตาเม็ดโตออกจากแก้มอิ่ม มืออีกข้างยังลูบไล้ไปมาบนตัวอีกฝ่าย สัมผัสเนื้อนิ่มที่ลื่นมือไปทุกส่วน โดยเฉพาะ… แล้วฝ่ามือหนาก็ค่อยๆเคลื่อนที่ไปด้านหลัง ลูบไล้ต่ำลงไปเรื่อยๆ ทาบสัมผัสอุ่นลงที่ก้อนเนื้ออวบอิ่ม

“ที่ทายาให้คราวก่อนหายหรือยังนะ ต้องทาซ้ำอีกรึเปล่า” เสียงกระซิบแหบพร่าที่ข้างหูทำให้แทฮยองหน้าร้อนไปหมด คิดว่าเขาจะตามไม่ทันหรือไง ตอนถูกดันขึ้นม้าจองกุกก็สัมผัสมันไปครั้งนึงแล้วหนิ

 

 

“แทฮยองเป็นอะไร ทำไมหน้าแดง” องค์หญิงมองหน้าเพื่อนสนิทที่ขึ้นสีชมพูระเรื่อไม่ต่างจากแป้งในมือที่พวกเขาปั้นอยู่

“ป..เปล่าสักหน่อย ไม่มีอะไร องค์หญิงทำถึงไหนแล้ว” แทฮยองสะบัดหัวไล่ความคิดของเมื่อวานให้ออกไปจนหมด เขาหันไปมองจานที่อยู่ตรงหน้าเพื่อนสาวและเพื่อนชายตัวเล็กที่มีขนมแป้งข้าวเหนียวก้อนกลมเรียงรายอยู่หลายชิ้น

“พวกเราปั้นไปได้หลายชิ้นแล้ว แทฮยองนั่นแหล่ะเอาแต่เหม่อ ไม่เห็นได้สักชิ้นเลย”

 

เพราะคาบเรียนวันนี้เป็นเรื่องการครัวที่มีครูคนเดิมคือคุณข้าหลวงจูฮยอน พวกเขาสามคนเลยต้องมานั่งเรียนที่ห้องเครื่อง แล้วชามกระเบื้องที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าก็คือแป้งข้าวเหนียวสีต่างๆและไส้เค็มไส้หวาน อย่างพวกถั่วแดง ถั่วดำ ไส้งา ทูน่า และไส้ผลไม้หลายชนิด ซึ่งเอาไว้ทำขนมแป้งนึ่งที่ใช้เฉลิมฉลองในเทศกาลสำคัญๆ เพราะเป็นขนมที่ใช้แสดงฝีมือปลายจวักของหญิงสาว ทุกๆบ้านเลยมักจะทำกันเองไม่ค่อยไปซื้อหาจากที่อื่น

แทฮยองจ้องมองคุณข้าหลวงที่นั่งปั้นแป้งข้าวเหนียวห่อไส้ถั่วแดงเป็นรูปร่างสวยงาม มีทั้งรูปผลไม้อย่างฟักทอง ลูกพีช หรือดอกไม้อย่างดอกบัว ดอกกุหลาบ ดูประณีตสมเป็นสาวชาววังโดยแท้ ดวงตากลมโตพิจารณาหญิงสาวตรงหน้า คุณข้าหลวงเจ้าระเบียบที่ถึงจะแต่งตัวเชยไปสักหน่อยแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่สวยมาก งานบ้านงานเรือนก็ไม่มีที่ติ เป็นกุลสตรีที่สมบูรณ์แบบ แล้วมันก็ทำให้เขานึกถึงผู้ชายคนนั้นอีกจนได้ มันไม่แปลกถ้าจองกุกจะชอบผู้หญิงที่ดีแบบคุณข้าหลวง เพียงแต่แทฮยองแค่ไม่เข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายชอบมาทำรุ่มร่ามใส่เขาบ่อยๆ

แทฮยองก้มมองแป้งที่อยู่ในมือตัวเองแล้วก็ได้แต่ทำหน้าแหย มันต่างจากของคุณข้าหลวงโดยสิ้นเชิง แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชายหนิ แค่มานั่งเรียนเป็นเพื่อนองค์หญิง ทำไม่สวยนี่เป็นเรื่องปกติมากๆ เด็กผู้ชายก็แบบนี้แหล่ะ ไม่ใช่แค่เขาหรอกกับจีมินก็คง..

“นี่ๆ ดูสิ จีมินทำเป็นรูปฟักทองเหมือนคุณข้าหลวงได้ด้วยนะ” แทฮยองหันไปมองเพื่อนตัวเล็กที่ส่งเสียงตื่นเต้น ฟักทองในมือจีมินถึงจะเบี้ยวๆนิดหน่อยแต่ก็ถือว่ายังดูดีอยู่ อ่า ดูเหมือนจีมินคงจะเป็นข้อยกเว้นแล้วล่ะ ดวงตากลมโตหันไปมองเพื่อนสาวอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ องค์หญิงเป็นผู้หญิงคงจะถนัดเรื่องทำขนมล่ะมั้ง

“ทำไมมันปั้นยากปั้นเย็นจังนะ” แป้งก้อนเล็กขยุกขยุยที่อยู่ในมือเพื่อนผู้สูงศักดิ์ทำแทฮยองิดหัวเราะออกมาไม่ได้ นอกจากการปั้นเป็นก้อนกลมๆที่องค์หญิงทำได้ดีแล้ว ถ้าปั้นเป็นรูปอื่นนี่สงสัยจะไม่รอด ขนาดองค์หญิงเป็นผู้หญิงยังทำครัวไม่เก่งเลย ผู้ชายอย่างเขาคงไม่เป็นไรมั้ง

“ทำกันไปก่อนนะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะเอาขนมที่ปั้นเสร็จแล้วไปนึ่งก่อน” คุณข้าหลวงวางมือจากการปั้นขนมแป้งข้าวเหนียวแล้วหยิบเอาขนมที่ปั้นแล้วใส่ถังนึ่งที่รองด้วยใบสนเพื่อให้มีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น

“จีมินจะปั้นรูปอะไรต่อดีน้า มีแป้งสีเหลือง สีเขียว สีชมพู สีขาว” แทฮยองมองแป้งที่วางเรียงอยู่ตรงหน้า มองแป้งปั้นรูปผลไม้ที่จีมินปั้นเสร็จ แล้วความคิดดีๆก็เกิดขึ้น

“ปั้นแครอทให้หน่อยสิจีมิน เดี๋ยวแทฮยองผสมแป้งสีส้มให้เอง” ใบหน้าสวยยิ้มหวานให้เพื่อนตัวเล็ก กระตือร้อร้นไปหยิบกะละมังมาใส่แป้งสีขาวแล้ววิ่งหาผงสีส้มที่อยู่ในห้องเครื่อง ใช้มือที่สวมถุงมือนวดให้เข้ากันจนได้สีส้มเข้ม

“นั่นมัน..”

“จะเอาไปฝากคนอื่นน่ะ” แทฮยองยิ้มเต็มแก้มให้เพื่อนสนิท มองดูจีมินที่ปั้นแป้งอย่างพึงพอใจ

“ปั้นสวยๆนะ ไส้ถั่วแดงน่าจะอร่อย ไม่ต้องใส่ไส้มากนะจีมินอ่า เดี๋ยวนึ่งแล้วแตก”

 

คุณข้าหลวงมองขนมแป้งนึ่งที่อยู่ในจานที่นึ่งเสร็จ ถึงเวลาที่ต้องประเมินผลการเรียนครั้งนี้ ขนมของจีมินหน้าตาดูดีที่สุด เป็นรูปผักผลไม้ที่ถึงจะบิดเบี้ยวแต่ก็ดูออก และไส้ที่เลือกใส่ก็มีแค่ไส้ถั่วแดงอย่างเดียวเพราะเจ้าตัวชอบกิน เธอจึงสามารถชิมมันได้อย่างสบายใจ

ส่วนจานขององค์หญิง นอกจากแป้งก้อนกลมๆที่ใส่ไส้มากไปจนมันแตกแล้วก็มีอีกสองสามอันที่เป็นรูปร่างประหลาดๆ เป็นแง่งๆ ข้างบนใหญ่ข้างล่างเล็ก

“ปั้นเป็นขิงใช่มั้ยเพคะ เหมือนเชียว เก็บรายละเอียดได้ดี”

“บ้า นี่คุณข้าหลวงไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องเฮอร์คิวลิสหรือไง วีรบุรุษจอมพลังอ่ะ นี่เห็นมั้ย ใหญ่ๆนี่น่ะกล้ามแขนเป็นมัดๆ ส่วนเล็กๆสองข้างนี่ก็ขาไง ตรงกลางมีขีดเป็นกล้ามหน้าท้องด้วย ทำไมแค่นี้ดูไม่ออก” องค์หญิงส่งเสียงเล็กใส่คุณข้าหลวงที่ยิ้มแหย ไม่กล้าบอกแม้แต่เพียงครึ่งคำว่าแป้งนึ่งดูไม่คล้ายคนเลยสักนิด แต่ที่ยิ่งกว่าหน้าตาคือรสชาตินี่แหล่ะ

“คุณข้าหลวงชิมเร็วๆสิ อยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า”

“องค์หญิงใส่ไส้อะไรลงไปบ้างหรือเพคะ”

“ไม่แน่ใจหรอก ผสมไปเรื่อยๆอ่ะ ไส้คัสตาร์ดใส่ทูน่าโรยเกลืออีกนิดหน่อย”

คุณข้าหลวงจูฮยอนวางขนมแป้งนึ่งที่อยู่ในมือลงบนจานเหมือนเดิม ก่อนจะผ่านไปดูขนมของแทฮยอง รายนี้ไม่ต่างจากองค์หญิงมากนัก มีแป้งรูปร่างประหลาดๆที่ดูไม่ออก

“อันนี้เป็นเฮอร์คิวลิสเหมือนกันหรือคะ”

“มันเป็นมนุษย์ต่างดาวต่างหาก คุณข้าหลวงเห็นไหมมีตั้งหลายแบบ เพราะมันเปลี่ยนรูปร่างได้ด้วย” แทฮยองโชว์มนุษย์ต่างดาวของเขา ที่มีแขนขายาวเป็นคลื่น

“ดูมีจินตนาการดีนะคะท่านราชองค์รักษ์ แล้วนี่ไส้อะไรหรือคะ”

“แทฮยองใส่ไส้ถั่วดำครับ”

“อ่อ” อย่างน้อยก็ฟังดูปลอดภัย คุณข้าหลวงหยิบขนมแป้งนึ่งลูกที่เล็กที่สุดขึ้นมาเตรียมชิมเข้าปาก

“อ๊ะ เหมือนจะใส่ผงกระหรี่ลงไปด้วยนะ” แล้วคุณข้าหลวงก็วางขนมแป้งนึ่งลูกนั้นลงบนจานเหมือนเดิม

“อ้าว คุณข้าหลวงทำไมไม่ชิมล่ะคะ เรารอฟังอยู่” องค์หญิงยูจองได้แต่มองหน้าคุณข้าหลวงอย่างสงสัย ก็กว่าจะปั้นขนมเสร็จเสียเวลาไปตั้งนานโข แล้วทำไมคุณข้าหลวงไม่ชิมแล้วประเมินมันสักทีล่ะ

จูฮยอนได้แต่คิดหาวิธีอย่างเร่งรีบ ดูจะเสี่ยงเกินไปถ้าจะทานไส้ประหลาดๆที่สองคนผสมขึ้นมา

“ความจริงนอกจากเรียนทำอาหารแล้วเราก็ต้องรู้จักการชิมอาหารด้วยนะเพคะองค์หญิง ถ้าเราชิมอาหารเป็นเราก็จะทำอาหารที่อร่อยๆออกมาได้ ทำไมท่านราชองค์รักษ์กับองค์หญิงไม่ผลัดกันชิมของอีกฝ่ายล่ะเพคะ จะได้ฝึกการชิมไปด้วย” คุณข้าหลวงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ส่วนสองเพื่อนสนิทก็มองหน้ากันสลับกับมองจานขนมของอีกคน

“ของแทฮยองเป็นไส้ถั่วดำใส่ผงกระหรี่ใช่มั้ย” องค์หญิงเอ่ยถามเพื่อนหน้าหวาน

“ขอรับ ขององค์หญิงไส้อะไร แทฮยองจำไม่ได้”

“ไส้ทูน่าคัสตาร์ด”

“อ่า น่าเสียดายจังแต่แทฮยองยังอิ่มอยู่เลย เมื่อเช้าทานข้าวเยอะไปหน่อย” สองเพื่อนสนิทหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

“นั่นสิเนอะ เราก็เพิ่งทานของว่างไปเอง อิ่มมากๆเลย ไว้ทีหลังเนอะแทฮยองอ่า”

 

 

ผู้ชายสองคนในชุดราชองค์รักษ์เดินจูงม้าตัวโตสามตัวมาที่หน้าตำหนักขององค์ชายนัมจุน ซอกจินมองเพื่อนสนิทที่เป็นคูหู่ของเขาที่ฮัมเพลงทั้งวันไม่หยุด

“มีเรื่องอะไรดีหรือไงจองกุก อารมณ์ดีทั้งวันเลย”

“เปล่าหรอก” จองกุกปฏิเสธกลับไป ขืนให้ซอกจินรู้ว่าเขาอารมณ์ดีเพราะไปลวนลามแทฮยองมีหวังโดนเพื่อนฆ่าตายแน่  ไหนจะพ่อของสองพี่น้องที่เป็นผู้บังคับบัญชาเขาอีก

“เอ่อ ว่าแต่เรื่องฝึกของแทฮยองเป็นไงบ้าง” แล้วคำถามของซอกจินก็ทำให้จองกุกสะดุ้ง แต่อีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอกมั้ง ไม่งั้นคงไม่ใจเย็นขนาดนี้

“ก็เรื่อยๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

“ก็ดี ยังไงก็ฝากดูแลแทฮยองด้วยล่ะ เขายังเด็ก”

“อืม ไม่ต้องห่วงหรอก จะดูแลให้อย่างดีเลย” จองกุกสวมอานม้า ผ้ารองอาน โกลน และสายบังเหียนให้กับม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ซึ่งเตรียมไว้ให้องค์ชายนัมจุนสำหรับออกไปนอกวังวันนี้ ส่วนเรื่องที่สัญญากับซอกจินไปเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากส่งๆ ตั้งแต่ที่ท่านเสนาบดีไหว้วานมาเขาก็ตั้งใจจะดูแลเด็กคนนั้นให้ดีที่สุด เด็กดื้อร้ายเดียงสาที่มีบางอย่างโตเกินอายุ

“วันนี้ต้องออกไปสำรวจนอกวังสินะ งั้นขอไปบอกแทฮยองก่อนละกัน เขาจะได้ไม่ต้องรอ” จองกุกบอกซอกจินแล้วเดินสาวเท้าไปยังตำหนักขององค์หญิงยูจอง เพราะวันนี้ต้องไปนอกวังกับองค์ชายนัมจุนกับซอกจิน และเขาคิดว่าคงกลับมาไม่ทันฝึกซ้อมให้กับแทฮยองแน่ เลยตั้งใจจะไปบอกอีกฝ่ายให้กลับบ้านไปก่อนไม่ต้องไปรอเขาที่ลานฝึก

สองขาก้าวเข้าสู่อาคารหลังสวยที่ด้านข้างเป็นสวนดอกไม้นานาชนิดที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เขาก้าวเท้าไปตามทางเดินยาวๆ ถามไถ่หาราชองค์รักษ์ตัวบางกับนางกำนัลในตำหนัก จนได้ความว่าทั้งหมดอยู่ในห้องเครื่องที่มีหน้าที่ดูแลเครื่องเสวยของตำหนัก

“ขออภัยนะขอรับองค์หญิง” จองกุกเอ่ยออกไปเมื่อพบคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำขนม ทุกสายตาหันมองมาทางชายหนุ่ม รวมถึงคุณข้าหลวงที่กำลังจับจีบขนมอยู่

“กระผมมีธุระกับราชองค์รักษ์แทฮยองขอรับ ขอยืมตัวท่านราชองค์รักษ์สักครู่นะขอรับ” จองกุกขออนุญาตองค์หญิงซึ่งเป็นเจ้านายของคนที่เขามาหา ส่วนองค์หญิงก็แค่พยักหน้ารับแต่ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร

“เอ่อ เดี๋ยวค่ะท่านจองกุก” คุณข้าหลวงเอ่ยรั้งคนที่กำลังจะเดินออกไปรอนอกห้องเครื่อง หญิงสาวเช็ดมือที่เปื้อนแป้งขนมกับผ้าผืนเล็กแล้วเดินไปหยิบห่อผ้าลายตารางสีฟ้ามายื่นให้ชายหนุ่ม

“วันนี้มีทำขนมแป้งนึ่งค่ะ เป็นไส้ถั่วแดงกับไส้งาดำ ท่านจองกุกลองเอาไปชิมดูนะคะ” สามสายตาแต่ได้มองฉากโรแมนติกตรงหน้าแบบคนนอก มองภาพความเขินอายของคุณข้าหลวงที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักเพราะมักจะเอาแต่ทำหน้านิ่งเฉย ส่วนจองกุกก็รับห่อผ้าไปอย่างเกรงใจ

“ขอบคุณครับคุณข้าหลวง”

แทฮยองมองขนมแป้งนึ่งที่ให้จีมินปั้นเป็นรูปแครอทแล้วเอาใส่กระปุกเล็กๆ ห่อด้วยผ้าลายตารางสีฟ้าเหมือนของคุณข้าหลวง เขาหยิบมันออกมาโดยที่ไม่ให้คุณข้าหลวงทันสังเกต แล้วเดินออกจากห้องเครื่องไปพบคนที่รออยู่

“ท่านจองกุกมีอะไรกับเราหรือเปล่า” แทฮยองถามออกไปถ้าไม่มีธุระจองกุกคงไม่มาหาเขาถึงที่นี่ เพราะอย่างไรตอนเย็นก็ต้องเจอกันที่ลานฝึกอยู่แล้ว

“แค่มาบอกว่าวันนี้ต้องออกไปนอกวังกับองค์ชาย เย็นนี้คงไม่ได้กลับมาฝึกให้น่ะ จะได้ไม่ต้องไปรอ”

“อืม ขอบคุณนะที่มาบอก” แทฮยองตอบกลับไป ดวงตากลมโตมองห่อผ้าสีฟ้าที่อยู่ในมือร่างสูง สลับกับห่อผ้าสีฟ้าที่เขาถืออยู่

“ให้ มันไม่สวยเหมือนของคุณข้าหลวงหรอก แต่ตั้งใจทำอ่ะ ไส้ถั่วแดงด้วย” ห่อผ้าถูกยื่นส่งไปและจองกุกก็รับมันไว้งงๆ

“สัญญาได้มั้ยว่าจะกิน…สักคำก็ยังดี” น้ำเสียงอ่อนหวานและดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วช้อนมองคนตัวสูง สองมือก็จับแขนอีกฝ่ายแน่น จองกุกสบมองดวงตาที่สะท้อนภาพของเขาราวกระจก มองข้อมือบางที่จับกำแขนเสื้อเขาราวจะออดอ้อน

”อ..อืม ขอบใจนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้” เขาหันหลังเดินกลับพร้อมห่อผ้าลายตารางสีฟ้าสองห่อในมือ เสียงตึกตักดังอยู่ข้างในอกตั้งแต่ตอนที่คนตัวเล็กช้อนสายตาหวานเชื่อมมาสบกัน เหมือนกับว่าจริตที่แทฮยองแสดงออกมาทำให้เขาไม่สามารถมองอีกคนเป็นเพียงเด็กอายุสิบหกได้อีก

 

731676o68y53p7aq

 

ในยามดึกที่เงียบสงัดและแสนเหนื่อยล้า จองกุกแบกตัวเองเข้ามาในบ้านพักหลังจากกลับมาจากนอกวังพร้อมกับองค์ชายและซอกจิน เพราะวันนี้มีเรื่องวุ่นวายหลายเรื่องกว่าจะเสร็จงานกลับมาถึงบ้านก็เหนื่อยเต็มที แต่เชื่อเถอะว่าคนที่เหนื่อยที่สุดคงไม่พ้นองค์ชายนัมจุนที่ต้องเร่งแก้ปัญหาหลายอย่างตามที่ชาวบ้านร้องขอ

จองกุกมองห่อผ้าในมือที่เขาหิ้วมาด้วย เขาแกะมันออกทั้งสองห่อ มองเปรียบเทียบหน้าตาขนมแป้งนึ่งที่ได้รับ

ลวดลายดอกกุหลาบสวยงามหลากสีสัน ดูประณีตจนเขาไม่กล้าจะหยิบขึ้นมากินด้วยซ้ำ ในขณะที่อีกอันเพียงเป็นแครอทสีส้มเข้ม บูดๆเบี้ยวๆ

‘สัญญาได้มั้ยว่าจะกิน สักคำก็ยังดี’ น้ำเสียงออดอ้อนและใบหน้าหวานซึ้งวนกลับเข้ามาในความคิด แล้วความรู้สึกแปลกๆก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อนึกถึงดวงตากลมใสแจ๋วเหมือนกระจกที่สะท้อนทุกสิ่ง

แครอทลูกเล็กถูกหยิบขึ้นมาเป็นชิ้นแรกไม่ใช่ดอกกุหลาบลายสดสวย จองกุกส่งมันเข้าปาก เพื่อลิ้มรสชาติหวานของถั่วแดงกวนเนื้อละเอียด ขนมแป้งนึ่งตำรับชาววังของแทฮยอง

“ค.แค่ก..แค่ก”

.

.

.

‘มันจะดีหรอแทฮยอง’ จีมินถามเพื่อนรัก

‘เชื่อเราสิจีมิน แป้งสีเขียวได้จากผงชา แป้งสีชมพูได้จากผลเบอรี่ แป้งสีเหลืองได้จากฟักทอง ส่วนแป้งสีส้มนี่ก็จากพริกป่นอย่างดี เนื้อละเอียด เผ็ดจี๊ด แซ่บจัด สะใจ กินแล้วหัวโล่งสุดๆ’

‘อ่อ ต้องใส่เยอะๆ จะได้สีส้มเข้มสวยๆ’ จีมินได้แต่มองปริมาณพริกป่นของเพื่อนรัก ถ้ากินเข้าไปมีหวังแสบจนลิ้นพังแน่

‘รสเผ็ดน่ะดีนะจีมินอ่า เพราะกินน้ำตามเท่าไหร่ก็ไม่หาย’ ก็ช่วยไม่ได้นินา ถือว่าเอาคืนนิดๆหน่อยๆกับเรื่องขี่ม้าเมื่อวานละกัน

ใส่ความเห็น