องค์รักษ์กุกวี

EP. 2 : ราชองค์รักษ์คนใหม่

“โห จีมินดูดีมากเลย”

“แทฮยองก็หล่อ”

องค์หญิงเบ้ปากให้กับเพื่อนชายสองคนที่เอาแต่ชมกันไปชมกันมา แล้วยังจับมือกันวิ่งหมุนรอบเป็นวงกลมอีกต่างหาก ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนาก็แค่ได้ใส่ชุดประจำตำแหน่งครั้งแรก แล้วไอ้การเอามือสองข้างรองไว้ใต้คางกระดิกนิ้วกิ๊กๆแตะสองข้างแก้มที่จีมินเรียกว่าท่าดอกไม้บานน่ะ มันดูน่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารักโขเลย

“จะชมกันอีกนานไหม พวกเรากำลังจะเข้าชั้นเรียนสายแล้วนะ” เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขาจะต้องเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ ไม่ได้ไปโรงเรียนสำหรับพวกเจ้านายหรือราชนิกูลหรอก แค่เป็นการเรียนที่มีอาจารย์มาสอนเป็นการส่วนตัวในตำหนักต่างหาก และคาบเรียนแรกที่แสนน่าเบื่อก็ไม่พ้นเรื่องการเมืองการปกครองนั่นล่ะ

“องค์หญิงกับท่านราชองค์รักษ์มาสายไป 5 นาทีนะขอรับ” น้ำเสียงอ่อนโยนที่มาพร้อมรอยยิ้มสดใสดังขึ้นทันทีที่พวกเขาสามคนเดินเข้ามาในห้อง

“อ่าขอโทษท่านโฮซอกด้วยค่ะ พวกเรามัวแต่ตื่นเต้นกับคาบเรียนแรก” องค์หญิงตอบกลับไปก่อนที่ทั้งสามคนจะแยกย้ายไปนั่งที่โต๊ะประจำของตนเอง ซึ่งเป็นโต๊ะเขียนหนังสือตัวไม่สูงมากที่ตั้งอยู่บนพื้นและมีเบาะสำหรับรองนั่งอยู่ด้านหลัง

เพราะจีมินและแทฮยองรับตำแหน่งทหารส่วนพระองค์หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าราชองค์รักษ์ พวกเขาจึงมีหน้าที่ติดตามองค์หญิงยูจองและเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้เข้าชั้นเรียนร่วมกันองค์หญิงเป็นกรณีพิเศษ

น้ำเสียงเนิบนาบบรรยายเรื่องระบบการปกครองในอดีตของเมืองเคปแลนด์ที่พวกเขาอาศัยอยู่ สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเมืองเคปแลนด์เพราะพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกของเมืองนั้นยื่นเข้าไปในทะเลทำให้สามารถส่งสินค้าผ่านทางเรือไปยังดินแดนอื่นๆได้

แทฮยองเผลอวูบหลับไปหลายครั้งกับน้ำเสียงชวนนอนของท่านโฮซอกซึ่งควบสองตำแหน่งทั้งเจ้ากรมการปกครองและเจ้ากรมโยธาธิการและผังเมือง ก็เมื่อคืนเขามัวแค่คิดจะหาทางรับมือกับคู่อริอันดับหนึ่งในการฝึกทหารในช่วงเย็นที่จะมาถึงนี่สิ สุดท้ายกว่าจะได้นอนก็เลยไปเกือบครึ่งคืนแล้ว พอวันนี้ตัวง่วงงุนในร่างกายเขาเลยพร้อมใจกันทำงานเต็มที่ จนเปลือกตาไม่สามารถจะต้านทานกับแรงดึงดูดของโลกได้เลย

 

ในขณะที่เพื่อนชายตัวกลมที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันก็เอาแต่จ้องมองคนที่บรรยายอยู่ตรงหน้า รอโอกาสที่อีกฝ่ายหันไปจับจ้องที่คนอื่นเมื่อไหร่ นิ้วมือป้อมๆก็จะหยิบขนมเอาแป้งอบที่เขาแอบพกใส่ประปุกเข้าปาก ก็นั่งเรียนเป็นชั่วโมงแบบนี้เขาก็อดหิวไม่ได้หนิ แถมเมื่อเช้ายังกินข้าวไปแค่สองจานเท่านั้น เลยยังไม่อิ่มเท่าไหร่ แล้วจีมินก็คิดว่าตัวเองทำได้ดีนะกับการแอบกินขนมในชั้นเรียนโดยไม่ให้ท่านโฮซอกจับได้น่ะ

 

731676o68y53p7aq

 

ส่วนผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องอย่างองค์หญิงยูจอง ง่วงหรือก็ไม่ หิวหรือก็ไม่ ได้แต่นั่งนิ่งหมุนควงปากกาในมือเล่น นิ้วเท้าข้างนึงกระดิกกิ๊กๆอย่างเบื่อหน่าย นี่ถ้าคุณข้าหลวงจูฮยอนมาเห็นว่าองค์หญิงที่เฝ้าอบรมมารยาทอย่างเคร่งครัดนั่งกระดิกนิ้วเท้าแบบนี้คงลมจับแน่เลย แต่เพราะไม่ได้อยู่ต่อหน้าคุณข้าหลวงเจ้าระเบียบ เธอเลยไม่สนใจจะรักษามารยาทอะไรทั้งนั้น แล้วหลังจากนั่งหมุนปากกามองหน้าท่านโฮซอกไปเรื่อยๆ ความคิดบางอย่างก็เกิดขึ้นในหัว จนใบหน้ากลมส่งยิ้มออกมาอย่างสดใส ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกที่ว่างเปล่าแล้วเริ่มจรดปากกาวาดลวดลายลงไป

 

ม้าวิ่งกรับ กรับ เดี๋ยวเดียวลับตาเราไป ม้าวิ่งเร็วไว เร็วทันใจควบกรับๆๆๆ — อดไม่ได้ที่จะพึมพำเพลงเบาๆให้ได้ยินคนเดียวในขณะวาดรูปน้องม้าลงบนสมุด ก็เห็นท่านโฮซอกแล้วนึกถึงม้าน้อยที่อยู่ในคอกทุกทีสิน่า นี่เธอไม่ได้จะว่าว่าท่านโฮซอกหน้าเหมือนม้าหรอกนะ แต่แค่เห็นแล้วนึกถึงเฉยๆ

“อ่า หมดเวลาเรียนแล้วขอรับองค์หญิง เป็นพระมหากรุณาที่องค์หญิงทรงตั้งใจเรียนวิชาของกระหม่อม แล้วก็ต้องขอบคุณท่านราชองค์รักษ์ทั้งสองด้วย”

แทฮยองลืมตาขึ้นมาก่อนจะเอามือน้อยๆปิดปากหาววอดๆ ส่วนจีมินก็รีบยัดกระปุกขนมแป้งอบลงในกระเป๋าย่ามของตนเองทันที แล้วหันไปมององค์หญิงยูจองที่ก่อนหน้าดูสาละวนกับการจดอะไรบางอย่างลงสมุดแต่บัดนี้กลับปากวางปากกาและปิดสมุดบันทึกลงเรียบร้อย

“ขอบคุณท่านโฮซอกมากนะ วันนี้ได้ความรู้มากจริงๆค่ะ” องค์หญิงยิ้มให้กับท่านโฮซอกที่โค้งคำนับเธอเพื่อเป็นขอบคุณ

 

“ดีใจเหลือเกินที่ได้ยินแบบนั้นขอรับ และเพื่อให้แน่ใจว่ากระผมได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างไปครบถ้วน คงไม่เป็นการรบกวนเกินไป ถ้าจะให้ทุกคนช่วยสรุปบทเรียนในวันนี้ลงในกระดาษ คิดว่าสักสามหน้ากระดาษขึ้นไปน่าจะเป็นความยาวที่กำลังพอดี กำหนดส่งคือคาบเรียนครั้งหน้านะขอรับทุกคน” รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้เหล่านักเรียนของเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะเก็บอุปกรณ์ทำมาหากินคือผังเมืองลงในกระบอกพลาสติกแล้วเดินออกจากห้องไป ด้วยใจจดใจจ่อรอเวลาที่จะได้ตรวจการบ้าน(?) ของเหล่านักเรียนกิตติมศักดิ์

จีมินมองใบหน้าที่ซีดเผือดของแทฮยอง ก็แน่นอนว่าเพื่อนของเขาเผลอหลับไปตั้งแต่ต้นคาบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในหัวน้อยๆคงจะมีแต่ความง่วงงุนแต่ไม่มีความรู้

แล้วพอกลับมาพิจารณาตัวเอง นอกจากรับรู้ว่าขนมแป้งอบฝีมือแม่อร่อยที่สุดแล้ว เนื้อหาวิชาทั้งหมดก็เข้าหูซ้ายออกหูขวาไปจนหมด ความหวังหนึ่งเดียวที่เหลือเลยกลายเป็นองค์หญิงยูจองที่เขาเห็นนั่งจดสมุดบันทึกไม่หยุด

 

“องค์หญิงขอจีมินยืมอ่านบ้างสิ” นิ้วมือป้อมสั้นยื่นไปหยิบสมุนบันทึกสีน้ำตาลอ่อนมาไว้ในมือ แล้วรีบเปิดอ่านเพื่อหวังจะซึมซับวิชาเรียนวันนี้เข้าหัว

“เอ่ออออ…นี่คงเป็นสมุดการบ้านวิชาศิลปะ” เพราะไม่ว่าจะพลิกไปหน้าไหน จีมินก็เห็นแต่รูปม้าที่มีฟันหน้ายื่นๆเต็มไปหมด

“คือ เราก็ไม่ได้ฟังเหมือนกันอ่ะ”

แทฮยองมองหน้าเพื่อนสนิทสองคนของเขา เริ่มต้นการเป็นราชองค์รักษ์อันที่จริงมันก็ไม่สบายอย่างที่คิดนะ

 

หลังจากปล่อยให้เพื่อนสนิททั้งสองคนกลับไปแล้ว องค์หญิงยูจองเก็บสมุดบันทึกออกจากห้องเรียน เป็นวันที่น่าเบื่อที่สุด เพราะการบ้านที่แสนยากเย็นของท่านโฮซอก (ซึ่งมันคงจะไม่ยากถ้าเธอตั้งใจเรียนกว่านี้) ทำให้ทุกคนหมดอารมณ์จะเล่นน้ำเต้าปูปลาที่เตรียมมาล่วงหน้า ร่างเล็กในชุดกระโปรงงามสง่าที่ดูจะยาวรุ่มร่ามอยู่สักหน่อยเพราะส่วนสูงที่น้อยกว่ามาตรฐานผู้หญิงทั่วๆไปกำลังเดินหน้าตางอง้ำตรงไปยังห้องทรงงานของพี่ชายตนเอง

“ตายแล้วองค์หญิง ไปทำอะไรมาเพคะ ฉลองพระบาทเปื้อนหมดเลย” องค์หญิงยูจองก้มลงมองรองเท้าตัวเอง เมื่ออยู่ๆก็ได้ยินเสียงทักมาจากอีกทางเดินฝั่งหนึ่ง

 

มันคงเปื้อนเพราะเดินไปไหนมาไหนหลายที่กระมัง เลยกลายเป็นว่าตามทางที่เธอเดินมาเต็มไปด้วยรอยพื้นรองเท้าสีดำขมุกขมัว เธอหันไปมองคุณข้าหลวงจูฮยอนเจ้าระเบียบที่เดินมาด้วยสีหน้าดุๆซึ่งพร้อมจะต่อว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากอารมณ์จะไม่ดีแล้วยังต้องมาเจอเรื่องราวน่าจุกจิกอีกนะ

“ไปเล่นซนที่ไหนมาเพคะ พื้นเลอะไปหมดแล้ว”

“นั่นสินะ เลอะไปหมดเลย” องค์หญิงฉีกยิ้มหน้าตาย แล้วรีบย่ำเท้าไปทั่วจนพื้นกระเบื้องหินอ่อนเปื้อนมากขึ้นไปอีก

“ฝากคุณข้าหลวงเช็ดทำความสะอาดด้วยล่ะ เราไปหาพี่ชายก่อน” พูดแล้วก็สะบัดเท้าจนรองเท้ากระเด็นหลุดไปคนละทิศ ก่อนจะวิ่งเท้าเปล่าถลาไปยังห้องทรงงานของพี่ชาย แล้วยังไม่วายตะโกนกลับมาสั่ง

“ฝากรองเท้าไปทำความสะอาดด้วยนะจ๊ะคุณข้าหลวง มันสกปรกแล้ว”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“พี่นัมจุน น้องเอง เข้าไปนะ” ไม่คิดจะรอให้อีกฝ่ายอนุญาต องค์หญิงก็เปิดประตูเข้าไปเฉยๆ สาวเท้าเข้าไปในห้องจนพี่ชายทัก

“อ้าว รองเท้าหายไปไหนล่ะยูจอง”

“รองเท้ามันกัดค่ะ น่ารำคาญมากๆ เลยถอดทิ้งไปแล้ว”

“เดี๋ยวคุณข้าหลวงเจอก็โดนบ่นหรอก” องค์หญิงยูจองฉีกยิ้มด้วยรอยยิ้มที่กว้างที่สุด

“ไม่กลัวหรอกค่ะ ว่าแต่พี่ทำอะไรอยู่” ร่างเล็กเขยิบเข้าไปใกล้พี่ชายที่ถือเอกสารอยู่ในมือ

“อ่านฏีการ้องเรียนน่ะสิ มีหลายเรื่องเลยที่ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย แล้วเรามาหาพี่นี่จะขอเงินล่ะสิ” องค์ชายพูดดักคอน้องสาว เพราะเวลาวิ่งมาหาทีไร ไม่มีอาสาจะช่วยงานหรอกมีแต่ขอเงินไปเล่นสนุก

“เปล่าค่ะ แค่คิดถึงเลยมาหา” คำตอบที่ได้ทำเอาองค์ชายไม่เชื่อหู ร้อยวันพันปีน้องสาวของเขาเคยคิดจะมาหาเพราะคิดถึงซะที่ไหน

“แล้วก็มีเรื่องอยากจะถามด้วย คือ แบบว่าเป็นไปได้ไหมคะ ถ้าน้องจะขอเปลี่ยนครู”

“หืม เปลี่ยนครู วิชาไหนล่ะ” องค์ชายนัมจุนถามด้วยความสงสัย

“ก็การเมืองการปกครองของท่านโฮซอก”

“อ่อ” องค์ชายนัมจุนเอ่ยออกมาพร้อมน้ำเสียงที่ติดจะหัวเราะเล็กน้อย สงสัยคงเจอเข้าแล้วสิ เพราะหัวหน้ากรมคนนั้นน่ะเก่งมากจนได้รับตำแหน่งสูงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความเคี่ยว เป็นคนในแบบที่ว่านอกงานสนุกสนานเป็นกันเอง และถ้าในงานแล้วจริงจังและทุ่มเทมาก จนได้รับฉายาว่าแผนที่เดินได้เพราะเจ้าตัวมักจะพกผังเมืองไปไหนมาไหนด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้พร้อมทำงานได้ตลอดเวลาเลยน่ะสิ

“พี่ต้องเสียใจด้วยนะยูจองอ่า ไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้ดีเท่าท่านโฮซอกแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจเรียนต่อไปนะ”

สองเท้าก้าวอย่างอ้อยอิ่งเหลือเกินเพื่อเดินไปลานฝึกดาบของพวกทหารกระทรวงกลาโหม ก็แทฮยองไม่อยากฝึกหนิเหนื่อยจะตาย โดยเฉพาะครูฝึกที่เป็นครู่อริด้วยแล้ว สงสัยงานนี้จะไม่รอดแน่ๆ

 

แทฮยองมองคนที่ยืนอยู่กลางลานกว้างรอบข้างไม่มีทหารนายอื่น สงสัยต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆ ถึงไม่ให้นายทหารคนไหนมาเพ่นพ่าน กลัวคนอื่นจะเห็นว่ามากลั่นแกล้งอะไรเขาล่ะสิ ความคิดอคติเกิดขึ้นมาในหัว กับคนไม่ถูกกัน มีเรื่องอะไรก็ต้องมองในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน

ร่างบางเดินเข้าไปช้าๆ อย่างอืดอาดหวังจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะเขาเป็นทหารที่มีเกียรติถึงต้องยอมรับว่าแพ้เดิมพันแล้วก็มาฝึกทหารหรอก ไม่ได้กลัวว่าจีมินกับองค์หญิงจะรู้สักหน่อยว่าที่ผ่านมาเขาใช้วิธีไหนโกงไฮโลน่ะ เชื่อสิว่าแทฮยองเป็นคนรักษาเกียรติของตัวเองจริงๆนะ

ตาคมหันกลับมามองคนที่ทำสีหน้าราวกับจะถูกเชือด เขายื่นดาบไม้ส่งให้แทฮยองถือไว้ เพราะถ้าเริ่มฝึกดาบจริง กลัวตัวเองจะโมโหแล้วยั้งใจไม่ไหวแทงเด็กตายเข้า ก็คนตรงหน้าฤทธิ์เดชน้อยซะเมื่อไหร่

“มาสักที นึกว่าจะกลัวจนไม่มาซะแล้ว” ประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก็ทำเอาแทฮยองอยากจะปาดาบไม้ในมือใส่หน้าคนตัวสูงซะแล้ว แต่เพราะการฝึกนี้ยังอีกยาวไกล เขาเลยต้องอดกลั้นกัดฟันกรอดๆแบบนี้

“เริ่มจากฝึกฟันดาบก่อน เป็นทหารถ้าฟันดาบไม่เป็น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น” จองกุกเดินเข้าไปหาอีกคนที่ยืนจับดาบไม้เก้ๆกังๆอยู่ เขาอ้อมไปทางด้านหลังของคนตัวบาง ยื่นมือมากุมมือเล็กเพื่อสอนวิธีจับดาบที่ถูกต้อง

“ใช้ฝ่ามือกำด้ามดาบ ให้นิ้วหัวแม่มือไปตามสันดาบ ส่วนนิ้วอื่นก็โอบกำด้ามดาบเอาไว้ให้กระชับมือ” มือหนาปล่อยมือนุ่มที่เขาจับอยู่แล้วให้แทฮยองลองตวัดดาบไปมาเพื่อให้เคยชินและคล่องตัวมากขึ้น

“ต่อไปจะสอนท่าพื้นฐานของการฟันดาบ เรียนรู้ไว้แต่ถึงเวลาจริงๆก็ต้องอาศัยสัญชาติญาณตัวเองเป็นหลัก ขืนมานั่งนึกว่าจะใช้ท่าไหนเดี๋ยวจะถูกแทงตายซะก่อน” น้ำเสียงหนักแน่นแบบคนเป็นทหารเอ่ยขึ้น ไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนแต่ก็ไม่กระโชกโฮกฮากหรือเต็มไปด้วยอารมณ์

“ฟันผ่าตรง ฟันผ่าเฉียงซ้าย ฟันผ่าเฉียงขวา ฟันตัดแนวนอนซ้าย ฟันตัดแนวนอนขวา ฟันเสยขึ้นเฉียงซ้าย ฟันเสยขึ้นเฉียงขวา ฟันเสยขึ้นตรง แล้วก็แทง” จองกุกอธิบายอย่างช้าๆสาธิตให้ดูทีละท่าเป็น ส่วนจุดไหนที่อีกคนทำไม่ได้เขาก็จะเดินเข้าไปจับข้อมือบางเพื่อจัดท่าทางที่ถูกต้องให้ อย่างน้อยทุกอย่างก็ดูเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อคนที่เข้ารับการฝึกไม่ได้ดื้อรั้นอะไรเลย

แทฮยองทำตามอย่างว่าง่ายเมื่อคนตัวสูงไม่ได้มีท่าทีจะกลั่นแกล้งอะไรเขา นอกจากสอนวิธีการฟันดาบปกติ มีบางครั้งที่เขาตกใจจนเกือบปล่อยดาบเวลาที่อีกคนเข้ามาจับมือเพื่อจัดท่าทางให้ ก็ปกติไม่เคยญาติดีกันสักเท่าไหร่ พอต้องมาแตะเนื้อต้องตัวกันเลยทำอะไรไม่ค่อยถูก

“คิดว่าพอจะคล่องแล้วนะ ต่อไปก็ลองประดาบกันหน่อยละกัน เลือกเอาท่าพื้นฐานที่สอนไปมาใช้” แทฮยองหายใจเข้าลึกๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ดาบจริงสักหน่อย เขาคงไม่ถูกแทงตายหรอก อย่างมากก็ถูกดาบไม้ฟาดก็เท่านั้น

มือเล็กจับดาบให้มั่น จ้องมองปลายดาบไม้ของอีกฝ่ายที่ฟาดลงมาและตัดสินใจยื่นดาบไม้ไปรับไว้

 

ตุ้บ

ดาบไม้หลุดจากมือไปกองอยู่บนพื้น ใบหน้าหวานมุ่ยลงนิดหน่อย ทั้งที่มั่นใจว่าจับดาบดีแล้ว แต่เพราะจองกุกแรงเยอะไปต่างหาก ดาบที่เขาถืออยู่เลยร่วงลงไปซะเฉยๆ

“หยิบดาบขึ้นมาสิ จะยืนเฉยปล่อยให้ถูกฟันผ่าครึ่งหรือไง” ดวงตากลมโตฉวัดฉับมองเจ้าของเสียงดุ สะบัดหน้าหนีแล้วก้มลงไปเก็บดาบขึ้นมาอีกครั้ง

ตุ้บ

เพิ่งเก็บขึ้นมาไม่ทันไรมันก็ตกลงไปบนพื้นใหม่อีกแล้ว แทฮยองถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะก้มเก็บมันขึ้นมา แล้วจับให้แน่นกว่าเดิม

 

ตุ้บ

“จับดาบให้มันมั่นๆหน่อย เรี่ยวแรงหายไปไหนหมด” ปากบางเบะออกน้อยๆจ้องหน้าเจ้าของประโยคนั้น เขาน่ะมันคนปกติ คนพูดต่างหากไม่รู้ว่าที่บ้านเลี้ยงด้วยอะไร ทำไมถึงถึกและมีเรี่ยวแรงมหาศาลแบบนี้

 

ตุ้บ

ตุ้บ

ตุ้บ

ตุ้บ

“โอ๊ยย ไม่ไหวแล้วนะ” แล้วความอดทนที่มีจำกัดก็หมดลงจนได้ เพราะมัวแต่ก้มๆเงยๆเก็บดาบอยู่นี่แหล่ะ แทฮยองเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งเมื่อคืนนอนน้อยด้วย เรี่ยวแรงของเขาแทบจะไม่มีเหลือเลยตอนนี้

 

ตุ้บ

แทฮยองโยนดาบในมือลงพื้น ไม่เอาแล้วฟันดาบอะไรก็ไม่รู้ เหนื่อยจะแย่ เจ็บด้วย พอก้มมองมือตัวเองถึงเห็นว่ามือนุ่มๆขึ้นรอยแดงเป็นปื้นเพราะกำด้ามดาบไว้นาน ก็ตั้งแต่เกิดมาแทฮยองไม่เคยต้องเหนื่อยอะไรแบบนี้เลย ปกติอ้อนแม่อ้อนพี่ซอกจินก็มักจะได้อะไรง่ายๆ ไม่ต้องมาทนเจ็บทนเมื่อยทนเหนื่อยสักนิด

 

“แทฮยอง หยิบดาบขึ้นมาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงดุๆเอ่ยขึ้น ส่วนคนเอาแต่ใจนั่งทิ้งตัวนั่งลงไปกับพื้นเรียบร้อย ไม่คิดจะฟังคำพูดของคนที่เป็นครูฝึกจำเป็นสักนิด ก็แทฮยองจะนั่งอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดเวลาฝึกหนิ ใครจะทำไม

“ลุกขึ้นมาเร็วๆ อย่าให้ต้องใช้กำลังบังคับ” ใบหน้าสวยสะบัดหนี ไม่สนใจเสียงเข้มที่เอ่ยขึ้น

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่” แทฮยองตอบเสียงเขียว ให้ตายยังไงก็ไม่ลุก

“โอ๊ย! เจ็บ ปล่อยนะ” แล้วก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อข้อมือบางถูกคนโตกว่ากระชากให้ลุกขึ้น

“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” จองกุกออกแรงกระชากมากขึ้น แต่คนเด็กกว่าก็ยังรั้นเอาแต่สะบัดแขนท่าเดียวดูราวกับการชักเย่อของเด็กห้าขวบ

หน้าหวานมุ่ยมากขึ้นเพราะถูกยื้อจนเจ็บ ตากลมมองท่อนแขนหนาที่บีบข้อมือเขาจนขึ้นสีแดงเป็นแถบ ก็ถ้าไม่ยอมปล่อยกันมันก็ช่วยไม่ได้หนิ แทฮยองยอมลุกขึ้น ก่อนจะอ้าปากงับลงไปบนแขนแกร่ง กัดด้วยแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บดขยี้ฟันคมๆลงไปโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าถ้าละออกมาแล้วเนื้อของจองกุกจะหลุดติดปากมารึเปล่า

“โอ๊ย นี่หยุดกัดนะ” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แทฮยองเพิ่มแรงกัดเข้าไปอีกจนสั่นไปหมดทั้งฟันทั้งปาก เร่งให้จองกุกต้องจัดการขั้นเด็ดขาด

เพี้ยะ เพี้ยะ… ฝ่ามือหนาฟาดลงที่ก้นอวบสองสามครั้ง เพราะโกรธมากเลยลืมที่จะยั้งแรงตัวเองในขณะที่ฟาดฝ่ามือลงไป

น้ำตาใสๆรื้นขึ้นมาในดวงตากลมสวย ลำพังแรงผู้ชายปกติก็มากพอแล้ว แต่จองกุกเป็นถึงนายทหารที่แข็งแรงแล้วก็มีพละกำลังมากกว่าคนอื่น พอฟาดกระหน่ำลงมาด้วยความโกรธแรงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีก จนแทฮยองทนเจ็บไม่ได้ ถึงปล่อยปากที่กัดท่อนแขนนั้นออก แล้วความเจ็บก็ไม่ได้หายไปเลยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นจนน้ำตาใสๆไหลออกมา

“ฮึก ฮึก ฮือออ” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเรียกสติของจองกุกให้กลับมา เขาเลิกแขนเสื้อตัวเองขึ้นจนพบตำแหน่งรอยฟันของแทฮยองที่ทำเอาเนื้อเขียวเป็นจ้ำแถมยังห้อเลือดสีแดงเป็นจุด ส่วนเด็กดื้อรั้นที่เขาเผลอออกแรงฟาดไม่ยั้งก็ยืนร้องไห้เอามือปาดน้ำตาป้อยๆ

“ใจร้าย ใจร้ายมากเลย ฮืออ” เขามองแทฮยองที่หันมาต่อว่าก่อนจะวิ่งออกจากลานฝึกดาบไป ดวงตาสีแดงช้ำทำเอาเขารู้สึกผิด จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะตีแรงขนาดนั้นสักหน่อย

มือหนาค้นตลับขี้ผึ้งสมุนไพรแก้ฟกช้ำที่มักพกติดประจำในกระเป๋าเสื้อ เพราะเป็นทหารบางทีก็มีผิดพลาดจากการฝึกซ้อมบ้างเลยต้องพกติดตัวไว้ตลอด เขาออกวิ่งตามแทฮยองไปเรื่อยๆ ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายหยุดยืนร้องไห้อยู่กลางทางเดินกลับบ้าน

“เอ่อ เอาไว้ไปทาสิ แก้ฟกช้ำได้” เขายื่นตลับขี้ผึ้งให้แทฮยอง แต่อีกคนก็เอาแต่เบือนหน้าหนีแล้วร้องไห้ไม่หยุด สุดท้ายเลยตัดสินใจลากข้อมือบางเข้าไปหลังพุ่มไม้ข้างทางซะเลย

“ปล่อยเรา จะลากเราไปไหน” โวยวายเสียงดัง สองมือเล็กๆก็เอาแต่ทุบตีคนตัวโตที่จับแขนเขาไว้

“ก็ไม่ยอมเอาไปทาก็จะทาให้ไง อยู่เฉยๆสิ” จองกุกกระชากแทฮยองเข้ามาหาตัวเอง เขายืนซ้อนหลังคนตัวบางไว้ แล้วใช้มือซ้ายรวบข้อมือสองข้างของแทฮยองไว้แน่น ส่วนมือข้างขวาเคลื่อนไปปลดตะขอกางเกงของคนที่อยู่ด้านหน้าออกก่อนจะรูดซิปกางเกงทหารลง

“ฮืออ ปล่อยนะ จะทำอะไรเรา ปล่อย” จองกุกไม่สนใจแทฮยองที่ส่งเสียงร้องโวยวายไม่หยุด เขาดึงรั้งกางเกงของคนเด็กกว่าลง ดันตัวให้โก่งโค้งแอ่นสะโพกขึ้น แล้วดึงชั้นในสีขาวให้เคลื่อนลงไปด้านล่าง

ก้อนเนื้อสองก้อนที่อวบอิ่มและเด้งสู้มือปรากฏให้เห็น เขานึกถึงสัมผัสเมื่อครั้งก่อนที่เคยจับมันผ่านกางเกงผ้านิ่ม ยามนี้มันมีรอยปื้นสีแดงของฝ่ามืออยู่อย่างเด่นชัดจนเรียกความรู้สึกผิดของเขากลับมาอีกรอบ

จองกุกใช้ปากเปิดฝาตลับขี้ฝึ้งที่อยู่ในมือขวา เพราะยังต้องใช้มือซ้ายรวบข้อมือคนที่ดิ้นกุกกักอยู่ น้ำตาใสๆของคนที่ถูกปลดกางเกงลงไหลออกมามากขึ้นจนเขาสัมผัสถึงความเปียกชื้นได้ดี พร้อมเสียงสะอื้นที่ยังคงดังไม่หยุด

จองกุกป้ายขี้ผึ้งสมุนไพรลงบนเนินเนื้อข้างที่เป็นรอยแดงช้ำ เขานวดวนเบาๆเพื่อให้เนื้อยาซึมเข้าสู่ผิวเนื้ออ่อน แต้มยาลงไปให้ครบทุกตารางนิ้วไม่มีว่างเว้น

“ชู่ว ไม่เอา อย่าร้อง” เสียงที่เคยเข้มอย่างนายทหารถูกปรับให้ฟังดูอ่อนโยนมากขึ้น เพื่อปลอบใจเด็กดื้อของเขา

“ฮืออออ” แทฮยองไม่สามารถคุมน้ำตาให้หยุดไหลได้ มันไม่ใช่เพราะความเจ็บเหมือนตอนแรก แต่เป็นความอับอายที่ทำให้น้ำตายังไหลไม่หยุด ก็โตมาสิบหกปีแม้แต่ขาอ่อนก็ไม่เคยให้ใครได้เห็น แล้วจองกุกเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาถอดกางเกงดูบั้นท้ายเขาล่ะ แล้วยังปลายนิ้วมืออุ่นๆที่นวดคลึงยาสมุนไพรลงบนรอยช้ำอย่างตอนนี้อีก ทั้งที่พยายามดิ้นก็แล้ว ส่งเสียงร้องก็แล้ว แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้คนโตกว่าทายาจนกว่าจะพอใจ

จองกุกเก็บตลับยาลงกระเป๋าหลังจากที่ทามันครบทุกจุด สายตาคมมองไปรอบๆแล้วก็อดขำไม่ได้ สถานที่เดิมกับคราวก่อนที่เผลอจูบกับอีกคนให้แทฮยองเห็น ส่วนครั้งนี้ก็มานวดยาลงบั้นท้ายนิ่มอวบอูมน่าสัมผัส

เขาดึงชั้นในสีขาวให้เข้าที่ จับอีกคนให้ยืดตัวขึ้นแล้วใส่กางเกงให้เรียบร้อยในขณะที่เด็กน้อยยังเอาแต่ร้องไห้อยู่ มือหนาจับข้อมือบางเอาไว้ ไม่ได้บีบแน่นเหมือนคราวก่อน แค่สัมผัสเบาๆเมื่อเห็นรอยช้ำรอบข้อมือเล็ก เขาดึงแทฮยองให้เดินตามมาเรื่อยๆ ออกจากพุ่มไม้ข้างทางกลับมาบนทางเดินอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้เงียบสนิท ไม่มีใครมาเจอสถานการณ์น่าตกใจเหมือนคราวก่อน

จองกุกเดินพาเด็กน้อยของเขากลับบ้านอย่างสบายใจท่ามกลางแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ในขณะที่แทฮยองเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามทั้งที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จนทั้งคู่หยุดลงที่หน้าอาคารหลังใหญ่ซึ่งบ้านของแทฮยอง ริมฝีปากหนาจึงเอื้อนเอ่ยบางประโยค

“หยุดร้องได้แล้วน่า หรือถ้ากลัวเสียหายก็จะรับผิดชอบให้” ตาคมมองใบหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนที่คนดื้อรั้นจะสะบัดข้อมือตัวเองจนหลุดจากการกอบกุมของมือหนาแล้ววิ่งกลับเข้าบ้านไป

ใส่ความเห็น