องค์รักษ์กุกวี

EP. 14 : พระราชสาส์นจากแดนไกล

เสียงดังเราะสดใสดังขึ้นภายในตำหนักเล็กๆขององค์หญิงยูจองที่ตอนนี้สองเพื่อนสนิทกำลังอารมณ์ดีไปกับคุกกี้ชิ้นเล็กๆซึ่งแทฮยองพกมาจากบ้าน

“ทำไมวันนี้ทำไมท่านโฮซอกยังไม่มาสอนล่ะ” เพราะนาฬิกาลูกตุ้มข้างผนังที่เลยเวลาเรียนมาหลายนาทีแล้วแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอาจารย์ที่ปกติจะตรงต่อเวลาเหลือเกินอย่างท่านโฮซอก องค์หญิงยูจองเลยอดแปลกใจไม่ได้

“สงสัยยังติดประชุมอยู่มั้งขอรับ เมื่อเช้าพี่ซอกจินก็รีบออกจากบ้านเพราะเห็นว่าองค์ชายนัมจุนเรียกประดุมด่วนเรื่องพระราชสาส์นที่ถูกส่งมาจากเมืองเวสแลนด์ด้วย”

“เมืองเวสแลนด์ที่จีมินอยู่ตอนนี้สินะ” เพราะการเมืองยังเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเด็กอายุ 16 ทุกสิ่งทุกอย่างจึงตกอยู่ภายใต้การดูแลจัดการของท่านพ่อและพี่ชายจนหมด องค์หญิงยูจองถึงสามารถใช้ช่วงเวลาในวัยเด็กอย่างสนุกสนานไปกับเพื่อนสนิทไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่เหมือนคนอื่น

“ว่าไปก็คิดถึงจีมินเนอะองค์หญิง ถ้าอยู่ด้วยกันคงสนุกกว่านี้” กับชื่อจีมินที่เรียกความคิดถึงของแทฮยองให้หวนกลับมาทันทีที่ได้ยิน จนแม้แต่จดหมายที่นานๆจะได้รับก็เริ่มทดแทนกันไม่ได้

“เอาน่า รออีกนิดเถอะ เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว” น้ำเสียงเบาๆขององค์หญิงที่แทฮยองรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็คงเฝ้านับวันเวลาที่จะได้เจอเพื่อนตัวเล็กอีกครั้งไม่ต่างจากเขา เพียงแต่แทฮยองเองก็ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่

 

วังหลวงที่เคยเงียบสงบกลับดูสับสนวุ่นวาย องค์หญิงยูจองเองก็ไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ หลังได้ยินว่าพี่นัมจุนเรียกประชุมในตอนเช้า ซึ่งทั้งท่านพ่อและท่านแม่เองก็เข้าร่วมการประชุมด้วย แต่พอตกบ่ายคุณข้าหลวงกลับมารายงานว่าท่านแม่ของเธออาการไม่ค่อยดีนัก

“ท่านแม่ เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” องค์หญิงนั่งลงที่พื้นข้างเตียงนอนหลังใหญ่ เธอยื่นมือไปกุมมือบอบบางขององค์ราชินีไว้จนรู้ว่ามันเย็บเฉียบกว่าปกติ มองเปลือกตาสีอ่อนขยับเบาๆก่อนจะเปิดขึ้นมาจนเห็นพระเนตรสีดำสนิทที่ดูหม่นหมอง องค์ราชินีกระชับมือองค์หญิงให้แน่นขึ้นก่อนจะคลายออกเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง

“ไม่มีอะไรหรอกลูก พออายุมากเลือดลมก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” น้ำเสียงหวานที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อนถูกเปล่งออกมาเรียกความกังวลของคนมองให้เพิ่มขึ้นอีก

“โธ่ ท่านแม่ยังไม่แก่สักหน่อยค่ะ ยังดูสาวมากๆเลย”

“เอาเถอะ เดี๋ยวขอแม่พักสักหน่อย อาการก็คงจะดีขึ้น” เพราะประโยคนั้นองค์หญิงยูจองถึงยอมเดินออกจากห้องบรรทมทั้งที่ๆที่ยังเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่จางหายถึงพระพักตร์ขององค์ราชินีที่หม่นหมองไร้ซึ่งความสดใสดังปกติ

 

หลายวันผ่านไปถึงแม้หมอหลวงจะบอกว่าอาการขององค์ราชินีไม่มีอะไรร้ายแรงนักแต่องค์หญิงก็ยังไม่เห็นว่าท่านแม่ของเธอจะอาการดีขึ้นสักนิด สุดท้ายเมื่อร้อนรนจนอยู่เฉยไม่ได้ คนเดียวที่องค์หญิงยูจองนึกออกจึงมีแต่พี่นัมจุนเท่านั้น

ภายในตำหนักขององค์ชายนัมจุนยังเหมือนเดิมทุกอย่าง มีทหารและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนแวะเวียนเข้าออก เพียงแต่วันนี้ที่สีหน้าทุกคนดูเคร่งเครียดผิดปกติ

“องค์ชายติดประชุมอยู่ องค์หญิงคงต้องรอสักครู่นะขอรับ” น้ำเสียงนุ่มนวลของท่านโฮซอกซึ่งเข้ามาบอกเมื่อเห็นลูกศิษย์ที่คุ้นเคยดีเดินเข้ามาในตำหนัก

“ทำไมพี่ชายประชุมบ่อยจังเลยคะ” เอ่ยถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่ทำงานคลุกคลีกับพี่ชายของเธออย่างใกล้ชิด

“ช่วงนี้สถานการณ์หลายอย่างไม่ดีขอรับ การสร้างเขื่อนก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะงบประมาณที่ไม่เพียงพอ แล้วองค์ชายเองก็มีเรื่องใหญ่ที่ต้องตัดสินใจ ต้องหาทางแก้ด้วย” สายตาคมมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สบสายตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาของวัยเด็ก

“เรื่องอะไรคะ”

“องค์หญิงรอถามองค์ชายเองดีกว่าขอรับ” โฮซอกก้มหน้านิ่ง กับบางเรื่องก็ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะตัดสินใจได้

 

“พี่นัมจุน” ยูจองส่งเสียงเรียกพี่ชายที่นั่งอยู่คนเดียวภายในห้องประชุมที่กว้างขวางหลังจากที่คนอื่นๆเดินออกไปหมดแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดเงยขึ้นมาจนสามารถเห็นดวงตาที่ฉายแววเหนื่อยล้าได้อย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นองค์ชายนัมจุนก็ยังส่งยิ้มที่ราวกับปลอบประโลมว่ามันไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง

“พี่ดูเหนื่อยมากเลยนะคะ” องค์หญิงนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างพี่ชายตัวเอง รู้ดีว่าภาระที่พี่นัมจุนแบกไว้มากมายและยิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่ใช่แค่เพื่อประชาชน แต่เพื่อให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน

“พี่คะ มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่ปัญหาบ้านเมืองทั่วๆไปน่ะ พี่กับท่านพ่อเองก็กำลังเร่งแก้อยู่ ยูจองอย่ากังวลไปเลย” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาอีกครั้ง เพียงแต่มันไม่สามารถกลบเกลื่อนความกังวลในแววตาคมคู่นั้นได้

“บอกยูจองได้มั้ยคะ ถึงจะช่วยแก้อะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อาจช่วยรับฟังได้บ้าง”

“ไม่มีอะไรจริงๆ เรื่องของผู้ใหญ่น่ะ เด็กอย่างยูจอง…”

“แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่ของเรา ถึงจะยังเด็กก็ใช่ว่าจะปัดความรับผิดชอบได้นี่ค่ะ” ที่ผ่านมาเธอถูกพร่ำสอนเสมอว่าการเกิดเป็นองค์หญิงที่มีฐานันดรยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น แท้จริงแล้วความยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้หมายถึงอำนาจและฐานะ แต่หมายถึงหน้าที่ความรับผิดชอบต่างหาก หน้าที่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หน้าที่ที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตและลมหายใจของเธอเสียอีก

“ถ้ามันเกี่ยวพันกับเคปแลนด์ที่เป็นบ้านของยูจอง เกี่ยวพันกับพี่ชายของยูจอง กับท่านแม่ของยูจอง แล้วทำไมยูจองถึงไม่ควรรู้ล่ะคะ” ร่างสูงนิ่งสนิทสบมองดวงตาที่มักทอประกายสดใสอยู่เสมอ เพราะยูจองคือความสดใสของทุกคนในวังหลวง ที่ผ่านมาเขาถึงพยายามจะปกป้องความสดใสนี้เอาไว้ จนลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายเองก็ควรจะได้รับรู้ปัญหาทั้งหมด อย่างน้อยก็เพื่อช่วยกันปกป้องสิ่งที่สำคัญที่สุด คือเคปแลนด์ที่เป็นบ้านของเขา และประชาชนซึ่งเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน

“เอาล่ะพี่ยอมแพ้แล้ว พี่จะเล่าให้ยูจองฟังเอง ทุกเรื่องที่ยูจองควรรู้”

“…”

“โครงการสร้างเขื่อนกั้นน้ำมันเกินจากงบประมาณที่คาดคิดไว้มาก แล้วยังภัยธรรมชาติที่ทำให้ต้องเบิกเงินในท้องพระคลังไปใช้บรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนด้วย ไหนจะต้องงดเก็บภาษีเพราะพวกเขาคงหาเงินมาจ่ายเราไม่ไหว ทั้งหมดเพราะพี่วางแผนจัดการไม่ดีเองเงินในท้องพระคลังเลยเหลือน้อยมากจนต้องหยุดการสร้างเขื่อนไว้ก่อน ทั้งๆที่ควรจะรีบทำให้เสร็จเพื่อป้องกันน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังจะมาถึง”

“…”

“เมื่อหลายวันก่อนมีพระราชสาส์นจากเมืองเวสแลนด์มาขอเจริญสัมพันธไมตรีกับเมืองเรา เมืองเขาไม่มีพื้นที่ติดกับทะเลเลยลำบากเรื่องการคมนาคมและค้าขายกับแผ่นดินอื่น สุดท้ายเลยยื่นขอเสนอขอใช้เส้นทางการขนส่งออกทะเลแบบถาวรโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า โดยแลกกับเงินและเครื่องบรรณาการมหาศาลที่จะใช้เป็นสินสอดสำหรับพระราชพิธีอภิเษกสมรสของน้องกับองค์ชายของเมืองนั้น”

“อภิเษกสมรส” กับใจความที่ได้ยินเหมือนมีอะไรสักอย่างที่มาตีแสกหน้าจนองค์หญิงยูจองมึนงงไปหมด สำหรับเด็กสิบหกอย่างเธอที่เอาแต่เล่นสนุก ไม่เป็นโล้เป็นพาย การแต่งงานจึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่ในหัว

“ยูจองอ่า จริงอยู่ว่าการแต่งงานมันเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีที่ดีที่สุดและส่งผลดีกับทั้งสองฝ่าย แต่เพราะมันคือทั้งชีวิตของน้องพี่ มันคือความสุขของยูจองหลังจากนี้ พวกเราถึงเลือกที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดด้วยวิธีอื่น”

“พี่นัมจุน” สัมผัสเบาๆที่วางลงบนหัว ฝ่ามือใหญ่ที่ยูจองรู้ดีว่ามันมีไว้เพื่อแบกภาระที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน

 

ทันทีที่เดินออกมาจากห้องประชุมองค์หญิงยูจองก็เจอกับรอยยิ้มอบอุ่นของคนที่ยืนรออยู่ พร้อมกับความห่วงใยที่ถูกส่งมาภายใต้รอยยิ้มนั้น

“พี่นัมจุนเล่าเรื่องพระราชสาส์นให้ฟังแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้สถานการณ์มันแย่มากเลยหรอคะ” ยูจองเล่าให้คนที่เดินเคียงข้างกันมาอย่างเงียบๆฟัง ที่ผานมาเธอไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมืองนัก ถึงไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมาก

“จริงๆก็พอสมควรขอรับ ยังไงเราก็ต้องรีบหางบประมาณเพื่อมาสร้างเขื่อนให้ทัน เพราะถ้าน้ำท่วมใหญ่มา ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นอีก หรือถ้ามีภัยพิบัติอย่างอื่นก็ต้องใช้เงินในท้องพระคลังอีก แต่องค์หญิงไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ องค์ชายพยายามแก้ไขปัญหานี้อยู่” โฮซอกรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะปลอบให้องค์หญิงคลายความกังวลนี้

“ท่านโฮซอกถามจริงๆนะคะ เราควรตกลงแต่งงานหรือเปล่า” นอกจากพี่นัมจุนแล้ว อีกคนที่ยูจองให้ความเคารพและเชื่อมั่นเสมอคือท่านโฮซอก เพราะคุ้นเคยกันดี ถ้าเป็นคำพูดที่ออกจากปากคนๆนี้ ยูจองก็จะเชื่อ

“ความจริงควรหรือไม่ควร มันก็อยู่ที่จะมองจากมุมไหน”

“…”

“ถ้าเพราะหน้าที่ความรับผิดชอบจะบอกว่าควรก็ได้ แต่ถ้ามองในฐานะเจ้าของชีวิตหนึ่ง เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขขอรับ” แล้วถ้าเป็นไปได้ ตัวโฮซอกเองก็อยากจะช่วยปกป้องความสุขขององค์หญิงเอาไว้ แต่มันอาจเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของเขา

“นั่นสินะคะ เรามีสิทธิ์เลือกในฐานะเจ้าของชีวิต” ถึงแม้ลึกๆแล้วยูจองจะรู้ดีว่าความรับผิดชอบและหน้าที่ต้องมาก่อนความสุขของตัวเองเสมอ

 

126695005

 

ดวงตากลมโตจ้องมองคนที่นั่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทฮยองเข้าใจความรู้สึกขององค์หญิงดีถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดมันออกมา จะให้แต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็นหน้า เป็นใครก็คงทำใจไม่ได้

“องค์หญิงอย่าเครียดไปเลยขอรับ องค์ชายนัมจุนต้องพยายามเต็มที่แน่ๆ” แทฮยองเองก็ไม่อยากเห็นองค์หญิงที่นั่งเครียดแบบนี้ เขาอยากได้เพื่อนที่แสนสดใสคนเดิมกลับมา เพียงแต่เรื่องครั้งนี้มันละเอียดอ่อน แล้วตัวเขาเองก็ไร้ความสามารถ ทำได้แค่ช่วยพูดให้กำลังใจ ที่ถึงพูดไปเป็นสิบครั้งก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

“เรารู้แทฮยอง เพียงทุกอย่างมันมีเวลาจำกัดทั้งนั้น” หลายครั้งที่คนเรายอมจำนนกับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ใช่เพราะไม่มีความสามารถ แต่เพราะเวลาที่บีบบังคับ

ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองใบหน้าสวยหวานของเพื่อนสนิท แทฮยองที่อยู่ด้วยกันเสมอ ยิ่งในตอนที่ไม่มีจีมินอยู่ด้วย ยูจองก็ไม่เหลือใครแล้วนอกจากเพื่อนร่างบางคนนี้ ถึงจะรู้ดีว่าควรจะตัดสินใจแบบไหนแต่ในใจกลับกลัวเหลือเกิน ยูจองกลัวที่จะต้องจากแผ่นดินที่เรียกว่าบ้านเกิดเพื่อไปใช้ชีวิตที่อื่น ไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ไม่คุ้นเคยไม่รู้จัก ไปโดยที่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านตัวเองได้อีกแล้ว

แม้ลึกๆเธออยากจะมีใครสักคนที่รู้ใจไปอยู่เคียงข้าง แต่ก็ไม่อาจบีบบังคับอีกฝ่ายด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้

“แทฮยองอ่า ถ้าเราต้องไปจริงๆ แทฮยองจะไปกับเราด้วยหรือเปล่า”

ทำได้เพียงภาวนาให้สุดท้ายแล้วความผูกพันระหว่างเรามันมากพอที่จะเหนี่ยวรั้งไว้ให้เดินไปในเส้นทางเดียวกันต่อไปเรื่อยๆ

 

126695005

 

ต่างคน ต่างเวลา ต่างสถานที่ แต่กลับสับสนและกังวลไม่ต่างกัน จีมินมองกระดาษสีขาวแผ่นยาวที่ปราศจากตัวอักษร ความคิดและความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่ในใจแต่ไม่สามารถไล่เรียงออกมาได้เลย กับเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวเขาเองก็พอจะรู้ใจความสำคัญในพระราชสาส์นฉบับนั้นอยู่บ้าง แล้วก็พอจะเดาความรู้สึกขององค์หญิงได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนอย่างไรก็เท่านั้น กับเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้

หนึ่งอาทิตย์กับการรอคอยที่ไม่เห็นผล ถึงทุกคนจะพยายามมากแค่ไหน แต่สถานการณ์ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น แต่เพราะทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ยูจองถึงไม่คิดจะโทษใคร นอกจากตัวเองที่ช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้

ดวงตากลมโตจ้องมองพระจันทร์ผ่านหน้าต่างห้องนอน สีเหลืองนวลที่สาดส่องไปทั่วท้องฟ้าท่ามกลางหมู่ดาวยามราตรีที่มืดมิด ดูสวยงามจนอดกังวลไม่ได้ ว่าหากต้องจากสถานที่นี้ไป จะยังได้เห็นภาพสวยงามแบบนี้อยู่หรือเปล่า ทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกใบนี้ เพราะจันทร์และดวงดาวที่เห็นก็ยังคงเป็นดวงเดิมที่ไม่ต่างกันนัก หากจะมีสิ่งที่ต่างออกไปก็คงเป็นความรู้สึกของเขาเท่านั้น แทฮยองกังวลจริงๆว่าเขาต่อไปเขาจะยังมองท้องฟ้าอย่างมีความสุขเหมือนที่ผ่านมาไหม หากต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้าน

คำถามขององค์หญิงเป็นสิ่งที่แทฮยองยังไม่ได้ให้คำตอบ และองค์หญิงเองก็ไม่เคยถามมันซ้ำ แต่ไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งของราชองค์รักษ์ หรือในฐานะของเพื่อน แทฮยองเองก็ไม่อยากปล่อยให้องค์หญิงไปเพียงลำพัง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่รั้งแทฮยองไว้ให้ตัดสินใจออกไปไม่ได้ คือท่านจองกุกมากกว่า เพราะถ้าเขาเลือกจะไปกับองค์หญิง แล้วเรื่องระหว่างเขากับท่านจองกุกจะเป็นยังไง

 

ห้องทำงานขององค์ชายนัมจุนยังเหมือนเดิมตอนที่องค์หญิงยูจองเดินเข้าไปข้างใน บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารและฏีการ้องเรียนปัญหาจากราษฎรจนแก้ไม่หวาดไม่ไหว เพียงแต่วันนี้มีเพียงร่างสูงที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ ไม่ได้มีข้าราชการผู้ใหญ่หรือที่ปรึกษาคนอื่นๆนั่งอยู่ด้วย

องค์หญิงยูจองสบสายตาที่มองกลับมาด้วยความเป็นห่วง เธอยิ้มกลับไปเพื่อให้พี่ชายแน่ใจว่าการตัดสินใจของเธอหลังจากนี้จะไม่มีปัญหา ในขณะที่มือข้างนึงก็เอื้อมไปกุมมือคนข้างๆไว้แน่น

“ยูจองรู้ค่ะว่าทุกคนพยายามเต็มที่แล้ว ยูจองเองต่างหากที่ต้องขอโทษ ขอโทษที่ช่วยได้แค่นี้”

“แต่ว่า..”

“มันเป็นหน้าที่ของเรานี่ค่ะพี่ ที่ผ่านมาเรายื้อเวลามามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจสักที สถานการณ์มันควรจะดีขึ้นแล้วปัญหาทุกอย่างควรได้รับการแก้ไขได้แล้วค่ะ”

นัมจุนมองน้องสาวตัวน้อยที่เขาพยายามจะปกป้องมาตลอด ยูจองที่เป็นความสดใสที่สุดของคนในวังหลวงนี้ เพียงแต่วันนี้ที่เขาไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องน้องแล้ว กลายเป็นน้องที่หันกลับมาปกป้องทั้งเขาและประชาชนในเมืองเคปแลนด์แทน

“พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ อย่างน้อยย้ายอยู่ที่นู่นยูจองเองก็ยังมีแทฮยองอยู่ข้างๆ”

ผ่ามือใหญ่กว่าของคนที่องค์หญิงยูจองกุมไว้ พลิกมาเป็นฝ่ายกุมมือเล็กเอาไว้แทน ยูจองหันไปสบดวงตาสีน้ำตาลใสของเจ้าของฝ่ามืออุ่น รอยยิ้มสี่เหลี่ยมของแทฮยองที่ได้รับกลับมาทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

เพราะหากคำตอบขององค์หญิงคือแต่ง คำตอบของแทฮยองก็คือเขาพร้อมจะตามไปอยู่ข้างๆเพื่อนคนนี้

 

 

ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มที่สาดส่องไปทั่วลานฝึกซ้อมในช่วงเย็นย่ำยามอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ร่างบอบบางในชุดราชองค์รักษ์ที่จองกุกเห็นบ่อยๆยังคงนั่งใช้กิ่งไม้ที่หาได้แถวนั้นขีดเขี่ยพื้นทรายเป็นรูปอะไรสักอย่างที่เขาเองก็ดูไม่ออก เพราะเป็นเวลาเย็นจนทหารนายอื่นๆต่างกลับไปกันหมดแล้ว ทั่งทั้งลานจึงมีแต่คนของเขาเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่

สองขาก้าวเข้าไปเรื่อยๆจนไปหยุดยืนอยู่ข้างคนที่นั่งยองๆขีดเขียนอะไรบนพื้นทรายอยู่ แทฮยองมองเห็นปลายรองเท้าสีดำที่มาหยุดอยู่ข้างๆ มือบางทิ้งกิ่งไม้ในมือลงกับพื้น ก่อนจะพยุงตัวเองให้ยืนขึ้น

ท่านจองกุกยังอยู่ในชุดประจำตำแหน่งเช่นเดียวกับเขา ใบหน้าที่แทฮยองเคยคิดว่าหล่อเหลาตอนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่เขาก้าวเข้ามาฝึกซ้อมในลานกว้างแห่งนี้ แทฮยองยืนมองอีกฝ่ายนิ่งๆ จดจ้องดวงตาคมสีดำสนิท คิ้วโก่งเข้ม ปลายจมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากหยักหนา ทุกสิ่งที่ประกอบเป็นผู้ชายคนนี้ คือทุกสิ่งที่แทฮยองหลงรัก

ร่างบางโผเข้ากอดคนตรงหน้า แขนเรียวเล็กตวัดรัดร่างสูงไว้แน่น เขาอยากจดจำสัมผัสของคนๆนี้ให้มากที่สุด กลัวเหลือเกินว่าเวลาและระยะทางอาจจะพรากความอบอุ่นที่ได้รับนี้ให้หายไป

“ถ้าเราไปแล้ว ท่านจองกุกจะลืมเรามั้ย จะยังคิดถึงเราอยู่หรือเปล่า” จองกุกได้ยินแต่น้ำเสียงสั่นเครือของคนที่กอดเขาแน่นและลำตัวที่สั่นไหวน้อยๆจนเขาต้องเอื้อมมือไปกอดอีกฝ่ายกลับ แทฮยองในตอนนี้ไม่ได้ปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆ แต่จองกุกก็สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนหน้าอก

แทฮยองได้ยินเสียงดังตุ๊บๆเป็นจังหวะจากหน้าอกข้างซ้ายของท่านจองกุก เขาแนบหูลงให้แนบสนิทมากยิ่งขึ้น ปิดเปลือกตาลงปล่อยให้น้ำใสๆไหลออกมาไม่ขาดสาย

คิดถึง แม้แต่ในขณะที่กำลังกอดอยู่แทฮยองก็ยังคิดถึง แล้วในวันเวลาหลังจากนี้ล่ะแทฮยองจะรับมือกับความคิดถึงนี้ได้ยังไง กับคนที่ไม่สามารถเจอหน้ากันได้ ไม่สามารถจะได้ยินคำปลอบโยนและให้กำลังใจ ไม่สามารถโอบกอดได้อีกแล้ว มันไม่ใช่แค่สองสามสัปดาห์เหมือนคราวก่อน แต่มันคือตลอดไปหลังจากนี้

แทฮยองคิดว่าต่อไปเขาคงได้สัมผัสเพียงแผ่นกระดาษ และทะนุถนอมตัวอักษรที่เป็นเพียงจดหมาย เพราะคงเป็นทางเลือกเดียวที่จะได้ติดต่อกับคนๆนี้ มันคงทำให้แทฮยองหายคิดถึงได้ แล้วก็ได้แต่หวังว่ากาลเวลาและระยะทางจะไม่บั่นทอนความรักของท่านจองกุกไปเร็วมากนัก อย่างน้อยให้แทฮยองได้มีเวลามากพอที่จะทำใจ หากสักวันนึงการส่งจดหมายระหว่างเราจะสิ้นสุดลง

จองกุกค่อยๆดันร่างบางที่กอดเขาแน่นออก จนเห็นใบหน้าหวานที่ยังคงมีน้ำตาไหลไม่ขาดสาย ดวงตาคู่สวยบวมเป่งและปลายจมูกโด่งรั้นก็แดงระเรื่อ

“อย่าร้องไห้แบบนี้อีก เพราะข้าคงคอยปลอบเจ้าไม่ได้แล้ว” ปลายนิ้วเรียวเอื้อมไปเช็ดน้ำใสๆที่ปรางค์แก้มของแทฮยองออก แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหลลงมาเรื่อยๆ กับสิ่งที่จองกุกกังวลมากที่สุดไม่ใช่ความห่างไกลที่จะทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป แต่เป็นความห่างไกลที่ทำให้ไม่สามารถอยู่เคียงข้างและดูแลแทฮยองได้แล้วต่างหาก จองกุกไม่สามารถจะคอยเช็ดน้ำตาให้คนๆนี้ได้อีกแล้ว

ร่างสูงเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าหวานที่เขาหลงรัก ประทับริมฝีปากอุ่นๆลงบนเปลือกตาที่บวมเป่ง “สัญญาว่าจะไม่ลืม สัญญาว่าจะคิดถึง เจ้าเองก็ต้องสัญญานะว่าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว” ใบหน้าสวยพยักขึ้นลงอย่างถี่รัวจนจองกุกต้องจับคางอีกฝ่ายเอาไว้ให้หยุด ริมฝีปากหนาประทับซ้ำลงที่สองข้างแก้มก่อนจะเคลื่อนย้ายไปทั่วไปหน้า ไม่มีจุดไหนที่จองกุกจะไม่พรมจูบ เพราะไม่มีสิ่งไหนที่เขาไม่รัก ทุกอย่างที่เป็นแทฮยอง จองกุกรักมันทั้งหมด

 

หลังจากนั้นความวุ่นวายก็หวนกลับมาอีกครั้ง สารพัดสิ่งถูกจัดเตรียมสำหรับงานอภิเษกสมรสและขบวนเจ้าสาวที่จะเดินทางไปยังเมืองเวสแลนด์ที่อยู่ห่างออกไป หากแต่คนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดกลับเป็นองค์ชายนัมจุนที่พยายามจัดการทุกอย่างให้ออกมาดีและสมเกียรติที่สุด

ซอกจินผู้ซึ่งก้าวมาเป็นกำลังสำคัญในการรับคำสั่งและรับผิดชอบทุกอย่างที่องค์ชายนัมจุนสั่ง จองกุกมองเพื่อนคู่หูของเขาที่ทำงานด้วยกันมานาน และไม่เคยมีสักครั้งที่จะเป็นซอกจินพยายามมากมายเช่นนี้ คงเพราะหนึ่งในคนที่จะต้องร่วมขบวนเจ้าสาวคือแทฮยองด้วย ซอกจินถึงอยากจะทำทุกอย่างให้ออกมาสะดวกสบายสำหรับคนที่ต้องเดินทางไปมากที่สุด

หลายสัปดาห์ที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมแต่ก็ยังดูจะฉุกละหุกไปหมด จองกุกไม่ได้มีเวลาไปเจอแทฮยองบ่อยๆเหมือนช่วงก่อน เขาใช้เวลาที่มีไปกับการช่วยเหลือซอกจินเพื่อจัดเตรียมงานต่างๆ เพียงแต่ไม่ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเหมือนอีกฝ่าย เขาแค่อยากจะลองอะไรสักอย่างดูเท่านั้น ลองดูว่าหากวันนึงที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้ ซอกจินเพียงคนเดียวจะสามารถสนับสนุนการทำงานขององค์ชายนัมจุนได้หรือเปล่า เพราะจองกุกเองก็ห่วงเกินกว่าจะปลอยให้แทฮยองติดตามองค์หญิงยูจองไปในฐานะราชองค์รักษ์เพียงลำพัง

 

 

แทฮยองยังคงเห็นทุกฝ่ายดูวุ่นวายกันไปหมดทั้งที่กำหนดการเดินทางใกล้เขามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกกระทรวงกลาโหมซึ่งรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของขบวนเสด็จ แทฮยองเห็นพี่ซอกจินและพ่อของเขาถูกองค์ชายนัมจุนเรียกเข้าประชุมทุกวันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่กล้าพอที่จะถามถึงปัญหาที่ทุกคนกำลังเร่งจัดการกันอยู่

หลังอาหารมือค่ำจบไปแม่ของแทฮยองก็กลับเข้าครัวไปจัดการล้างถ้วยล้างชามตามปกติ แทฮยองเห็นพี่ชายและพ่อของเขาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น และในขณะที่กำลังจะเดินผ่านเพื่อขึ้นบันไดกลับห้องตัวเอง เขาก็บังเอิญได้ยินข้อความบางอย่าง

“น่าจะต้องเลื่อนกำหนดเดินทางออกไปอีกนิดนะครับพ่อ ตอนนี้คนจากเมืองนอร์ทแลนด์ทางตอนเหนือเข้ามาสอดแนมที่เมืองเราเต็มไปหมด”

“คงหวังจะโจมตีขบวนขององค์หญิงด้วยนั่นแหล่ะ ก็อย่างว่าถ้าเรากับเมืองเวสแลนด์เกี่ยวดองกัน เมืองนอร์ทแลนด์เองก็จะลำบาก วันดีคืนดีอาจถูกบีบจากทั้งสองเมืองที่อยู่รอบด้าน พวกเขาเองก็คงไม่ยอมให้เรื่องเป็นแบบนี้” สิ่งที่แทฮยองพอจับใจความได้ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น เพราะตามภูมิศาสตร์ในแผ่นดินที่พวกเขาอยู่มีเพียงสามเมืองคือเมืองนอร์ทแลนด์ทางตอนเหนือ เมืองเวสแลนด์ที่อยู่ด้านข้าง และเคปแลนด์ของพวกเราที่อยู่ตอนล่าง ในขณะที่เมืองอื่นๆอยู่ห่างออกไปโดยมีทะเลและหุบเหวมากมายคั่นอยู่ ดังนั้นเรื่องการอภิเษกครั้งนี้ ทุกฝ่ายเลยกังวลว่าเมืองนอร์ทแลนด์ที่เสียประโยชน์จะมาโจมตีขบวนเจ้าสาวได้

“องค์ชายกับองค์ราชาเองก็มีพระประสงค์ให้เลื่อนกำหนดการเดินทางออกไปอีกสักพักเหมือนกัน เพื่อเตรียมพร้อมเรื่องความปลอดภัยให้มากขึ้น ให้แน่ใจว่าพวกที่เข้ามาสอดแนมทั้งหลายจะทำอะไรไม่ได้”

“จะเลื่อนไปอีกนานไหมครับพ่อ”

“ยังไม่กำหนดแน่ชัด แต่เต็มที่ก็คงไม่เกินหนึ่งเดือน”

 

 

เหมือนเชือกที่พันรัดคอมาตลอดถูกคลายออกจนพอหายใจหายคอได้ องค์หญิงยูจองถึงยิ้มออกมาได้กว้างขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่แทฮยองเล่ามาเล่าให้ฟังในวันรุ่งขึ้น ถึงไม่อาจยกเลิกงานอภิเษกได้อย่างที่หวังไว้ลึกๆ แต่อย่างน้อยก็มีเวลาให้ทำใจมากขึ้น

“แทฮยองเองก็ดีใจนะองค์หญิง มันฉุกละหุกจนทำใจลำบาก ต้องไปอยู่ที่อื่น ไปเรียกที่อื่นว่าบ้าน ต้องจากครอบครัว จากคนที่..รัก มันก็ทำใจไม่ค่อยได้อ่ะ” ทั้งที่แทฮยองเองก็อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับท่านจองกุกให้มากที่สุดก่อนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก แต่อีกฝ่ายเองก็ดูจะวุ่นวายกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ จนแทฮยองเองก็ได้แต่คิดน้อยใจอยู่ลึกๆ

“อืม เราเองก็ทำใจลำบากเหมือนกันแหล่ะ มันคือทั้งชีวิตของเราเลยนะที่ต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยเห็นหน้า”

“เอาเถอะองค์หญิง ตอนนี้มีเวลาเพิ่มอีกนิด เราก็สนุกกันให้เต็มที่เถอะขอรับ ถึงเวลาค่อยกลับไปเครียดอีกครั้ง”

“นั่นสินะ เครียดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ นี่แทฮยอง คิดถึงสมัยก่อนจังนะ ที่เราสามคนแอบหนีออกไปเที่ยวนอกวังกันบ่อยๆ ตอนนี้ไม่ได้ไปนานแล้ว ไปกันอีกสักครั้งมั้ย เป็นการส่งลา การหนีเที่ยวครั้งสุดท้ายของพวกเราไง”

“หนีเที่ยวครั้งสุดท้ายหรอขอรับ” เพราะหลังจากนี้คงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วสินะ คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตสนุกๆ ไม่มีโอกาสทำตามใจแบบนี้แล้ว

“เอาสิองค์หญิง ไปไหนไปกันขอรับ”

ใส่ความเห็น