องค์รักษ์กุกวี

EP. 1 : เผชิญหน้า

“ท่านแม่ให้คุณข้าหลวงไปเรียกลูกมามีอะไรหรือคะ” องค์หญิงยูจองเดินเข้าไปในห้องส่วนพระองค์ขององค์ราชินีและประทับลงเคียงข้างพระมารดา เพราะภายในห้องมีกันเพียงสองคน เธอจึงเลือกที่จะใช้คำพูดธรรมดามากกว่าที่จะใช้ราชาศัพท์หรือคำลงท้ายที่เป็นทางการเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น

“ก็ท่านพ่อกำลังจะวางกำหนดการคัดเลือกทหารส่วนตัวของลูกน่ะสิ บางทีลูกอาจจะอยากไปดูการคัดเลือกด้วยตัวเอง”

“ท่านแม่ไม่ต้องจัดพิธีคัดเลือกได้ไหมคะ ลูกอยากจะทูลขอให้แทฮยองกับจีมินมาเป็นทหารส่วนตัวแทน”

“หืม แต่สองคนนั้นยังเด็กอยู่มาก ถึงจะเป็นลูกหลานของท่านเสนาบดีกระทรวงกลาโหมแต่ก็ไม่เคยผ่านการฝึกฝนด้านทหารมาก่อนเลยหนิ”

“แต่วันๆลูกก็อยู่แต่ในวังนี่คะ แค่นี้ก็มีทหารล้อมรอบเป็นพันคนแล้ว ปลอดภัยจนจะขยับตัวไปไหนไม่ได้แล้วค่ะ ไม่เหมือนพี่นัมจุนสักหน่อยที่ต้องออกนอกวังบ่อยๆ เพราะฉะนั้นลูกคงไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตามที่เก่งกาจหรอกค่ะ แค่ครั้งนี้ที่ขอตัดสินใจด้วยตัวเอง นะคะท่านแม่”

“เฮ้อ ไว้แม่จะลองพูดกับท่านพ่อให้ก็แล้วกัน” รอยยิ้มน่ารักสดใสปรากฏบนใบหน้ากลม มีหรือที่จะไม่รู้ว่าต้องอ้อนอย่างไรเพื่อให้ท่านแม่จัดการเรื่องนี้ให้ ก็ถ้ายอมมีพิธีคัดเลือกทหารส่วนพระองค์เกิดขึ้น ต่อไปอยากจะไปไหนมาไหนก็คงถูกจับตามองทุกฝีเก้า แต่ถ้าได้คนสนิทอย่างแทฮยองกับจีมินมาอยู่ด้วย รับรองว่าจะต้องมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้นแน่ๆ

 

หลังจากองค์หญิงไปเข้าเฝ้าองค์ราชินี แทฮยองกับจีมินก็ใช้เวลาในห้องโถงเอกอีกนิดหน่อยเพื่อทานขนมที่เหลืออยู่ให้หมด ก็ขนมในวังอร่อยจะตาย จะปล่อยให้เหลือทิ้งก็เสียดาย สุดท้ายพวกเขาสองคนเลยต้องจัดการให้หมด

“จีมินเดินกลับดีๆนะ อย่าเผลอซุ่มซ่ามไปสะดุดอะไรเข้า” แทฮยองบอกลูกพี่ลูกน้องที่ควบตำแหน่งเพื่อนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันกลับ แทฮยองกระชับกระเป๋าย่ามที่พกติดตัว แล้วเดินกระโดดโลดเต้นไปตามทางกลับบ้านตัวเองอย่างมีความสุข

 

ล้า ลัล ลา…… ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ก็วันนี้ได้เหรียญเงินกลับบ้านมาเยอะกว่าทุกครั้ง ถึงแทฮยองจะได้กำไรจากการเล่นไฮโลกับท่านหญิงกับจีมินอยู่ตลอด แต่ความจริงเขาไม่ได้ดวงดีแบบที่สองคนนั้นคิดหรอก ก็บางทีมันก็ต้องมีลูกเล่นอะไรกันบ้างนี่

 

“อ๊ะ อืมมมม..” เสียงอะไรบางอย่างดังแว่วมาจากข้างทาง แทฮยองเห็นพุ่มไม้ใหญ่เคลื่อนไหวสั่นไปมา ถึงในใจจะกลัวว่ามันอาจจะเป็นหมีเหมือนในนิทานที่เขาอ่านเมื่อเช้า แต่เชื่อเถอะว่าทหารรักษาการณ์คงไม่ปล่อยให้มีหมีมาเดินเพ่นผ่านในวังแน่นอนล่ะ

เท้าเล็กย่องอย่างแผ่วเบาเข้าไปใกล้พุ่มไม้ที่สั่นไหว มือน้อยค่อยๆแหวกจนสามารถชะเง้อมองผ่านดงไม้ใบไม้ไปหาสิ่งที่ถูกกำบังอยู่

“อืออ ท..ท่านจองกุก” ดวงตากลมโตเบิกโพลงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แทฮยองกลืนน้ำลายตัวเองเมื่อรู้สึกว่ามันแห้งผาก ก่อนที่จะเผลอยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเพราะกลัวจะส่งเสียงร้องออกไป

 

ตุบ..

เสียงกระเป๋าผ้าที่เคยถืออยู่ตกลงไปบนพื้นเพราะมือไม้ที่อ่อนกะทันหัน แทฮยองรีบเก็บมันขึ้นมาอย่างลนลาน แล้วกวาดมองหาจุดที่จะซ่อนตัวได้

“ส..เสียงอะไรคะ” น้ำเสียงหวานของผู้หญิงดังขึ้น แทฮยองรีบวิ่งไปอีกฝั่งของทางเดินซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เขาหลบซ่อนตัวอยู่เงียบๆสักพักก่อนจะเห็นผู้หญิงที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ ในขณะที่เจ้าหล่อนก็พยายามจะจัดแต่งเสื้อผ้าและผมเผ้าให้เข้าที่

“เห้ออ  เกือบแย่แล้วเชียว” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาหันหลังแล้วนั่งลงพิงกับโคนต้นไม้อย่างอ่อนแรง เพราะเผลอไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเข้า โชคดีที่เขาฉลาดพอที่จะหาทางเอาตัวรอดได้

 

“เป็นเด็กเป็นเล็กมาแอบดูธุระของผู้ใหญ่ สงสัยท่านเสนาบดีกลาโหมคงยุ่งจนไม่ทันได้สั่งสอนลูกชายตัวเองสินะ” ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง เพราะแทฮยองมัวแต่โล่งใจเลยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าผู้ชายคนนี้เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“ตรรกะท่านจองกุกแปลกจริง แทนที่จะโทษผู้ใหญ่ที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ กลับมาโทษเด็กว่าแอบดูซะได้” ดวงตากลมโตจ้องมองผู้ชายร่างสูงสมบูรณ์แบบที่อยู่ในชุดทหารรักษาพระองค์ขององค์ชายนัมจุนที่เป็นรัชทายาทอย่างเต็มยศ อารมณ์โกรธประทุขึ้นมาในอกเมื่ออยู่ดีๆก็ถูกว่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ทั้งที่ถ้าเทียบกันแล้วคนตำแหน่งใหญ่โตแต่กลับมากอดจูบผู้หญิงในที่แบบนี้ออกจะน่าตำหนิมากกว่า

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าท่านจองกุกจะมีรสนิยมล้าสมัย คุณข้าหลวงจูฮยอนไม่ดูเก่าแก่คร่ำครึไปหน่อยหรือ” น้ำเสียงเยาะเย้ยยั่วอารมณ์ที่ออกจากริมฝีปากบางเฉียบสีแดงระเรื่อเรียกสายตาดุดันจากร่างสูงตรงหน้าได้เป็นอย่างดี ความจริงแทฮยองก็คิดว่าคุณข้าหลวงจูฮยอนเป็นผู้หญิงที่สวยดี แต่ติดตรงท่าทางเจ้าระเบียบกับชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าและผมที่รวบจนเรียบตึงที่เห็นเป็นประจำต่างหาก ที่ทำให้ดูแก่ราวกับหญิงสาววัยกลางคนเกินอายุจริงไปเป็นสิบปี

“แทนที่จะมาสนใจรสนิยมข้า เจ้าควรจะหัดทำตัวให้มีประโยชน์กว่านี้นะแทฮยอง อย่าให้ท่านเสนาบดีต้องบ่นแล้วบ่นเล่าว่าลูกชายยังเป็นเด็กเล็ก เหลวไหลไม่เป็นโล้เป็นพายสักที”

“เหลวไหลก็ยังดีกว่าพวกร้อนรัก ที่ทำอะไรในที่ลับตาคนไม่เป็นนั่นล่ะ แล้วอีกอย่างเราโตแล้วไม่ใช่เด็กเล็กอย่างที่ท่านย้ำหนักหนา ไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์ดูสิ” แทฮยองคว้ามือหนาของจองกุกวางแหมะลงบนสะโพกอวบอิ่มกลมกลึงของตัวเอง จนได้เห็นสีหน้าเหวอของคนตรงหน้านั่นแหล่ะ ถึงยอมปัดมือหนาออก แล้วสะบัดหน้าเดินจากมาพร้อมหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ

 

เสียงหัวเราะเงียบไปเมื่อแทฮยองเดินห่างออกมาสักพัก คนหน้าหวานมุ่ยหน้าลงอย่างอารมณ์เสีย พวงแก้มอิ่มขึ้นสีแดงจัดที่บอกไม่ถูกว่าเพราะความโกรธหรือเขินอายกันแน่ ก็ตอนที่จับมือของจองกุกวางลงบนสะโพกของตัวเอง ถึงสีหน้าอีกคนจะดูตกใจ แต่มือหนากลับบีบและลูบคลำเนื้อนิ่มไม่หยุด เขาเลยพูดได้ไม่เต็มปากว่าการประชันฝีปากครั้งนี้ตัวเองชนะจริงหรือเปล่า

 

จีมินเดินกลับบ้านตามปกติหลังแยกจากเพื่อนหน้าหวาน ท้องเล็กๆเริ่มส่งเสียงร้องอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งทานของว่างจนอิ่มแปล้ก่อนออกจากตำหนักขององค์หญิง แต่ให้ตายเถอะทำไมเขาถึงได้เกิดมากินเก่งขนาดนี้ หน้าที่เคยเรียวก็ดูกลมขึ้น เพราะตัวเล็กอยู่แล้ว เวลาน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็เลยดูกลมไปหมด จนเดี๋ยวนี้แทฮยองกับองค์หญิงยูจองล้อบ่อยๆว่าเขาอาจจะต้องกลิ้งแทนเดินแล้ว

มือเล็กถูกยกขึ้นมาลูบพุงกลมๆของตัวเอง อดทนอีกนิดนะตัวตะกละทั้งหลาย ถ้าถึงบ้านจีมินคนนี้สัญญาว่าจะหาอาหารมาปรนเปรอพวกเจ้าจนอิ่มหมีพีมันเลยล่ะ

“อ..เอ่อ ท่านจีมิน เราเอาขนมมาฝากน่ะ” ผู้ชายตัวขาวซีดที่มายืนขวางทางเรียกอารมณ์หงุดหงิดของจีมินได้ไม่น้อย ครั้งที่เท่าไหร่ของอาทิตย์นี้แล้วนะ สามหรือสี่ที่ยุนกิมาวอแวกับเขาแบบนี้ ตาเรียวเล็กเหลือบมองถุงขนมที่อยู่ในมือคนตรงหน้า เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความหิว แต่สุดท้ายก็เลือกจะทำอย่างทุกที

“อ๊ะ” ยุนกิเหลือบมองขนมแป้งทอดที่กระจายอยู่บนพื้นเมื่อคนที่เขาตั้งใจเอามาฝากปัดมันทิ้งอย่างไม่ไยดี ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้แต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะมาเห็นหน้าหวานๆ มองรอยยิ้มสดใสที่มักจะหายไปทุกครั้งเวลาที่พบกัน ยุนกิก้มลงเก็บขนมแป้งทอดที่เขาไปต่อคิวท่ามกลางแดดร้อนจัดเพื่อซื้อมันมา เพราะเป็นเจ้าที่อร่อยที่สุด ยุนกิเลยยอมเสียเวลาอยู่เป็นชั่วโมงเพื่อขนมสามสี่ชิ้นที่กระจายอยู่บนพื้น เขาเก็บมันขึ้นมาใส่ถุงกระดาษที่ซื้อมาตอนแรก ความเสียใจมากมายอัดแน่นอยู่ในอก ทั้งที่อยากให้จีมินได้ลองชิมมัน อยากให้คนตัวเล็กส่งยิ้มสดใสเมื่อได้กินขนมอร่อยๆที่เขาตั้งใจเอามาฝาก แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นขยะไร้ค่าตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกันด้วยซ้ำ

“เราบอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับเราอีก เราไม่ชอบ” จีมินเดินกระแทกไหล่คนที่ยืนขวางทางเพื่อตรงกลับบ้านของตัวเอง ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเจ้าของขนมจะมีสีหน้าและแววตาแบบไหน ก็จีมินไม่ชอบ ไม่ชอบที่อีกคนเอาแต่ตามวอแวเหมือนเขาเป็นผู้หญิง ทั้งที่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันทั้งคู่ แล้วครั้งต่อไปไม่ว่ายุนกิจะเอาอะไรมาฝาก เขาก็ตั้งใจจะขว้างมันทิ้งไปให้หมด

 

“แทฮยองกลับมาแล้วหรือลูก” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนที่ดังออกมาจากอาคารหลังใหญ่ แทฮยองวิ่งเข้าไปกอดคนเป็นแม่ หอมแก้มซ้ายขวาอย่างที่ทำบ่อยๆ

“ครับ แล้วนี่พี่ซอกจินยังไม่กลับมาหรือครับ” ร่างเล็กถามหาผู้เป็นพี่ชายซึ่งดำรงตำแหน่งทหารรักษาพระองค์ขององค์ชายนัมจุนคู่กับคนที่เขาเพิ่งพบปะมาเมื่อครู่

“เดี๋ยวก็คงกลับมาพร้อมพ่อเรานั่นแหล่ะ แทฮยองล่ะไปเฝ้าองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็จิบชาแล้วสนทนากับองค์หญิงตามปกติครับ” มือน้อยเอื้อมไปโอบรอบเอวคนเป็นแม่ ใช้หัวทุยหนุนตักนิ่มแบบที่ชอบทำตั้งแต่เด็ก

“แทฮยองไม่สนใจรับราชการทหารเหมือนพี่ชายบ้างหรือ ปีนี้ก็อายุครบสิบหกแล้ว ซอกจินยังเข้าฝึกตั้งแต่อายุสิบสี่เลย”

“พ่อให้แม่มาพูดอีกแล้วหรือครับ แต่แทฮยองไม่อยากเป็นทหารนี่” ร่างเล็กถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย จริงอยู่ที่คนอื่นมักรับราชการทหารกันตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างพี่ชายของเขาก็เข้าฝึกทหารตั้งแต่อายุสิบสี่หรือเมื่อหกปีก่อน แทฮยองรู้ดีว่าพ่ออยากให้เขาเป็นทหารมากแค่ไหน เพราะตระกูลของแทฮยองล้วนเป็นทหารกันหมด รวมถึงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมที่ไม่เคยหลุดไปเป็นของตระกูลอื่น แทฮยองรู้ดีว่าพ่อของเขาภาคภูมิใจกับมันมากแค่ไหน ตำแหน่งทหารที่ดูทรงเกียรติน่านับถือ ดังนั้นเมื่อแทฮยองยืนกรานว่าจะไม่เป็นทหารจึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องทะเลาะกันบ่อยๆ

 

แล้วอีกเหตุผลที่ยอมไม่ได้ก็คือ ถ้าแทฮยองเป็นทหารก็คงต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้ชายร้อนรักที่เป็นลูกน้องคนโปรดของพ่อ และเป็นที่นับหน้าถือตาของทุกคนในวัง คงไม่สามารถไปต่อปากต่อคำอีกฝ่ายได้อย่างทุกวันนี้แน่ๆ

 

 

ร่างสูงในชุดทหารก้าวเท้าไปตามทางเดินที่ทอดยาวของตัวอาคาร เขาหยุดลงที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ก่อนใช้มือเคาะเป็นสัญญาณบ่งบอกให้คนด้านในรู้ว่ามาถึงเรียบร้อยแล้ว

“เข้ามาได้” เสียงเข้มอย่างคนมีอำนาจของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ดังขึ้น จองกุกเปิดประตูและเดินเข้าไปภายในห้อง เขาหยุดยืนโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า

“นั่งก่อนสิ”

“ท่านเสนาบดีมีอะไรหรือครับ” เพราะอยู่ๆก็ได้รับคำสั่งเรียกตัวให้มาพบผู้ซึ่งควบคุมดูแลทหารทุกคนในวังหลวงและเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา

“มีเรื่องจะวานเจ้าน่ะ เมื่อเช้าองค์ราชาและองค์ราชินีเรียกข้าไปเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสว่าจะให้แทฮยองกับจีมินไปเป็นทหารรักษาพระองค์ขององค์หญิง”

“อ่า ฟังดูก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ยินดีกับท่านเสนาบดีด้วยจริงๆ”

“เจ้าก็รู้ว่าสองคนนั้นต่อสู้ไม่เป็นสักนิดแล้วจะไปเป็นทหารรักษาพระองค์ได้อย่างไร” เสียงถอนหายใจที่บอกถึงความหนักใจกับเรื่องที่เผชิญอยู่ เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกและหลานชายที่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด เขาถึงได้ห่วงมากกว่าคนอื่น

“ว่าแต่เรื่องที่ท่านเสนาบดีจะให้จัดการคืออะไรครับ” จองกุกยอมรับว่ามันน่ากังวลเหมือนกัน เพราะทั้งสองคนไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งสักนิด แต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะจัดการอะไรได้

“ข้าอยากจะรบกวนเจ้าให้ฝึกฝนสองคนนั้นหน่อย โดยเฉพาะแทฮยองรายนั้นดื้อรั้นฝึกหัดอะไรได้ยาก อย่างน้อยถ้าพวกเขามีความสามารถได้สักครึ่งนึงของเจ้าข้าก็คงจะวางใจ เพราะถ้าไปวานให้ซอกจินช่วยฝึกก็คงได้ตามใจน้องๆเหมือนเคย เดี๋ยวจะเสียเวลาเปล่า”

จองกุกได้แต่ตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ถึงอยากจะปฏิเสธแค่ไหนแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเหมือนนายเหนือหัว เขาถึงต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้ คิ้วเรียวหนาเริ่มขมวดเป็นปมเล็กๆ กับความหนักใจของคนสูงวัยที่เริ่มแผ่ขยายมาถึงตัวเอง ลำพังให้ฝึกเด็กรั้นอย่างแทฮยองก็ว่ายากแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายยอมมาฝึกฝนแต่โดยดีนี่สิที่เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า

 

“โอ๊ะ แทฮยองชนะอีกแล้ว โชคดีจริงๆ”  มือเล็กหยิบเหรียญเงินบนกระดานไฮโลลงกระเป๋าย่าม จนสองคนที่เหลือจ้องมองตาละห้อยกับเหรียญเงินของตัวเองที่ถูกเก็บไป

“ว่าแต่องค์ราชากับองค์ราชินีจะเห็นด้วยหรือขอรับที่องค์หญิงจะให้เราสองคนไปเป็นทหารส่วนพระองค์จริงๆ” จีมินหันไปถามองค์หญิงยูจองถึงเรื่องที่พระองค์ทรงเล่าให้ฟังเมื่อครู่

“ท่านแม่จัดการได้แน่นอนเชื่อสิ ก็วันๆเราไม่ได้ไปไหนอยู่แต่ในตำหนัก ไม่จำเป็นต้องมีทหารมาคอยอารักขาเลยด้วยซ้ำ” องค์หญิงเอื้อมมือไปหยิบเมอแรงค์สายรุ้งที่อยู่ในจานเข้าปาก ลิ้มรสอ่อนนุ่มจนความหวานแผ่กระจายติดปลายลิ้น

“แต่แทฮยองไม่อยากเป็นทหาร ไม่เห็นจะมีอะไรดี วันๆก็เอาแต่ฝึกขี่ม้า ฟันดาบมีแต่เรื่องน่าเบื่อไปหมด” ในขณะที่ปากน้อยๆพร่ำบ่น แต่มือก็เฝ้านับเหรียญเงินที่อยู่ในกระเป๋า

“โถ่ ทำไมแทฮยองไม่ฉลาด” ดวงตากลมโตตวัดฉับมองเพื่อนชายตัวเล็ก ก็ทำไมจีมินถึงมาว่ากันแบบนี้ล่ะ

“แหะ แหะ โทษทีเราพูดไม่ได้คิด” เสียงหัวเราะเจื่อนๆดังขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไป “ก็เป็นทหารส่วนพระองค์น่ะดีจะตาย แทฮยองจะได้ไม่โดนคุณลุงบ่นอีกเรื่องที่ไม่ยอมเข้ารับราชการทหาร แล้วหน้าที่เราสบายจะตาย แค่ติดตามองค์หญิงไม่ต้องไปลำบากลำบนฝึกหนักเหมือนทหารนายอื่น ที่สำคัญที่สุดมีเบี้ยหวัดด้วย ต่อไปอยากได้อะไรก็ไม่ต้องรอขอเงินคนอื่นแล้ว”

“ช่าย จีมินพูดถูก” องค์หญิงยูจองพยักหน้าเห็นด้วย “สำคัญที่สุดคือได้เบี้ยหวัด ต่อไปคงมีเราคนเดียวที่ยังหาเงินเองไม่ได้ น่าเศร้าจังเลย”

“น่าสงสารจังขอรับ ฟังดูจ๊นจน” เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มตัวเล็กเรียกสายตาดุๆจากเพื่อนได้

“อันที่จริงที่พวกเจ้าได้งานก็เป็นเพราะเรา แล้วพวกเราก็เป็นเพื่อนกันมานานนะ บางทีก็คงจะดีถ้าเราจะได้ส่วนแบ่งบ้างสักนิดสักหน่อย” องค์หญิงเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มสดใสจนลักยิ้มบุ๋มเกิดขึ้นที่พวงแก้มเปล่งปลั่ง

“แหะ แหะ แต่แม่จีมินสอนเอาไว้นะองค์หญิง ว่าเป็นเพื่อนกันอย่าพูดเรื่องเงิน เพราะงั้นเราข้ามมันไปดีกว่าเนอะ” องค์หญิงเบ้ปากให้กับเพื่อนชายตัวเล็กแต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถ้าให้เปรียบเทียบแล้ว แทฮยองก็เหมือนลูกสมุนมือขวาที่ชอบพากันเล่นสนุก ส่วนจีมินก็เหมือนลูกสมุนมือซ้ายที่เฉลียวฉลาดช่างพูด

 

 

เสียงเขย่าลูกเต๋ายังคงดังอย่างต่อเนื่องเคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานภายในห้องโถงเอก บรรยากาศอบอุ่นกับความร้อนจากเตาผิงและเมอแรงค์แสนอร่อยทำให้เพลิดเพลินจนลืมสนใจอะไรรอบข้าง…อย่างเช่น เสียงรองเท้าที่เดินย่ำเข้าไปใกล้ห้องโถงเอกอย่างแผ่วเบา

“เหรียญเราจะหมดแล้วนะแทฮยองอ่า เจ้ากินเงินเราไปหมดแล้ว” องค์หญิงบ่นออกมาอีกครั้งในขณะที่วางเหรียญเงินสี่เหรียญสุดท้ายลงบนกระดานกระดาษ

 

“น่าสนุกจังนะขอรับ เล่นไฮโลฆ่าเวลากันด้วย” สามเพื่อนสนิทสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง สายตาคมจ้องมองกระดานกระดาษที่วางอยู่ท่ามกลางวงล้อม ส่วนสายตาของแทฮยองก็จ้องมองนายทหารคู่อริด้วยสีหน้าซีดเผือด

“ทะ..ท่านจองกุก” จีมินอ้าปากค้างจนเมอแรงค์ชิ้นเล็กที่คาอยู่ในปากร่วงลงมาบนตัก

“น่าสนุกดีนะขอรับ ขอเดิมพันด้วยคนได้รึเปล่า”

“….” สามเพื่อนสนิทมองหน้ากันเลิกลั่ก สมองน้อยๆคิดหาหนทางออกจากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง

“เบี้ยหวัดเดือนนี้ คงพอจะใช้วางเดิมพันได้” ถุงผ้าซึ่งเต็มไปด้วยเหรียญเงินมากมายถูกวางลงกลางโต๊ะ จีมินพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้แทฮยองเริ่มเดิมพันได้ อย่างน้อยถ้าอีกฝ่ายมาเล่นด้วยกันก็อาจจะรับประกันได้ว่าเรื่องนี้จะไม่แพร่ขยายออกไป

แทฮยองหยิบลูกเต๋าขึ้นมาอีกครั้ง เขาวางมันลงบนจานรองแก้วเหมือนเก่า แต่ก่อนที่จะได้เอาถ้วยน้ำชาครอบลงไปและเขย่ามัน จองกุกก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“ขอเป็นคนเขย่ามันเองได้หรือไม่” แทฮยองลังเลเหลือเกินที่จะส่งถ้วยน้ำชาให้คนตรงหน้า แต่อย่างน้อยบางสิ่งบางอย่างที่ทำไว้ก็น่าจะส่งผลสำเร็จไม่ต่างจากตาก่อนๆที่สามารถกอบโกยเหรียญเงินของเพื่อนอีกสองคนลงกระเป๋า

จองกุกรับถ้วยน้ำชามาจากข้อมือบาง เขายิ้มให้กับสามคนที่จ้องมองอยู่ หยิบลูกเต๋าสามลูกเล็กขึ้นมา ก่อนเคลื่อนสายตาไปสบดวงตากลมโตที่ดูล่อกแล่กของแทฮยอง

ลูกเต๋าถูกวางลงไปบนจานรองแก้วอีกครั้ง แล้วมือหนาก็หยิบถ้วยน้ำชามาคว่ำครอบมันไว้ เขย่าจนได้ยินเสียงกุกกักแล้ววางมันลงบนโต๊ะ

“มีใครอยากจะวางเดิมพันหรือไม่ ถ้าชนะเอาเหรียญเงินถุงนี้ไปได้เลย”

แทฮยองวางเหรียญเงินของเขาลงบนกระดานกระดาษ แค่ทายง่ายๆว่าจะออกสูง เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าสองในสามลูกจะต้องเป็นแต้มหก ส่วนจีมินและองค์หญิงยูจองเลือกที่จะมองดูนิ่งๆแต่ไม่วางเดิมพันลงไป

“เท่ากับเดิมพันครั้งนี้มีแค่เจ้ากับข้าสินะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยออกมาอีกครั้งและมันสั่นคลอนความมั่นใจของแทฮยองลงไปเกือบครึ่ง

ใจดวงน้อยเต้นตึกตักตอนจ้องมองถ้วยน้ำชาที่ค่อยๆเปิดออก แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเลขที่อยู่บนหน้าลูกเต๋าคือ หนึ่ง หนึ่ง และสี่

“เสียใจด้วยเจ้าแพ้แล้ว แต่เหรียญแค่นี้น่ะไม่พอหรอกนะ ข้าวางเดิมพันด้วยเบี้ยหวัดของเดือนนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจ้าต้องจ่ายมันก็ควรจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย”

“หมายความว่ายังไง” สีหน้างุนงงของคนหน้าหวานเรียกรอยยิ้มจากนายทหารหนุ่มอีกครั้ง ส่วนสองคนที่ถูกกันจนกลายเป็นคนนอกก็ได้แต่มองคู่กัดตรงหน้าสลับไปมาเรื่อยๆ

“เจ้าต้องมาฝึกทหารกับข้าทุกเย็นตลอดหนึ่งเดือน นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องจ่าย”

“แล้วทำไมต้องเป็นเรา”

“ก็จีมินกับองค์หญิงไม่ได้ลงเดิมพันด้วย ทำไมถามอะไรไม่ฉลาด อ่อ เริ่มฝึกพรุ่งนี้เย็นที่ลานฝึกดาบ อย่ามาช้าล่ะ เป็นทหารก็ควรรักษาเวลาหน่อย”

มือหนาเก็บเบี้ยหวัดของตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ ก้มโค้งคำนับเพื่อลาองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แล้วเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกมาจากห้อง อย่างน้อยก็สบายใจไปได้เปราะนึงที่บังคับคนดื้อด้านมาฝึกทหารได้ แต่เขาก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าทุกอย่างมันจะราบลื่น

 

มือเล็กหยิบลูกเต๋าขึ้นมาจากจานรองแก้ว สัมผัสบางอย่างของพื้นผิวบนรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียกอารมณ์คุกกรุ่นของคนหน้าหวานให้พุ่งขึ้น สองเท้าวิ่งออกจากห้องโถงเอกตามคนร่างสูงไปโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่เพื่อนสาวผู้สูงศักดิ์ตะโกนบอกมา

“แทฮยองจะรีบไปไหน พรุ่งนี้อย่าลืมเอาน้ำเต้าปูปลามานะ เราเบื่อไฮโลแล้ว”

 

แทฮยองเริ่มวิ่งเร็วขึ้นเพื่อให้ตามทันโดยที่ในมือยังคงถือลูกเต๋าอยู่ ก็ใครจะไปคิดว่าจะโดนโกงด้วยวิธีเดียวกับที่ตัวเองใช้

“หยุดเดี๋ยวนี้นะท่านจองกุก” ตะโกนเสียงดังอย่างเหนื่อยหอบ เพราะคนร่างสูงขายาวและเดินเร็วจนเขาเริ่มเหนื่อย

“อากาศหนาวนะ รับไปทาแก้ปากแห้งได้” ตลับกลมเล็กถูกโยนมาจากคนข้างหน้า แทฮยองถลาเข้าไปรับมันไว้

 

สีผึ้ง…มันคือตลับสีผึ้งทาปาก ของใช้ที่ทุกคนพกติดตัวอยู่เสมอ

 

“แค่เอาสีผึ้งทาบนหน้าลูกเต๋าให้มันเหนียวๆหน่อย เพื่อให้ติดกับตัวจานรองแก้ว แล้วสุดท้ายแต้มที่ได้ก็คือหน้าตรงข้ามกับด้านที่ทาสีผึ้งเอาไว้ในตอนแรก” คนที่เคยก้าวเดินนำหน้าหยุดนิ่ง ก่อนจะหันมาสบดวงตากลมโตของคนด้านหลัง

“…”

“วิธีง่ายๆแค่นี้คิดว่าข้าจะดูไม่ออกหรือไง ก็แค่เช็ดสีผึ้งของเก่าของแล้วทามันลงไปใหม่ แทนที่จะออกเลขหกสองลูกจนกลายเป็นแต้มสูงก็เปลี่ยนเป็นออกเลขหนึ่งสองลูก ส่วนอีกลูกที่ไม่ได้ทาไม่ว่าจะออกเลขไหน สุดท้ายผลรวมก็จะกลายเป็นต่ำอยู่ดี”

แทฮยองได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจที่กลโกงของเขาถูกจับเอาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นคู่อริอันดับหนึ่งที่ให้ตายก็ไม่คิดจะลงให้

“ยอมรับเถอะว่าทั้งเจ้าและจีมินไม่มีความสามารถมากพอที่จะเป็นทหารรักษาพระองค์ขององค์หญิง การฝึกฝนครั้งนี้มันจะดีกับตัวเจ้าเอง หรือถ้าเจ้าไม่ยอมรับผลการเดิมพันจะไปบอกจีมินกับองค์หญิงว่าถูกโกงก็ได้นะ เป็นเพื่อนสนิทกันนี่ พวกเขาคงไม่โกรธหรอกถ้ารู้ว่าที่ผ่านมาถูกเจ้าใช้วิธีนี้เพื่อโกงบ่อยๆ” ร่างหนาหันหลังกลับและเริ่มก้าวเดินไปตามทางอีกครั้ง ไม่สนใจคนที่ยืนทึ้งผมตัวเองอย่างอารมณ์เสีย ก็ถือว่าเขาชนะอย่างขาดลอยแล้วล่ะกับการเดิมพันรอบนี้

 

ใส่ความเห็น