“อ้าว แทฮยองกลับมาแล้ว” แทฮยองหันไปมองคนเป็นแม่ที่เอ่ยทัก ตอนนี้ทุกคนนั่งทานข้าวเย็นด้วยกันอย่างพร้อมหน้า ทั้งพ่อแม่และพี่ชายของเขา
“ทำไมตาแดงล่ะ แทฮยองร้องไห้รึเปล่า” ซอกจินถามน้องชายเมื่อดวงตากลมโตที่เคยสดใสบัดนี้ดูแดงก่ำ
“อ..เอ่อ” ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เขาอายจนไม่กล้าเล่า แล้วถ้าทุกคนรู้เรื่องทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แทฮยองก้มมองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่ด้านหน้า เขาตัดสินใจยื่นมือออกไปเพื่อให้ทุกคนเห็น
“เพราะวันนี้ฝึกฟันดาบน่ะครับ เลยเจ็บมือมากเลย” ท่าทางโล่งใจของซอกจินทำให้แทฮยองสบายใจขึ้น ในขณะที่สีหน้าของคนเป็นแม่มองมาด้วยความสงสาร
“เป็นทหารก็ต้องอดทน จะมานั่งร้องไห้กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้อย่างไร” น้ำเสียงดุดันของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหมเอ่ยขึ้น แทฮยองมองผู้เป็นบิดาที่มักแสดงออกกับเขาไม่ต่างจากนายทหารในสังกัด
“ครับ จะจำไว้ ขอตัวไปพักก่อนนะครับ” แทฮยองหันไปสบตากับแม่ของเขา แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางที่ไปสู่ห้องส่วนตัวของตนเองได้ ร่างบางทิ้งตัวนอนลงบนเตียงหลังเล็ก ภาพเมื่อตอนเย็นย้อนกลับเข้ามาในหัวแล้วความร้อนในร่างกายก็มารวมกันอยู่ที่สองข้างแก้ม เขาทั้งอายทั้งโกรธไปหมดจนแยกความรู้สึกไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าวันพรุ่งนี้จะมองหน้าคู่อริตัวฉกาจของตนเองอย่างไร
“แทฮยอง แทฮยอง”
“หืม องค์หญิงเรียกแทฮยองหรอ” หันไปถามเพื่อนสาวผู้สูงศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“องค์หญิงเรียกแทฮยองตั้งหลายรอบแล้ว เอาแต่เหม่อ ไม่สบายหรือเปล่า” จีมินถามลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ตั้งแต่เดินเข้ามาในตำหนักขององค์หญิงก็เอานิ่งเงียบเหม่อลอย แล้วอยู่ดีๆก็สะบัดหัวไปมาอะไรไม่รู้ จนเขากับองค์หญิงได้แต่มองหน้ากันนิ่งๆเพราะรู้ว่าแทฮยองเป็นอะไรกันแน่
“เปล่า แทฮยองไม่เป็นไร แล้ววันนี้ต้องเรียนอะไรหรอองค์หญิง” ทั้งที่ก็เลยเวลาเข้าเรียนมาแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครจะเดินเข้ามาสอน
“เย็บปักถักร้อย ส่วนอาจารย์หรอ นู่นน่ะ” เด็กสาวพยักพเยิดออกไปทางนอกหน้าต่างซึ่งมองเห็นสวนดอกไม้ข้างตำหนัก แล้วเมื่อแทฮยองหันไปมองก็พบคนที่เอาแต่วนเวียนอยู่ในความคิดกำลังยืนสนทนาอยู่กับคุณข้าหลวง
“สองคนนั้นเขาสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่” องค์หญิงถามเพื่อนสองคน จีมินส่ายหน้าเพราะไม่รู้ ส่วนแทฮยองไม่ได้พูดออกไปหรอกว่าสองคนนั้นน่ะมากกว่าคำว่าสนิมสนมกันเสียอีก
“อยากไปเที่ยวข้างนอกจัง” แทฮยองละความสนใจจากคนที่อยู่นอกหน้าต่างมามองเพื่อนสาวตัวเล็กที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“จีมินก็อยากไปเหมือนกันองค์หญิง แต่แทฮยองไม่ว่างน่ะสิ ตอนเย็นต้องไปฝึกทหารกับท่านจองกุกหนิ”
“อันที่จริง โดดซ้อมซักวันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เพราะแทฮยองก็มีที่ๆอยากไปอยู่แหล่ะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าสวย ยังไงเขาก็ไม่อยากเจอผู้ชายคนนั้นอยู่แล้ว โดดซ้อมสักวันให้รอเก้อไปเลยก็สนุกออก
“จะดีหรอ แต่เราก็อยากให้แทฮยองได้พักนะ ซ้อมทุกวันเดี๋ยวเหนื่อยแย่” ดวงตากลมหันไปมองเพื่อนสาวที่ยกยิ้มจนแก้มยุ้ย เรื่องแบบนี้องค์หญิงชอบนักแหล่ะ หาเรื่องชวนหนีเที่ยวได้ตลอดเลย
“ขอประทานอภัยนะเพคะองค์หญิง ที่หม่อมฉันมาช้า” สามสายตาหันไปมองคนที่เดินเข้ามาในห้อง คุณข้าหลวงเจ้าระเบียบที่วันนี้ดูสดใสและยิ้มกว้างเสียจนปากจะฉีกถึงใบหู
“เรารอคุณข้าหลวงนานมาก รีบๆเถอะ วันนี้จะให้ทำอะไร”
“ปักผ้าเพคะ ปักลายที่องค์หญิงชอบได้เลย” ผ้าเช็ดหน้าสีขาวซึ่งว่างเปล่าไม่มีลวดลายใดๆถูกยื่นมาให้ องค์หญิงยูจองรับมันมาถือไว้ ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“แล้วของจีมินกับแทฮยองล่ะ” ก็คุณข้าหลวงส่งผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในสะดึงไม้มาให้แค่อันเดียว แต่ไม่มีของจีมินกับแทฮยองเลย
“ก็เรื่องเย็บปักถักร้อยมันเป็นงานของผู้หญิงนี่เพคะ” องค์หญิงยูจองถอนหายใจออกมาแรงๆ ทำไมต้องแบ่งแยกเพศด้วยล่ะ ไม่เห็นยุติธรรมเลย ใครเป็นคนกำหนดกันว่าเรื่องแบบนี้มีแต่ผู้หญิงที่เหมาะสม
“เอาเถอะ คุณข้าหลวงคงมีงานต้องทำอีกมากไม่ต้องอยู่ดูเราหรอก แล้วเลิกเรียนค่อยมาเก็บผ้าเช็ดหน้านี่ก็ได้” องค์หญิงยูจองเอ่ยเสียงใส และเมื่อคุณข้าหลวงยอมเดินออกไปจากห้องเธอก็หันมาส่งยิ้มให้เพื่อนทั้งคู่
“ถ้าช่วยกันทำ เราก็จะมีเวลาเที่ยวเล่นมากขึ้นใช่ไหม” แทฮยองกับจีมินได้แต่ยิ้มเจื่อน หยิบเข็มที่มีด้ายสีสดร้อยอยู่ ช่วยกันปักลวดลายลงบนผ้าลื่นตามจินตนาการที่มีอยู่
“โอ๊ย แทฮยองเข็มจิ้มมือเราอ่ะ ระวังหน่อยสิ” จีมินร้องออกมา ก็เข้าใจว่าสะดึงไม้มันเล็กแล้วต้องรุมกันตั้งสามคน แต่นี่มันรอบที่สามแล้วที่เข็มในมือแทฮยองมาจิ้มโดนเนื้อเขา จนมือของจีมินจะเป็นรูพรุนอยู่แล้ว
“ขอโทษนะจีมิน เดี๋ยวจะระวังให้มากขึ้น”
สามสายตามองลวดลายบนผ้าอย่างพึงพอใจ มันอาจจะดูขัดๆกันไปนิดในแต่ละส่วน แต่รวมๆแล้วทุกคนก็คิดว่ามันดูไม่แย่เท่าไหร่
“แทฮยองกับจีมินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ เอามาเผื่อเราด้วย เดี๋ยวเรารออยู่ที่นี่” องค์หญิงบอกเพื่อนทั้งสอง เพราะการจะแอบหนีไปเที่ยวนอกวังคงไม่สามารถแต่งกายแบบปกติได้
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็สามารถออกนอกวังได้สำเร็จ องค์หญิงยูจองอยู่ในชุดผู้ชายของจีมิน และมีผ้าโพกศีรษะเพื่อเก็บผมที่ยาวขึ้นไป จนดูเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนไม่ต่างจากเพื่อนทั้งสอง
“วันนี้แทฮยองนำเที่ยวเองนะ” แล้วทุกคนก็มาหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง มันใหญ่โตและมีผู้คนเข้าออกมากมาย แทฮยองซื้อตั๋วที่ด้านหน้าสามใบสำหรับเขาและเพื่อนๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นซึ่งภายในเต็มไปด้วยผู้คนและมีช่องสำหรับซื้อตั๋วแบ่งตามราคาอีกจำนวนมาก สำหรับคนที่รักการเสี่ยงดวงที่มารวมตัวกันที่นี่
“แล้วต้องทำยังไงต่อล่ะ เล่นเบอร์ไหนดี” องค์หญิงหันไปถามเพื่อนชายที่เป็นคนนำมา แต่แทฮยองก็เอาแต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเลือกหมายเลขไหน จนจีมินต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้
“เอ่อ คุณลุงครับ” จีมินหันไปทักทายผู้ชายวัยหกสิบกว่าที่กำลังจะเดินผ่านพวกเขาไป
“อืม มีอะไรหรอเจ้าหนู”
“คุณลุงมาที่นี่บ่อยมั้ยครับ แล้วเลือกแทงเบอร์ไหน พวกเราเพิ่งมาครั้งแรกเลยเลือกไม่ถูก”
“ก็มาทุกอาทิตย์นั่นแหล่ะ หลายสิบปีแล้ว แทงเบอร์ 2 สิ ฝีมือดี ลุงตามแทงตัวนี้ตลอดไม่ค่อยพลาดหรอก” จีมินขอบคุณชายคนนั้น ก่อนจะเดินไปช่องขายตั๋วเพื่อลงเดิมพันตามที่คุณลุงบอก
สามคนนั่งลงบนอัฒจรรย์ซึ่งตรงกลางเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ โดยที่ในมือถือกล้องส่องทางไกลคนละอันที่แทฮยองพกมาจากบ้าน
‘ม้า…ออกแล้ว ขณะนี้อังเดรเป็นตัวนำ ฟันนี่เลดี้เป็นตัวที่สอง และขายฝันเป็นตัวที่สาม ว่องไวที่สี่ ดำทะมึนที่ห้า…
เสียงบรรยายทำเอาสามสหายนั่งไม่ติดเก้าอี้ พวกเขาจ้องไปยังม้านับสิบตัวที่วิ่งแข่งกันอยู่ในสนาม ผลัดกันนำผลัดกันตาม จีมินกำตั๋วม้าแข่งที่อยู่ในมือแน่น ในขณะที่ผู้คนรอบด้านก็ส่งเสียงตะโกนไม่หยุด
‘อังเดร อังเดร อังเดร อังเดร’
‘ฟันนี่เลดี้ ฟันนี่เลดี้ ฟันนี่เลดี้ ฟันนี่เลดี้ ฟันนี่เลดี้’
‘ตีโค้งไป อังเดรเป็นตัวนำคู่กับฟันนี่เลดี้และขายฝัน ตามมาด้วยแมนฮัตตันและซาดาโกะ ตีโค้งไปออกทางตรง ดำทะมึนเป็นตัวนำ ขายฝันตัวที่สอง อังเดรตัวที่สาม ….ขณะนี้ซาดาโกะเป็นตัวนำแล้ว ตามมาด้วยขายฝันและดำทะมึน’
สามคนได้แต่มองหน้ากันสลับกับมองม้าที่วิ่งแข่งอยู่ในสนาม ในใจตุ๊มๆต่อมๆกับตั๋วเบอร์สองที่อยู่ในมือหลายแผ่น สู้หน่อยน่าเจ้าม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ หวังว่าเจ้าคงไม่แค่ขายฝันตามชื่อหรอก
‘เส้นชัยแล้วนะครับ ขายฝันเป็นตัวนำ ซาดาโกะตัวที่สอง ว่องไวที่สาม ฟันนี่เลดี้ที่สี่ ตามมาด้วยแมนฮัตตัน และดำทะมึน….’
“เย้ ชนะแล้วๆๆ” แทฮยองส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ เพราะเสียเงินซื้อตั๋วม้าแข่งกันไปเยอะ ถ้าเสียก็คงเหลือเงินเที่ยวเล่นกันไม่มาก
“โอ๊ย เราหัวใจจะวาย” องค์หญิงบ่นออกมาไม่หยุด ส่วนผู้คนรอบตัวบ้างก็ส่งเสียงดีใจ ถึงแม้ส่วนมากจะเอาแต่บ่นกันมากกว่า
“จีมินๆ ไปรับเงินกันเถอะ เร็วๆๆ” สามคนมองเงินในมือที่ได้รับมา สามเท่าตัวจากที่ซื้อตั๋วม้าแข่งไปตอนแรก เสียงหัวเราะดังออกมาไม่หยุด ต้องยกความดีความชอบให้จีมินและความโชคดีที่พวกเขาได้เจอคุณลุงคนนั้นที่ทำให้ชนะม้าแข่งรอบนี้
“ไปกินบัวลอยหน้าสนามม้ากันเถอะ อร่อยมากๆเลยร้านนั้น มีทั้งบัวลอยน้ำขิง บัวลอยนมสด บัวลอยน้ำหวาน แทฮยองอยากกิน” แทฮยองเขย่าแขนเพื่อนชายตัวเล็ก เพราะหน้าสนามม้ามีอาหารและขนมอร่อยๆที่ราคาถูก แล้วในวันที่อากาศร้อนๆแบบนี้แทฮยองก็อยากกินบัวลอยแป้งนุ่มๆที่อยู่ในน้ำหวานให้เย็นชื่นใจสักหน่อย
ร่างสูงยืนรอคนที่ควรจะมาถึงลานฝึกดาบแล้วแต่ตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เขาเดินตรงไปยังตำหนักขององค์หญิงยูจองที่อยู่ไม่ไกลจากลานฝึกมากนัก ก่อนจะพบคุณข้าหลวงจูฮยอนที่ถือสะดึงไม้อยู่
“อ๊ะ ท่านจองกุก” หญิงสาวส่งยิ้มอย่างเขินอายให้กับนายทหารหนุ่มที่บังเอิญเจอกันอีกครั้งหลังจากเมื่อเช้านี้พบกันที่สวนดอกไม้จนทำให้เธอเข้าสอนองค์หญิงช้าไปหลายนาที
“คุณข้าหลวงพอจะเห็นราชองค์รักษ์แทฮยองไหมครับ พอดีเขามีฝึกดาบวันนี้” จองกุกเอ่ยถามถึงลูกศิษย์ตัวดีของเขาที่หายตัวไปไม่มาฝึกซ้อม
“ไม่ทราบเลยค่ะ หายกันไปหมดทั้งองค์หญิงและท่านราชองค์รักษ์ทั้งสอง เหลือแต่ผ้าที่ปักแล้วทิ้งไว้” คุณข้าหลวงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ยังค้างอยู่บนสะดึงให้นายทหารหนุ่มดู จองกุกก็ได้แต่ยิ้มออกมานิดๆกับศิลปะการปักลวยลายของคนทั้งสาม
ภาพวงกลมๆสีแดงแล้วมีขีดยื่นออกมารอบๆ ซึ่งน่าจะเป็นดวงอาทิตย์ ภาพสามเหลี่ยมสองอันที่คร่อมกันนิดหน่อยสีน้ำตาลที่น่าจะเป็นภูเขา แล้วภาพวงกลมสีส้มที่มีหูแหลมๆสองข้างและมีจุดดำๆตรงกลางอีกสองจุดที่น่าจะเป็นแมวรึเปล่า มันถูกปักมั่วไปหมด หันหัวกันไปคนละทิศแล้วสัดส่วนก็ดูผิดรูปผิดร่าง มีอย่างที่ไหนแมวตัวใหญ่กว่าพระอาทิตย์เสียอีก ดูอย่างไรก็เหมือนภาพวาดเด็กประถม ไม่เหมือนฝีมือการปักผ้าของชาววังเอาเสียเลย
“ดูมีสีสันดีนะครับ งั้นผมขอตัวก่อน” จองกุกเอ่ยลาคุณข้าหลวงแล้วโค้งตัวให้เล็กน้อย เขาคิดถึงสัมผัสครั้งก่อนที่เคยเผลอไผลไปจนลูกศิษย์แสนดื้อมาเห็น อันที่จริงคุณข้าหลวงจูฮยอนทั้งสวยและเป็นสตรีที่สมบูรณ์แบบ บางทีถ้าเขาไม่ไปพึงใจต่อใครสักคนหลังจากนี้ ก็อาจจะเลือกเธอมาเป็นแม่ของลูกและสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบก็ได้ แต่ก่อนอื่นเขาคงต้องหาราชองค์รักษ์ตัวดีให้เจอเสียก่อน เด็กดื้อที่มาก่อกวนให้เขาวุ่นวายใจเสมอ
หลังจากตามหาตัวอย่างไรก็ไม่เจอทำเอาจองกุกหัวเสียไม่น้อย สิบหกปีซึ่งอาจจะถือว่ายังเด็ก แต่ก็โตพอที่จะเข้าใจหน้าที่ของตัวเองได้ แต่ตอนนี้เด็กอายุสิบหกคนนั้นโดดซ้อมไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จองกุกเดินไปยังบ้านของท่านเสนาบดีกลาโหม อย่างไรวันนี้ก็ต้องพบหน้าเด็กดื้อคนนั้นให้
จีมินเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดีหลังแยกจากแทฮยองเมื่อเดินไปส่งองค์หญิงเข้าวังเรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องยากที่คนเป็นลูกหลานเสนาบดีกระทรวงกลาโหมและเป็นราชองค์รักษ์ขององค์หญิงอย่างพวกเขาจะเข้าออกวังหลวงบ่อยๆ ส่วนการพาองค์หญิงเข้าออกในฐานะเพื่อนทหารชั้นธรรมดาคนหนึ่งก็ไม่ได้ยากนัก เมื่อทหารมีมากมายในวังจนจำหน้าค่าตากันไม่ได้ ยิ่งมากับคนตำแหน่งใหญ่อย่างพวกเขาพวกนายทหารเฝ้าประตูก็ไม่กล้าเซ้าซี้อะไรอีก
จีมินเดินหิ้วถุงบัวลอยนมสดที่ตั้งใจซื้อมากินรอบดึกแกว่งไปแกว่งมาเรื่อยๆ พลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีจนกระทั่งบังเอิญมาเจอใครบางคนที่ยืนรออยู่ จะเรียกว่าบังเอิญก็ไม่ถูกสิ เพราะยุนกิชอบมาดักรอเขาบ่อยๆ
“คือวันนี้ท่านพ่อของข้าได้กระจกมาจากเมืองด้านเหนือ สวยมากเลย ข้าเลยอยากเอามาฝากท่านจีมิน ตัวกรอบทำจากไม้สานอย่างดี เป็นงานทำมือด้วยครับ” เพราะบิดาเป็นท่านทูตที่เดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเมืองอื่นบ่อยๆ หลายครั้งจึงมักได้ของสวยงามและหายากกลับมาอยู่เสมอ แล้วยุนกิก็เห็นกระจกบานนี้สวยดี เหมาะกับท่านจีมินเขาเลยอยากจะเอามาฝาก
คนตัวเล็กมองกระจกซึ่งมีด้ามไว้จับส่องที่ถูกยื่นมาให้ มีอย่างที่ไหนเอากระจกมาฝากเขาไม่ใช่เด็กผู้หญิงเสียหน่อย อารมณ์ที่เคยดีเลยเริ่มขุ่นมัวมากขึ้น มือเล็กคว้ามันมาถือไว้ก่อนจะปล่อยลงพื้น
เปรี้ยะ.. เสียงกระจกแตกร้าว ไม่ใช่เพราะจีมินปล่อยมันลงกับพื้นหรอก กระจกบานนั้นมีกรอบไม้อย่างดีล้อมอยู่เมื่อตกลงพื้นมันถึงไม่ได้แตกง่าย แต่การที่คนตัวเล็กเดินเหยียบมันไปต่างหากที่ทำให้กระจกที่อยู่ในกรอบไม้อย่างดีแตกจนได้
“อ่า มันแตกแล้ว ไม่ทนเลยนะ” สองเท้าเล็กๆเดินผ่านไปโดยไม่สนใจหันมามองเจ้าของกระจกอีก
ยุนกิก้มลงเก็บกรอบไม้สานที่เหลืออยู่ เขาหยิบเศษกระจกขึ้นมาอย่างระมัดระวังตั้งใจจะเอาไปทิ้งเพราะกลัวว่าจะมีใครเดินมาเหยียบมันจนบาดเจ็บ เศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระจายอยู่บนพื้นสะท้อนเข้ากับแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับดูสวยงาม แต่อย่างไรมันก็เป็นเพียงเศษซากที่แตกละเอียดจนใช้งานไม่ได้ ไม่ต่างกับความตั้งใจของยุนกิที่ถูกทำลายจนไม่เหลือ
แทฮยองกลับมาถึงบ้านพร้อมขนมบัวลอยน้ำหวานที่ตัวเองชอบ ทั้งที่กินไปแล้วถ้วยนึงแต่เขาก็ยังอยากจะกินอีกเลยซื้อกลับมาด้วยอีกถุง เพราะได้เที่ยวเล่นจนดึกเขาเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จนเผลอลืมไปด้วยซ้ำว่าตั้งใจปล่อยให้ใครอีกคนรอเก้อ
“แม่ครับ แทฮยองกลับมาแล้ว” ส่งเสียงออกไปเมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้าน ก่อนจะพบแม่ที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“หืม มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ท่านจองกุกรออยู่ที่ห้องรับแขก แทฮยองทำไมถึงไม่ยอมไปฝึกซ้อมล่ะลูก” หน้าหวานซีดเผือด นอกจากคนใจร้ายคนนั้นจะมาตามถึงบ้านแล้วยังขี้ฟ้องอีกด้วย เขาวางถุงบัวลอยไว้ที่ชั้นวางของข้างผนัง แล้วเดินตรงไปยังห้องรับแขก
คนที่อยู่ในชุดทหารเต็มยศมองคนเด็กกว่าที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าและมีสีหน้าเบื่อหน่าย ความโกรธเริ่มพุ่งขึ้นมาอีกรอบ ที่เห็นคนโดดซ้อมไปเที่ยวจนกลับมาเสียดึก
“แปลกจริง ปากก็พร่ำบอกว่าโตแล้วแต่ทำไมไม่มีความรับผิดชอบ เป็นทหาร เป็นราชองค์รักษ์ที่คนอื่นนับถือ แต่ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้หน้าที่ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกไปหมด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตำแหน่งที่ตัวเองได้มาอย่างง่ายดายเป็นการตัดโอกาสคนอื่นที่เขามีความตั้งใจและพยายามมากกว่า”
“…”
“ถ้าคิดว่าการทำตัวให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งมันเป็นเรื่องยากเย็นนักไม่ต้องฝึกก็ได้นะ ไม่มีใครผิดหวังหรอก เพราะไม่มีใครคาดหวังกับเด็กไม่รู้จักคิดตั้งแต่แรก แต่ถ้ายังพอจะมีสำนึกอยู่บ้างก็ควรจะตั้งใจกว่านี้หน่อย สงสารท่านเสนาบดี ไม่อยากให้ใครว่ามีลูกชายไม่เอาอ่าวทำได้แค่ใช้เส้นสายแย่งตำแหน่งคนอื่นเขา”
แทฮยองมองคนที่เดินจากไป พอเขาเข้ามาในห้องอีกคนก็เอาแต่ว่ากล่าวไม่หยุดแล้วก็ไม่ฟังเขาอธิบายสักคำ แต่ถึงให้อธิบายแทฮยองก็ไม่มีอะไรจะพูดอยู่ดีนั่นแหล่ะ จากตอนแรกที่คิดว่าจะสนุก กลายเป็นเริ่มรู้สึกผิดในสิ่งที่อีกคนพูด แทฮยองไม่ได้ตั้งใจจะใช้เส้นสายแย่งตำแหน่งที่มีเกียรติแบบนี้มาสักหน่อย เขาไม่เคยคิดอยากอยากเป็นทหารเลยสักครั้ง
เขาเดินหน้าหงอยออกมาจากห้องรับแขก อารมณ์ขุ่นมัวจนอยากจะกินบัวลอยที่ซื้อมาให้หมดเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น แต่พอเดินไปตรงชั้นวางของที่เคยวางถุงบัวลอยไว้กลับพบเพียงความว่างเปล่า บัวลอยหายไปไหน? หรือว่าแม่ของเขาจะเก็บไปแล้วรึเปล่านะ
ส่วนจองกุกก็เดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่หลังจากต่อว่าลูกชายเจ้าของบ้านเสร็จ เขาไม่ได้อะไรด้วยซ้ำจากการฝึกฝนให้คนเด็กกว่า แต่ก็พยายามเพราะเห็นแก่ท่านเสนาบดีที่มาไหว้วานไว้ แล้วดูสิ่งที่เด็กคนนั้นทำสิ ไม่ตั้งใจ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่อดทนและไม่ขยันหมั่นเพียร พอคิดแล้วเขาก็ได้แต่กำหูถุงบัวลอยเอาไว้แน่น ถือเป็นบทลงโทษเด็กดื้อที่โดดซ้อมไปเที่ยวก็แล้วกัน บัวลอยที่ดูน่าอร่อยถุงนี้เขาจะกินเสียให้หมด
เย็นวันถัดมาที่ความรู้สึกผิดยังเกาะกุมอยู่ในใจแทฮยองไม่หาย เมื่อคืนเขาเอาแต่คิดว่าจะพูดกับจองกุกอย่างไร ถึงจะไม่อยากเอ่ยคำขอโทษ แต่ก็รู้ดีว่าครั้งนี้ตัวเองเป็นฝ่ายผิดอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ ในขณะที่คนตัวสูงยืนถือดาบไม้ไว้ในมือโดยไม่ได้พูดถึงเรื่องเก่า เขายื่นดาบไม้ส่งให้แทฮยองก่อนจะทบทวนท่าฟันต่างๆที่เคยสอนอีกครั้ง แทฮยองตั้งใจฝึกโดยไม่บ่น นึกโล่งใจที่จองกุกมีท่าทีปกติเหมือนไม่มีเรื่องเมื่อวานเกิดขึ้น อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใจแคบอย่างที่เขาคิด
ตุบ
เสียงดาบไม้ตกลงพื้น แทฮยองเก็บมันขึ้นมาแล้วจับมันให้แน่นขึ้น เขาพยายามที่จะรับแรงดาบของจองกุกให้ได้ ในขณะที่คนตัวสูงก็เริ่มผ่อนแรงลงนิดหน่อยเพื่อให้แทฮยองรับมือไหว รอให้ลูกศิษย์จำเป็นคล่องตัวกว่านี้ก่อนแล้วค่อยใส่แรงให้เหมือนปกติดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวเด็กดื้อก็จะท้อแล้วหมดกำลังใจฝึกเปล่าๆ
ตุบ
ดาบไม้หล่นจากมืออีกครั้ง แทฮยองรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะรับแรงจองกุกไม่ไหว แต่เพราะมือเขาเริ่มชาและเจ็บแล้วต่างหาก เขารู้สึกถึงความแสบที่กลางฝ่ามือซึ่งพอเหลือบมองถึงรู้ว่ามันบวมและเริ่มปริแตกจนมีเลือดไหลซึมออกมา เขาเจ็บตั้งแต่เริ่มฝึกวันแรกแล้ว เพราะต้องกำดาบไม้ไว้แน่นเป็นเวลานานๆ ถึงจะได้พักไปวันนึง แต่พอมาฝึกอีกครั้งมันก็เจ็บกว่าเดิมอีก แทฮยองจับดาบไม้ให้แน่นกว่าเก่า กัดฟันอดทนกับความเจ็บเพื่อให้สามารถฝึกดาบต่อ
จองกุกมองคนที่วันนี้ดูพยายามมากกว่าปกติ พอคิดว่าฝึกซ้อมได้มากพอแล้วเขาถึงยอมอนุญาตให้แทฮยองกลับบ้าน มือหนาเก็บดาบไม้จากลูกศิษย์จำเป็นของเขา ก่อนจะก้มมองความรู้สึกเหนียวที่อยู่บนด้ามจับ…ของเหลวสีแดงที่เปื้อนอยู่เล็กน้อยทำให้จองกุกอดตกใจไม่ได้ ตอนแรกคิดว่าความเปียกชื้นนั้นเป็นเหงื่อแต่มันกลับไม่ใช่น้ำสีใสแบบที่เขาคิด
เขาวิ่งตามคนที่เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกลนัก คว้าข้อมือเล็กจนแทฮยองเสียหลัก จองกุกพิจารณาฝ่ามือขวาที่ซึ่งบวมและปริจนน่ากลัวว่าเจ้าของมันคงจะเจ็บ สีหน้าไม่พอใจเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะลากคนตัวเล็กจนปลิวตามไปห้องพยาบาลที่อยู่ติดกับลานฝึก
เพราะเย็นจนทุกคนกลับไปหมดแล้ว จึงเหลือแต่จองกุกที่ลากแทฮยองเข้ามาในห้องพยาบาลเล็กๆแห่งนี้ ร่างสูงผลักอีกคนในนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ รื้อหาอุปกรณ์ทำแผลที่มีอยู่มากองไว้บนโต๊ะ
“เจ็บแล้วทำไมไม่บอก ปกติเถียงไม่หยุดแต่เรื่องแบบนี้กลับไม่ยอมพูด” ถึงปากจะเอาแต่บ่น แต่มือหนาก็รื้อหาสำลีชุบแอลกอฮอล์แต้มลงรอบๆแผลอย่างแผ่วเบา เขาใส่ยาลงไปในแผลแล้วพันผ้าให้อย่างดีแบบคนที่เคยผ่านการปฐมพยาบาลมาบ่อยๆ ส่วนคนที่นั่งเงียบมาตลอดก็ยังคงไม่ยอมพูด ก็แทฮยองไม่อยากโดนว่าว่าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่อยากโดนว่าเรื่องที่ไปแย่งตำแหน่งคนอื่น เขาเลยพยายามอดทนให้มากที่สุด ไม่สนใจเลยว่าจะเจ็บมากแค่ไหน แค่อดทนเพราะอยากให้จองกุกยอมรับแล้วก็เลิกว่าเขาสักทีเท่านั้นแหล่ะ
“เป็นใบ้รึไง ถึงไม่ยอมพู…” เพราะรำคาญน้ำเสียงดุๆ แทฮยองเลยหยิบซากสำลีชุบแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำความสะอาดแผลให้เขาเมื่อครู่ ยัดเข้าไปในปากที่เอาแต่พร่ำบ่น
“เอาแต่ดุอยู่นั่นแหล่ะ น่าเบื่อ” จองกุกแทบจะคายก้อนสำลีออกจากปากไม่ทัน นึกโมโหเจ้าเด็กอวดดีนี่ขึ้นมาอีกครั้ง คอยดูเถอะพรุ่งนี้จะฝึกให้หนักกว่าเดิมอีกสักสิบเท่าเลยล่ะ