องค์รักษ์กุกวี

EP. 15 : เที่ยวครั้งสุดท้าย

Walking with a friend in the dark is better than walking alone in the light.

‘การเดินไปพร้อมกับเพื่อนในความมืด ดีกว่าการเดินคนเดียวในแสงสว่าง’

– Helen Keller –

 

 

หนุ่มน้อยหน้ามนในชุดลำลองสบายๆ พร้อมกับผ้าโพกหัวสีอ่อน องค์หญิงสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจกบานใหญ่ที่อยู่ในห้องเช่นเคย นึกใจหายไม่น้อยเมื่อนึกได้ว่ามันจะกลายเป็นการหนีเที่ยวนอกวังครั้งสุดท้าย เก็บภาพบรรยากาศเมืองเคปแลนด์ที่เธอรัก ก่อนจะไปใช้ชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่ไม่คุ้นเคยสักนิด มือเล็กตบปุๆลงบนเสื้อสีเหลืองอ่อนและกางเกงขายาวสีเข้มที่ใส่อยู่ เสื้อผ้าที่จีมินเคยทิ้งไว้ให้และมันก็ไม่ใหญ่เกินไปนักสำหรับเธอ ก่อนจะก้าวออกจากห้องไปพบกับเพื่อนสนิทที่นัดหมายกันเอาไว้

แทฮยองอยู่ในชุดที่ไม่ต่างกันนักเพียงแต่ไม่มีผ้าโพกหัวเพื่อเก็บซ่อนผมที่ยาวเหมือนของเธอ เพื่อนตัวบางยื่นมือข้างซ้ายมาให้แล้วเธอก็วางมันลงไปอย่างไม่ลังเล กับมือข้างนี้ที่พร้อมจะจูงไปด้วยกันในทุกๆที่ ไม่ว่าจะในอดีต หรืออนาคตที่มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า แต่แค่มีแทฮยองอยู่ข้างๆ ความกังวลและอึดอัดเหมือนมีควันบางๆรอบล้อมอยู่ก็คล้ายจะสลายหายไปได้ง่ายๆ แค่มีคนที่เข้าใจอยู่ข้างกัน ไม่ว่าจะในสถานการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหน ก็เพิ่มความอบอุ่นในหัวใจได้เสมอ

วันนี้ที่ประตูวังมีทหารเฝ้ายามมากเป็นพิเศษ ยูจองคิดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะเรื่องที่แทฮยองเล่า ทุกฝ่ายดูกังวลเรื่องการรักษาความปลอดภัยเอามากๆ

“อ้าว ท่านราชองค์รักษ์กำลังจะไปไหนหรอครับ” ทหารยามทักทายแทฮยองซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาดีเพราะเดินทางเข้าออกประตูวังบ่อยๆ ในขณะที่ยูจองได้แต่ก้มหน้าให้ต่ำที่สุด ภาวนาให้เหล่าทหารไม่ช่างสังเกตเกินไปจนจำเธอได้

“กำลังจะออกไปซื้อของในเมืองน่ะ”

“ระวังตัวด้วยนะครับท่านราชองค์รักษ์ ช่วงนี้มีคนต่างเมืองเข้ามาสอดแนมมาก ขนาดประตูวังยังถูกสั่งให้เพิ่มกำลังมากขึ้นตั้งหลายเท่าเลย”

“อื้อ ขอบใจที่เตือนนะ” แทฮยองตอบกลับไปก่อนจะดึงองค์หญิงยูจองซึ่งก้มหน้าก้มตาหลบอยู่ด้านหลังให้รีบเดินตามมา โชคดีที่ทั้งตำแหน่งของเขาและของครอบครัวค่อนข้างจะมีใหญ่โตมีหน้ามีตา การเข้าออกวังหลวงเลยไม่ได้ถูกจับผิดมากมายนัก

“ฟู่” องค์หญิงพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ทุกอย่างยังคงง่ายดายไม่ผิดจากปกติ ในตอนนี้ภาพรอบตัวจึงเป็นบรรยากาศในเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านเช่นเคย มีร้านค้ามากมาย มีสินค้า อาหารและของใช้ขายอยู่ริมข้างทาง

“องค์หญิงอยากไปไหน” แทฮยองหันมาถามองค์หญิงยูจองที่ยืนอยู่ข้างๆ นึกอยากตามใจเพื่อนตัวเล็กที่หลังจากนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้มาใช้ชีวิตสนุกๆแบบนี้อีกแล้ว ลำพังตัวเขาเองที่ต้องติดตามองค์หญิงยูจองไปอยู่เมืองเวสแลนด์ยังไม่เท่าไหร่ เพราะอย่างน้อยคงมีอิสระมากกว่า

“เราหิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

ร้านบัวลอยร้านเดิมยังคงมีคนแน่นเพราะตั้งอยู่หน้าสนามม้าซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของชาวเมืองที่ต้องการเสี่ยงโชค บัวลอยหลายชามถูกสั่งมาวางบนโต๊ะ ก่อนที่การแข่งขันระหว่างสองเพื่อนสนิทจะเริ่มขึ้น

“ใครกินหมดทีหลังจ่ายนะองค์หญิง”

“ได้สิ งั้นเริ่ม” แป้งบัวลอยลูกแล้วลูกเล่าถูกยัดใส่ปากเล็กๆจนต่างฝ่ายต่างเคี้ยวกันแก้มตุ่ย เสียงสำลักยามที่เร่งกลืนมากเกินไปจนติดคอ เสียงหัวเราะเยาะอาการของเพื่อนดังขึ้นเป็นพักๆ จนจบลงตอนที่องค์หญิงหยิบเหรียญเงินในกระเป๋าขึ้นมาจ่ายค่าบัวลอยให้แม่ค้า

“เราเลี้ยงบัวลอยแทฮยองจนเงินหมดแล้วเนี่ย”

“เดี๋ยวแทฮยองซื้อตั๋วม้าแข่งให้องค์หญิงไง อยากแทงเบอร์ไหนก็ได้ แทฮยองพกเหรียญมาเยอะเลยนะ” แล้วภาพเดิมๆก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีเพื่อนตัวเล็กอย่างจีมินมาร่วมด้วย แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศแสนวุ่นวายภายในสนามม้าแข่งก็ยังมอบความความสนุกสนานให้สองเพื่อนสนิทที่ก้าวเข้าไปในนั้นอยู่ดี

น่าเสียดายที่ครั้งนี้ดวงไม่ดีเหมือนคราวก่อน แทฮยองกับองค์หญิงถึงเสียเงินไปกับม้าแข่งหลายเที่ยวโดยไม่ได้อะไรผลตอบแทนอะไรกลับมา นอกจากความสนุกที่พอจะคุ้มค่ากับเหรียญเงินที่แทฮยองต้องควักออกจากกระเป๋า

“เย็นมากแล้วล่ะองค์หญิง เราไปเดินเที่ยวตลาดกันดีกว่า แล้วค่อยกลับวังกันนะ” เพราะใช้เวลาในสนามม้าไปมากจนท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ริมสองข้างทางที่ตอนกลางวันมีร้านค้าขายของบัดนี้ก็คึกคักมากขึ้น ผู้คนต่างออกมาจับจ่ายใช้สอย จนได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของพ่อค้าแม่ค้าไม่หยุด

“แทฮยองไปดูร้านนั้นกันเถอะ” องค์หญิงดึงมือเพื่อนสนิทไปยังแผงร้านค้าซึ่งเป็นแคร่ยาวและปูด้วยผ้าขนสัตว์อย่างดี ด้านบนเรียงรายไปด้วยเครื่องประดับจำพวกพวกสร้อยข้อมือ แหวน และลูกแก้ว

“สวยจังเลยแทฮยอง” ลูกแก้วหลากสีสัน ส่งแสงสะท้อนกับโคมไฟที่ประดับอยู่จนเป็นประกายระยิบระยับ แทฮยองมองลูกแก้วลูกเล็กซึ่งถูกเจาะรูตรงกลางสำหรับร้อยทำสร้อยคอ สร้อยข้อมือที่วางอยู่บนผ้าขนสัตว์ พอสะท้อนแสงจนเป็นประกายแบบนี้เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสวยมากแค่ไหน

“ถ้าองค์หญิงอยากได้เดี๋ยวแทฮยองซื้อให้ เอาไว้ไปร้อยเป็นสร้อยข้อมือไง” หลังได้ยินประโยคนั้นดวงตายิบหยีก็โค้งขึ้นจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว แทฮยองหยิบเหรียญเงินในกระเป๋ายื่นให้พ่อค้า ก่อนจะรับลูกแก้วหลากสีสันซึ่งถูกบรรจุลงในถุงผ้าสีแดงมาถือไว้

องค์หญิงยูจองรับมันไปจากแทฮยอง อดไม่ได้ที่จะเปิดถุงผ้าดูลูกแก้วบ่อยๆ ถึงแม้ในวังจะมีเครื่องประดับมากมายที่มีค่ามากกว่า แต่องค์หญิงก็เลือกจะซื้อมันกลับมาเพียงเพราะสวยถูกใจและเป็นของที่ระลึกสำหรับการหนีเที่ยวครั้งสุดท้าย

 

แสงไฟจากสองข้างทางเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆเมื่อเดินออกห่างจากตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน แทฮยองมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มลงเพราะเวลาที่ล่วงเลยไปเรื่อยๆ เขาควรจะพาองค์หญิงกลับเข้าวังได้แล้ว แล้วหลังจากวันนี้ก็คงต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติก่อนที่เข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

สองข้างทางยังคงมีบ้านคนเป็นระยะๆแต่ไม่มากเท่าตลาดในตัวเมืองที่ผ่านมาแล้ว แทฮยองกับองค์หญิงเดินคู่กันมาเรื่อยๆ พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ไปผจญภัยกันอยู่สองคน เล่าถึงบรรยากาศตลกๆยามส่งเสียงให้กำลังใจม้าแข่งที่เลือกแทงไว้แต่ก็ไม่ได้ผล

“เฉียดไปทุกครั้งเลย อีกนิดจะชนะแต่ก็แพ้ตลอด”

“ก็องค์หญิงก็ไม่ยอมเลิกนี่ขอรับ บอกจะเอาคืนให้ได้ สุดท้ายก็เสียเงินเพิ่มอีก” แทฮยองเย้าเพื่อนผู้สูงศักดิ์เล่น เสียงหัวเราะของทั้งสองคนดังประสานกันไปในเส้นทางเส้นเล็กที่เงียบสงัดด้วยไม่มีผู้คนผ่านไปมาเท่าไหร่

“นี่แทฮยอง ขอบใจมากนะ” องค์หญิงหันไปบอกเพื่อนตัวบางถึงสิ่งที่เธออยากจะพูดมันออกมาเสมอ

“ไม่เป็นไรขอรับ แทฮยองเองก็อยากออกมาเที่ยวเหมือนกัน”

“ไม่ใช่แค่เรื่องวันนี้ แต่เป็นทุกๆเรื่อง ขอบใจที่อยู่ด้วยกันเสมอ” เพราะไม่ว่าต่อไปจะต้องเจออะไร แต่แค่มีแทฮยองอยู่ด้วย เธอก็พร้อมที่จะรับมือกับมันแล้ว

“สลับกันถ้าเป็นแทฮยอง องค์หญิงก็คงไม่ทิ้งแทฮยองเหมือนกัน ขนาดตอนตกจากต้นไม้ องค์หญิงยังวิ่งเข้ามารับโดยไม่กลัวเจ็บเลย”

“นั่นสินะ ก็เราเป็นเพื่อนรักกันนี่” เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นมาอีกแล้ว เป็นอีกช่วงเวลาเล็กๆที่ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงความสุข ความสุขที่มีกันและกันอยู่ข้างๆ

เพียงแต่บางครั้งความสุขก็สั้นเกินกว่าที่เราจะคาดถึง

“คะ..ใครน่ะ” แทฮยองดันองค์หญิงไปหลบด้านหลัง กลุ่มคนในชุดสีดำสนิทสามคนที่โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้ค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มือเล็กๆขององค์หญิงจับประสานเข้ากับมือของแทฮยองที่ยืนบังอยู่ มันเย็นเฉียบและสั่นไหวไม่ต่างกันเลย

“หึ หึ” มีเพียงเสียงหัวเราะเย็นๆที่ตอบกลับมา ก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ บางอย่างถูกดึงออกมาจากในอกเสื้อ และเมื่อมันสะท้อนเข้ากับแสงไฟเพียงเล็กน้อยที่อยู่ริมทาง แทฮยองก็รู้ได้ว่ามันคือมีด

“องค์หญิง..วิ่ง” ร่างบางหันไปผลักเพื่อนตัวเล็กให้กลับหลังแล้วออกวิ่ง ฝ่ามือที่ใหญ่กว่ากระชับมือเล็กให้แน่นขึ้นจนสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นจากเหงื่อที่ไหลชุ่มของพวกเขาทั้งคู่ เสียงฝีเท้าวิ่งตามมาไม่ลดละ แทฮยองเองก็ได้วิ่งนำหน้าเพื่อออกแรงดึงรั้งองค์หญิงให้วิ่งตามมาให้เร็วกว่าเดิม

ยูจองพยายามก้าวเท้าให้เร็วขึ้น ร่างเล็กหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ และเมื่อหันไปมองด้านหลังก็เห็นระยะห่างของผู้ชายกลุ่มนั้นที่ลดลงมาเรื่อยๆ มือของเธอที่จับมือกับแทฮยองเริ่มสั่น ในขณะที่อีกมือก็กำถุงผ้าแน่นจนเจ็บเพราะเนื้อลูกแก้วแข็งๆ

“ช่วยด้วย มีโจร ใครก็ได้ช่วยที” ถึงจะร้องตะโกนดังแค่ไหน แต่แทฮยองก็รู้ได้ถึงทางรอดที่มีน้อยลงเรื่อยๆ กับกลุ่มผู้ชายที่ถึงจะไม่รู้จักแต่ดูก็รู้ว่าไม่ได้มาดีแน่ๆ

“อ..องค์หญิง แบบนี้ไม่ไหว เดี๋ยวองค์หญิงวิ่งตรงไปนะ กลับไปที่คนเยอะๆ ขอความช่วยเหลือ แทฮยองจะถ่วงเวลาพวกมันไว้” เขารู้ดีว่าถึงวิ่งหนีไปแบบนี้ก็คงไม่รอด ด้วยความแข็งแรงที่ต่างกัน อีกฝ่ายเหมือนจะได้รับการฝึกฝนมาดี แล้วสำหรับแทฮยองแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัยขององค์หญิง

“ม..ไม่เอา” องค์หญิงยูจองส่ายหน้าถี่รัว มือเล็กกุมมือใหญ่กว่าของเพื่อนสนิทแน่น ลำพังตัวแทฮยองจะถ่วงเวลาพวกนั้นได้ยังไง แล้วเธอเองก็กลัวเกินกว่าจะหนีไปคนเดียว อย่างน้อยถ้าต้องสู้ ก็อยากให้ได้สู้อยู่ด้วยกันข้างๆ

“ไม่ได้ ไปเร็ว!!!” แทฮยองสะบัดมือขององค์หญิงทิ้ง ดันร่างเล็กให้ออกวิ่งไปข้างหน้า แต่องค์หญิงยูจองกลับหยุดนิ่งไม่ยอมก้าวไปไหน

“ขอร้องนะองค์หญิง หนีไปเถอะ สิ่งที่พวกมันต้องการก็คือองค์หญิงนะ” เพราะสายตาอ้อนวอนที่ส่งมา ยูจองถึงก้าวเท้าออกวิ่งอีกครั้ง น้ำตาหยดโตไหลอาบหน้า กลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวแทฮยองจะเป็นอะไรไป กลัวว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งคู่จะไม่มีใครหนีรอดสักคน

แทฮยองหันกลับมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนชุดดำอีกครั้ง ทันทีที่อีกฝ่ายวิ่งเข้ามาและตวัดปลายมีด แทฮยองเองก็ขยับตัวหนี

แคว้ก เสียงคมมีดเฉือนเข้าที่ปลายแขนเสื้อจนกรีดโดนผิวเนื้อเป็นรอยยาวและเลือดสีแดงก็เริ่มไหลซิบๆ ผู้ชายกลุ่มนั้นมองหน้ากันก่อนจะกรูเข้ามาล้อมเขา แทฮยองได้แต่ภาวนาให้ตัวเองอดทนได้นานพอจะถ่วงเวลาให้องค์หญิงไปขอความช่วยเหลือ

ฉับ ปลายมีดที่ตวัดลงมาครั้งที่สองไม่มีพลาดเหมือนครั้งก่อน มันคมจนสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดลงบนหน้าท้อง และเรียกเลือดสีแดงฉานให้ไหลลงมาไม่หยุด

แทฮยองทรุดตัวลงกับพื้น มือสองข้างกุมท้องตัวเอง ความเจ็บปวดทำให้ความกลัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นน้ำตาที่เอ่อออกจากดวงตากลมสวย กลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปเจอเพื่อนที่รัก ไม่ได้เจอคนในครอบครัว ไม่ได้เจอแม้กระทั่งท่านจองกุกอีก

‘องค์หญิงต้องรอดนะ’ แทฮยองได้แต่ภาวนาในใจเป็นสิบๆครั้ง นึกโทษตัวเอง อย่างน้อยตอนที่เขามีโอกาสได้ฝึกฝนการต่อสู้กับท่านจองกุก ถ้าตั้งใจให้มากทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้

‘ยอมรับเถอะว่าทั้งเจ้าและจีมินไม่มีความสามารถมากพอที่จะเป็นทหารรักษาพระองค์ขององค์หญิง’ ประโยคเดิมๆที่วันนี้แทฮยองยอมรับแล้ว เขาเองที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ตั้งแต่แรก ไม่เคยแม้แต่จะพยายามทำตัวเองให้เหมาะสมด้วยซ้ำ เขาเองที่สุดท้ายก็ปกป้องใครไม่ได้

“โทษนะเจ้าหนู แต่เจ้าโชคร้ายเอง” แสงสีเงินสะท้อนเข้าตาอีกครั้งเมื่อมีดถูกยกขึ้น แทฮยองปิดตาสนิท วินาทีที่ความตายกำลังจะมาเยือน มีเพียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำและบีบตัวอย่างหนักหน่วงรอเวลาที่จะหยุดลงเท่านั้น

“แทฮยองง!!” แทฮยองได้ยินเสียงเรียก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงของคนที่เขาเฝ้าภาวนาให้หนีไปให้รอด

“องค์หญิง?”

“ขอโทษที่เราหนีไปไม่ได้จริงๆ” ห่างออกไปคือองค์หญิงยูจองที่ยืนอยู่ แทฮยองขอให้ตัวเองตาฝาด ขอให้ตรงหน้าคือภาพที่เขาสร้างขึ้น แต่พอเห็นชายชุดดำที่พากันมุ่งตรงไปจุดที่องค์หญิงยืนอยู่ แทฮยองก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะวิ่งกลับมาจริงๆ

“ฮ..ฮืออ” เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากร่างเล็กในขณะที่สองเท้าก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆเมื่อคนชุดดำเดินเข้ามาใกล้ แทฮยองพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีอยู่เพื่อจะลุกไปช่วยองค์หญิง เพียงแต่เลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดทำให้เขาแทบไม่มีแรงเหลือ

“ม..ไม่นะ ไม่ อย่า!!” วินาทีที่ปลายมีดจ้วงแทงลงไปบนร่างกายขององค์หญิง ก่อนจะถูกดึงออกมาจนหยดเลือนกระเซ็นไปทั่ว แทฮยองเห็นร่างของเพื่อนถูกแทงต่อหน้าต่อตาสองสามครั้งจนทรุดลงกับพื้น แล้วผู้ชายพวกนั้นก็เลือกจะหลบหนีไป ทิ้งไว้เพียงมีดซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดสีแดง

แทฮยองปล่อยให้น้ำตาไหลออกมามากขึ้น หัวใจบีบรัดจนเจ็บยิ่งกว่าตอนที่โดนคมมีดเฉือนลงที่ท้องเสียอีก เขาค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เพื่อนผู้สูงศักดิ์ที่นอนอยู่บนพื้น บีบจับมือเล็กที่เย็นจนเกือบไร้ไออุ่น

“ฮืออ องค์หญิง องค์หญิงไม่เป็นไรนะ” ดวงตาที่เคยโค้งขึ้นเป็นพระจันทร์เสี้ยวตอนนี้หรี่ลงจนเกือบจะปิด แต่ก็ยังพยายามส่งยิ้มกลับมาให้ แทฮยองช้อนร่างของเพื่อนเข้ามาในอ้อมแขน ร่างกายขององค์หญิงเย็นเฉียบและเหนียวเหนอะหนะไปด้วยเลือดสีแดงซึ่งไหลออกมามากมายจนย้อมชุดที่ใส่อยู่ มือบางถูกยื่นออกไปพยายามจะกดเอาไว้ไม่ให้เลือดไหลออกมามากขึ้น

“ฮ..ฮึกก..เดี๋ยวแท..แทฮยอง..จะพาองค์หญิงกลับนะ..ฮึกก..กลับไปหาหมอหลวง…หมอต้องช่วยองค์หญิงได้แน่” แทฮยองใช้มือที่เต็มไปด้สนเลือดปาดน้ำตาบนหน้าตัวเองออก พยายามแบกร่างเล็กขององค์หญิงยูจองขึ้นบนหลัง ถึงแม้จะเจ็บแผลที่ท้อง ถึงแม้จะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ แต่เขาก็ต้องพาองค์หญิงกลับวังให้ได้

“แท..แทฮยอง” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหู แทฮยองพยายามก้าวเท้าที่หนักอึ้งของตัวเองไปทีละนิด ถึงแม้มันจะสั่นไหวจนเกือบจะพาองค์หญิงทรุดลงไปกับพื้น

“องค์หญิง..เจ็บมั้ย”

“อื้ออ เจ็บ เจ็บมากเลย”

ถึงจะพยายามไม่ร้องแต่แทฮยองก็ร้องไห้ออกมาจนได้ ยิ่งได้ยินว่าองค์หญิงเจ็บแทฮยองเองก็ยิ่งเจ็บ ความเปียกชื้นที่หลังทำให้เขาหวาดกลัวมากขึ้น ยิ่งได้เห็นหยดเลือดที่หยดลงบนพื้นตลอดทางเดินที่เขาเดินผ่าน แทฮยองก็ยิ่งใจไม่ดี

“อดทนนะองค์หญิง เราจะกลับวังกันนะ” เราที่ไม่ใช่แค่ตัวเขาเท่านั้น แต่หมายความถึงเราทั้งคู่

องค์หญิงยูจองใช้ปลายนิ้วที่เย็นเฉียบลูบข้างแก้มของคนที่แบกเธออยู่ รับรู้ได้ถึงทุกย่างก้าวที่ขยับไปอย่างเชื่องช้า “แทฮยอง มันมืด เรามองไม่เห็น”

“…” แทฮยองมองแสงไฟที่ส่องประปรายอยู่ข้างทาง ประโยคที่ได้ยินราวกับทำลายความเข้มแข็งที่เหลืออยู่ให้หายไปหมด

“แต่ดีจริงๆ ที่ในความมืด มีแทฮยองอยู่”

“ฮืออ” เสียงสะอื้นไห้ดังจนองค์หญิงอยากจะเอื้อมมือไปปลอบเพื่อนของเธอ เพียงแต่เรี่ยวแรงเหมือนหายไปทีละนิด แม้แต่ถุงถูกแก้วที่กำไว้ก็เหมือนจะหลุดออก

“อ..อย่าร้อง..ม..ไม่เป็นไร เราจะอยู่กับแทฮยอง” เพราะเจ็บและเหนื่อยเหลือเกิน ยูจองถึงยอมปิดเปลือกตาลงช้าๆ คงอีกไม่นานที่จะกลับไปถึงบ้านอีกครั้ง บ้านที่มีทุกคนรออยู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่นัมจุน ขอแค่ได้พักสักนิดเท่านั้น แล้วค่อยตื่นขึ้นมาเล่นสนุกกับเพื่อนอย่างแทฮยองและจีมินอีก

ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ เสียงลูกแก้วร่วงออกมาจากถุงตกกระทบกับพื้นก่อนจะกลิ้งไปตามพื้นถนน มือเล็กที่เคยกำมันไว้คลายออกและห้อยตกลงไปข้างตัวช้าๆ แทฮยองทรุดลงกับพื้น ปล่อยให้ร่างขององค์หญิงยูจองหล่นลงมาเมื่อสองขาหมดแรงจะเดินเสียดื้อๆ

“องค์หญิง” แทฮยองโอบร่างเล็กเข้ามาในอ้อมแขน กอดให้แน่นที่สุด หวังให้ไออุ่นจากตัวเขาถ่ายทอดไปสู่คนที่นอนแน่นิ่ง

“ฮืออ..ไหนว่าจะอยู่กับแทฮยองไง” ไหนว่าจะอยู่ด้วยกัน เพราะถ้าองค์หญิงไม่อยู่แล้ว แทฮยองจะอยู่ต่อไปได้ยังไง

 

125849364

 

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นยังคงดังก้องอยู่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเกือบค่อนคืนแล้ว ภาพของภรรยาสุดที่รักที่กอดลูกชายคนเล็กเอาไว้แน่นราวกับมีดที่ปักลงมาซ้ำๆในอก เป็นความเจ็บปวดที่แม้แต่ชายชาติทหารซึ่งผ่านศึกสงครามมายาวนานแบบเขายังรับมือกับมันไม่ได้

เสียงรองเท้าหนังที่กระทบพื้นดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ภาพนายทหารให้เครื่องแบบหลายคนซึ่งนำหน้าด้วยชายหนุ่มที่เขารู้จักดี คนที่เป็นดั่งลูกศิษย์ที่เขาชื่นชมและไว้ใจมากที่สุด สีหน้าที่เศร้าหมองราวกับกำลังรู้สึกผิดทำให้รู้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

“ท่านเสนาบดี ขออภัยนะครับ แต่องค์ราชามีคำสั่งให้นำตัวแทฮยองไปขังรอการตัดสินโทษ”

“จองกุก”

“เพราะองค์หญิงยูจองสิ้นพระชนม์ โทษของแทฮยองถึงเป็นประหารชีวิต” ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่พอได้ยินชัดๆเขาเองก็ทำใจไม่ได้ กับแทฮยองที่ถึงจะไม่ใช่ลูกชายที่ได้ดั่งใจไปทุกอย่างเหมือนซอกจิน แต่อย่างไรก็เป็นลูก ลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

“ขอโทษครับ” จองกุกก้มหัวลงต่ำที่สุดให้กับคนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ก่อนจะเดินผ่านเพื่อนรักอย่างซอกจินไปหาคนที่นั่งกอดเข่าร้องไห้ไม่หยุดในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่

“จองกุก น้าขอ อย่าเอาแทฮยองไป น้องกำลังเจ็บอยู่ น้องทนไม่ไหวหรอก” เพราะทำอะไรไม่ได้ ถึงได้แต่เอ่ยปากขอร้องทั้งที่มือยังคงกอดลูกชายแน่น หัวใจคนเป็นแม่เกือบขาดตอนเห็นลูกเดินเข้ามาทั้งที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ใบหน้าที่เคยสดใสมีแต่น้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย จนนัยน์ตากลายเป็นสีแดงก่ำ ก่อนจะทรุดตัวสะอื้นลงกับพื้นบ้าน

“ขอร้องเถอะจองกุก แค่ให้แทฮยองได้พักฟื้น น้าขอร้อง” ใบหน้าคมคายหันหนีสายตาอ้อนวอนและน้ำตาที่ไหลออกมาของผู้อาวุโส ไม่ใช่ไม่เห็นว่าสภาพของแทฮยองแย่แค่ไหน แต่คำสั่งที่ได้รับมาไม่ต่างจากโซ่ตรวนที่อยู่ในมือของเขา หนักอึ้งและรัดแน่นจนไม่มีทางให้คลายออก

“ขอโทษครับคุณน้า” จองกุกได้แต่ควบคุมมือตัวเองไม่ให้สั่นตอนสวมโซ่ตรวนลงบนข้อมือและข้อเท้าของคนรัก เสียงกริ๊กที่ราวกับจะฆ่าเขาให้ตาย มันเจ็บปวด แต่ไม่มากเท่าดวงตาที่เงยหน้ามาสบตาเขา ไร้ซึ่งการขัดขืนหรือกล่าวโทษ มีเพียงความอ่อนแอที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น

บอบบางราวจะแตกหักได้ง่ายๆ แทฮยองที่ยอมแพ้กับทุกอย่าง ไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตชีวาหรือความสุข

“จองกุก ขอร้อง อย่าเอาแทฮยองไป อย่า” ยิ่งเดินห่างออกมาก็ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นของแม่ชัดเจนขึ้นจนต้องปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ร่างบางเดินตามร่างสูงตรงหน้าไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้มีเพียงเสียงโซ่ตรวนลากครูดไปกับพื้น

 

125849364

 

สี่ ห้า หก หรืออาจจะมากกว่านั้นซอกจินไม่อาจนับได้ เขามองผู้เป็นพ่อที่นั่งเขียนฎีกาทั้งคืนเพื่อขออภัยโทษให้น้อง มองแม่ที่ยังสะอื้นทั้งที่ไม่มีน้ำตาเหลือให้ไหลอีกแล้ว ภาพบรรยากาศในครอบครัวที่เคยมีความสุข แต่บัดนี้กับเต็มไปด้วยความทุกข์เต็มไปหมด

“พ่อครับ พอเถอะ” มือของคนหนุ่มเอื้อมไปจับมือที่เหี่ยวย่นกว่า นิ้วมือของพ่อขึ้นสีแดงก่ำหลังเพราะเอาแต่จับปากกาเขียนฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่าไม่ยอมปล่อย

“ขอโทษนะซอกจิน ทั้งที่เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นนายทหารที่ตำแหน่งใหญ่โตที่สุด แต่เรื่องแค่นี้พ่อกลับช่วยน้องไม่ได้เลย” ภาพชายชาติทหารที่เคยดูน่าเกรงขามตอนนี้มีเพียงความเจ็บปวดที่แสดงออกมาให้เห็น ภายในดวงตาเหี่ยวย่นคู่นั้นซอกจินมองออกถึงความเสียใจ แต่กลับต้องพยายามเข้มแข็งระบายออกมาไม่ได้

“…”

“ไอ้ตำแหน่งบ้าๆนี่ตอนนี้ไม่มีความหมายสักนิด แค่ลูกชายคนเดียวยังปกป้องไม่ได้เลย พ่อไม่สมควรจะเป็นพ่อของพวกแกด้วยซ้ำ”

“ไม่ครับ พ่อทำดีที่สุดแล้ว” ซอกจินกุมมือพ่อของเขาไว้แน่น ลูบลงบนข้อนิ้วที่ป่วมเป่งจากการเสียดสีกับด้ามปากกา เพราะเป็นทหารที่ยึดความถูกต้องเป็นหลัก พวกเขาถึงทำอะไรไม่ได้

“ไม่เลย พ่อผิดที่ทำอะไรไม่ได้ ซอกจินต้องช่วยน้องนะ ต้องช่วยแทฮยองนะ” คำพูดที่ราวกับอ้อนวอนขอร้อง ซอกจินก้มหน้านิ่ง แทฮยองจะรู้ไหมนะว่าพ่อที่อีกฝ่ายเคยน้อยใจมาตลอดว่าไม่รัก ตอนนี้กลับเป็นคนที่เสียใจมากที่สุดที่ช่วยอะไรเจ้าตัวไม่ได้

 

เสียงผู้คุมและนายทหารคนอื่นที่ดังขึ้นเป็นระยะๆไม่ได้ทำให้คนที่นอนนิ่งอยู่ในเรือนจำซึ่งทำด้วยไม้ยอมเปิดเปลือกตาขึ้น แทฮยองยังหลับตานิ่งๆอยู่มุมนึงของห้องขัง ปล่อยให้ความเจ็บจากบาดแผลเล่นงานอยู่เรื่อยๆ

มันเจ็บ แต่ความเจ็บนี้คงไม่เท่าที่องค์หญิงได้รับ… แค่คิดถึงร่างของเพื่อนตัวน้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนก็ทำให้แทฮยองสะอื้นออกมาอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์แต่แทฮยองก็ยังเลือกจะแบกร่างองค์หญิงกลับมาถึงวังจนได้ เขาไม่อยากให้เพื่อนรักต้องนอนหนาวอยู่ข้างนอก

‘ได้กลับบ้านแล้วนะองค์หญิง รออีกนิดเดียว แล้วแทฮยองจะตามไปอยู่ด้วย’

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

ภาพตรงหน้าของซอกจินคือผู้ชายที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาที่ถูกตีกลับ สองมือของคนเป็นพ่อสั่นตอนที่หยิบมันขึ้นมาดู ทั้งฎีกาที่ไร้ความหมายและประกาศฉบับใหม่จากวังหลวง กำหนดการจัดงานพระบรมศพขององค์หญิงและกำหนดการตัดสินโทษประหารชีวิตของแทฮยอง

แผ่นหลังกว้างสั่นไหวเมื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา คนที่เคยดูองอาจกลับกลายเป็นแค่ผู้ชายวัยกลางคนธรรมดาที่อยู่ในฐานะพ่อเท่านั้น ซอกจินหยิบพระราชหัตถเลขาที่ถูกส่งตรงมาถึงครอบครัวเขา ยกย่องถึงคุณความดีที่ครอบครัวเคยสั่งสมมาหลายรุ่น แต่ก็ไม่อาจใช้หักล้างกับความผิดที่เกิดขึ้นได้ เพราะหากยอมอภัยโทษให้แทฮยองแล้ว กฎหมายและบทลงโทษที่ถูกกำหนดไว้จะสำคัญได้อย่างไร

“เหลืออีกแค่เจ็ดวันหรอครับพ่อที่น้องจะถูกประหารชีวิต” สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบงันและเศร้าสร้อย ซอกจินกำกระดาษแจ้งกำหนดการในมือแน่น จะยังเหลือทางไหนกันที่จะช่วยแทฮยองได้

“พ่อผิดเองซอกจิน ทั้งที่ทำคุณให้บ้านเมืองตั้งมากมาย สุดท้ายได้รับพระเมตตาแค่ให้ประหารเป็นการภายใน ไม่ต้องให้คนทั่วไปเห็น เพื่อปกป้องเกียรติครอบครัวเราเท่านั้นเอง สุดท้ายที่พ่อปกป้องได้มีแค่เกียรติยศเท่านั้น” เกียรติยศที่เคยพยายามรักษามาตลอด ตอนนี้ถึงรู้ว่ามันไร้ความหมายเมื่อเทียบกับชีวิตของลูกชายตนเอง ถ้าเลือกได้เขาก็ยอมทิ้งทุกอย่าง จะตำแหน่ง อำนาจ หรือเงินทอง ขอแค่ให้ปกป้องลูกเอาไว้ได้ แค่ให้แทฮยองได้ใช้ชีวิตต่อบนโลกใบนี้ ถึงอีกฝ่ายจะไม่สร้างความภูมิใจให้ครอบครัวเหมือนคนเป็นพี่ก็ไม่เป็นไรอีกแล้ว

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

อาหารสำหรับนักโทษถูกยกมาวางทิ้งไว้ ผู้คุมมองร่างบางที่นอนแน่นิ่งไม่ยอมแตะอะไรทั้งนั้นมาเป็นคืนที่สอง ถึงจะเป็นนักโทษประหารแต่อีกฝ่ายก็ยังคงเป็นบุตรชายของท่านเสบาบดีกระทรวงกลาโหม ผู้คุมและนายทหารคนอื่นๆเลยยังเกรงใจอยู่มาก

อากาศในตอนกลางคืนเย็นขึ้นอีกจนอาการปวดแผลกำเริบขึ้น แทฮยองมองชามข้าวต้มที่มีกับข้าวโปะอยู่นิดหน่อยซึ่งถูกวางทิ้งไว้ ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อไม่มีความยากอาหารสักนิด

ท่ามกลางความเงียบกริบที่เหมือนพวกผู้คุมจะออกไปพักผ่อนกันหมด แทฮยองได้ยินเสียงประตูห้องขังเปิดออก เปลือกตาสีอ่อนลืมขึ้นมาอีกครั้งเพื่อมองใบหน้าของผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ ก่อนจะปล่อยความเจ็บปวดให้ร่วงเผาะออกมาเป็นสาย

แทฮยองไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นคือความจริงหรือเปล่า ผู้ชายที่เคยดูสง่าในชุดนายทหารชั้นสูง ท่าทางที่ดูน่ากลัวน่าเกรงขามในสายตาทุกคน ตอนนี้กลับอยู่ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาๆ แม้แต่เส้นผมสีดำเข้มก็กลับกลายเป็นมีสีดอกเลาแทรก และเห็นร่องรอยของความเหนื่อยล้าปรากฏอยู่ทั่วใบหน้า แค่ไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่พ่อของเขาดูโรยราเหลือเกิน

แทฮยองลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนที่จะถูกรวบตัวไปกอดด้วยอ้อมแขนแกร่ง ฝ่ามือหนาลูบผมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทฮยองอดปล่อยน้ำตาให้ไหลซึมไปกับอกเสื้อของพ่อไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่พ่อจะสัมผัสเขาแบบนี้

“พ่อขอโทษ” แทฮยองเอื้อมมือไปกอดพ่อแน่น ปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆในขณะที่ฝ่ามือหนาก็เอาแต่ลูบผมเรื่อยๆ

ผู้เป็นพ่อประคองลูกชายให้นั่งลงเหมือนเดิม ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมือเล็กไปกุมไว้ สำรวจรอยช้ำที่รอบข้อมือข้อเท้าซึ่งเกิดจากโซ่ที่ล่ามไว้ ลูบซ้ำๆ เมื่อไม่เคยเลยที่จะเห็นลูกชายตัวเองในสภาพที่ย่ำแย่แบบนี้

“เจ็บมากไหม” แทฮยองส่ายหน้ากลับไป ในดวงตาคู่นั่นของพ่อมีน้ำตาคลออยู่ ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่แทฮยองจะเห็นพ่อในสภาพที่ดูอ่อนแอและเหนื่อยล้าแบบนี้ สองวันที่ผ่านมาพ่อของเขาคงลำบากมาก

“ทำไมหนูไม่กินข้าวล่ะ” ชามข้าวต้มที่ถูกวางทิ้งไว้ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยฝ่ามืออุ่นๆที่ลูบหัวเขาเมื่อครู่ ช้อนสังกะสีตักข้าวต้มที่เย็นชืดขึ้นมาจ่อริมฝีปาก

“กินข้าวเถอะ” แค่ข้าวต้มธรรมดาที่พ่อป้อนแต่กับอุ่นไปทั่วหัวใจดวงน้อย แทฮยองยอมรับมันเข้าปากคำแล้วคำเล่า รอยยิ้มปลอบโยนจากพ่อในแบบที่ไม่เคยได้รับ มันอุ่นจนผลักดันให้น้ำตาไหลออกมามากขึ้น

“ชู่ว ไม่เอาไม่ร้อง” แทฮยองมองนิ้วมือที่ปล่อยจากช้อนสังกะสีเพื่อมาเช็ดน้ำตาให้เขา แต่ยิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาเรื่อยๆ แทฮยองบังคับตัวเองให้หยุดร้องไห้ไม่ได้ จนพ่อต้องรวบตัวเขาไปกอดไว้แน่นๆ

“พ่อ…พ่อครับ” เป็นครั้งแรกที่แทฮยองอยากจะพูดคำนี้ไปเรื่อยๆ อยากจะกอดผู้ชายที่กอดเขาอยู่แบบนี้ไปตลอด นึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาที่เคยไม่เข้าใจกัน จนถึงตอนนี้ที่เขาคงเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

 

รุ่งเช้ามาพร้อมกับความอบอุ่นที่หายไป แต่สำหรับร่างบางแค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว การได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของพ่อทั้งคืนจนถึงเช้า แม้แต่อากาศเย็นๆก็ทำอะไรเขาไม่ได้

เสียงประตูห้องขังเปิดออกอีกแล้ว แทฮยองคิดว่าคงเป็นผู้คุมที่เข้ามาเก็บชามข้ามที่เอามาวางทิ้งไว้ แต่คนที่เขาเห็นกลับเป็นร่างสูงเจ้าของใบหน้าคมคายที่ยืนอยู่ในชุดราชองค์รักษ์ สายตาห่วงใยที่มองมาทำให้แทฮยองรีบลุกขึ้น ตั้งแต่วันที่จองกุกพาเขามาที่นี่อีกฝ่ายก็ไม่เคยมาเยี่ยมเขาอีกเลย แทฮยองลนลานจะวิ่งเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องขัง จนลืมไปว่าข้อเท้าสองข้างมีโซ่ที่ตรึงไว้

“โอ๊ย” เพราะไม่ทันระวังถึงได้สะดุดจนล้มกระแทกพื้น จองกุกรีบวิ่งเข้าไปหาคนรัก ช้อนร่างบางขึ้นมาแนบอกก่อนจะพาไปวางลงที่มุมห้องขังเหมือนเดิม

ภายในดวงตากลมโตยังคงสะท้อนความเศร้าที่เขาไม่อยากเห็น การต้องมองแทฮยองในสภาพนี้เป็นสิ่งที่เขาทำใจไม่ได้ ทั้งข้อมือข้อเท้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ หรือบาดแผลตามร่างกาย ตั้งแต่วินาทีที่ต้องตรึงโซ่บนข้อมือข้อเท้าของแทฮยองจนถึงตอนนี้ จองกุกไม่กล้ามองแทฮยองเต็มๆตาด้วยซ้ำ

“คิดถึง” ความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดของแทฮยองคือคำนี้ ในช่วงเวลาที่ทุกวินาทีมีความหมาย แทฮยองก็อยากบอกความรู้สึกทั้งหมดก่อนจะไม่มีโอกาสได้บอก

“พี่ก็คิดถึงเหมือนกัน” แทฮยองยิ้มให้กับสรรพนามแทนตัวเองที่เปลี่ยนไป จูบอุ่นๆกดประทับลงมาบนหน้าผาก ความสุขเล็กๆเบ่งบานขึ้นมาในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด เมื่อได้ค้นพบความรักของพ่อที่ไม่น้อยกว่าคนอื่น ค้นพบความห่วงใยจากผู้ชายตรงหน้า

“จีมินกำลังรีบกลับมาหาแล้วนะ” การได้ยินชื่อเพื่อนรักก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้แทฮยองมีความสุขขึ้น เพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน และรอคอยเสมอที่จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าจะเหลือเวลามากพอที่จะรอหรือเปล่า

“ทำทุกคนลำบากแท้ๆ”

“ไม่มีใครโทษเจ้าหรอกนะ หรือแม้แต่องค์หญิงเองก็คงไม่เหมือนกัน” เรื่องขององค์หญิงเหมือนจะเรียกน้ำตาของแทฮยองให้รื้นขึ้นมาได้อีกแล้ว จนจองกุกต้องกอดร่างบางเอาไว้แน่น รู้ดีว่าคนที่เสียใจที่สุดก็คือคนรักของเขา ถึงทุกคนจะเข้าใจและไม่มีใครกล่าวโทษ แต่สุดท้ายแทฮยองก็คงโทษตัวเองอยู่ดี

 

 

หลังจากนั้นก็เหมือนวันเวลาจะผ่านไปเร็วมากขึ้น แทฮยองเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะรอดพ้นไปจากโทษทัณฑ์ครั้งนี้ เขายอมรับความผิดทั้งหมด และเลือกจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขเล็กๆที่เหลือ เพราะมีทั้งพ่อแม่ พี่ซอกจินและจองกุกที่แวะเวียนมาหาบ่อยๆ

แทฮยองจับมือนิ่มๆของแม่ที่ทุกครั้งมักจะมาพร้อมกับดวงตาสีแดงเรื่อ บอกให้รู้ว่าก่อนจะมาถึงคงผ่านการร้องไห้มาไม่น้อยแต่ก็พยายามยิ้มให้เขา ในขณะที่แทฮยองเองก็พยายามจะเข้มแข็งไม่ร้องไห้ออกมาให้แม่เป็นห่วง

“อีกสองวันก็จะถึงพิธีฝังพระบรมศพขององค์หญิงยูจองแล้ว” แทฮยองยังคงทำตัวเป็นปกติทั้งที่เห็นว่าสีหน้าของทุกคนเคร่งเครียดมากขึ้น แทฮยองมองแม่ที่แอบหันไปเช็ดน้ำตาป้อยๆ มองพี่ซอกจินที่ก้มหน้าลงและจองกุกที่เบือนหน้าหนี มีเพียงพ่อเท่านั้นที่ยื่นมือมาลูบผมเขา

“อีกสองวันที่โทษของแทฮยองจะถูกตัดสิน” มันไม่ได้แย่เลยในความรู้สึกเขา หากวันที่ร่างขององค์หญิงจะลงไปอยู่ใต้พื้นแผ่นดินเกิดคือวันที่แทฮยองต้องจากไป แล้วบางทีหลังจากนั้นเราอาจจะได้เจอกันอีกครั้ง

“แทฮยองไม่พูด หนูจะต้องไม่เป็นไร” แทฮยองรู้ดีว่าพ่อแค่กำลังปลอบใจ สำหรับเขาแล้วการต้องจากไป สิ่งที่เสียใจมากที่สุดคือจะไม่ได้พบคนที่เขารักอีกแล้ว

“แทฮยองรักพ่อนะครับ รักแม่ รักพี่ซอกจินด้วย แทฮยองรักทุกคน” ดวงตากลมโตสบตาทุกคน รวมถึงคนที่ยืนอยู่ไกลที่สุด ถึงไม่ได้พูดออกไปตรงๆ แต่แทฮยองมั่นใจว่าจองกุกจะรู้

มีเพียงความเงียบงันที่ชัดเจนจนได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆของผู้เป็นแม่ แทฮยองโน้มตัวไปกอดเอวบางไว้ เขาทำให้แม่เสียน้ำตาไปมาก จนรู้สึกว่าตัวเองบาปเหลือเกิน “แม่ อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ”

 

 

เสียงรองเท้าที่เดินมาใกล้เรียกสายตาของทุกคนอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งในชุดเดรสสีดำสนิทปักด้วยดิ้นเงินดูหรูหราสง่างาม แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง

“องค์ราชินี” ในขณะที่ทุกคนตื่นตะลึงไปกับผู้ที่มาใหม่ เสียงโซ่ตรวนกลับดังครูดไปกับพื้นเมื่อแทฮยองคลานเข่าเข้าไปหมอบลงแทบเท้าของผู้หญิงตรงหน้า ร่างบางซบหน้าลงกับฉลองพระบาท ใบหน้าขององค์ราชินีเต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างจากแม่ของเขา แทฮยองถึงได้เสียใจเหลือเกิน ที่พรากเอาความสุขที่สุดของพระองค์ไป

“แทฮยองผิดไปแล้วขอรับ” เขาปล่อยให้น้ำตาไหลเปื้อนฉลองพระบาทคู่นั้น ถึงอยากจะชดเชยความเจ็บปวดของพระองค์แทฮยองก็ทำไม่ได้ เพราะเขาพื้นคืนชีวิตขององค์หญิงยูจองไม่ได้ สัมผัสเบาๆที่ศีรษะทำให้แทฮยองสะอื้นหนักขึ้น องค์ราชินีที่ก้มลงมาใช้พระหัตถ์ลูบผมของเขา ก่อนจะประคองแขนแทฮยองให้ลุกขึ้นนั่ง

“หากรู้ว่าผิดก็ต้องแก้ไข แต่ไม่ใช่ด้วยชีวิตของเจ้า เพราะยูจองคงไม่ต้องการแบบนั้น”

“องค์ราชินี”

“ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด แทนยูจองลูกของเราด้วย” องค์ราชินีวางพระหัตถ์ลงบนศีรษะของแทฮยองอีกครั้ง กับคนที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก แทฮยองเองก็ไม่ต่างไปจากลูกหลานของเธอในความรู้สึก แล้วกับชีวิตหนึ่งที่ต้องสูญเสียไป ถึงจะเอาอีกชีวิตมาชดใช้แทนก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น

“กำหนดการอีกสองวันข้างหน้า เราจะใช้นักโทษประหารคนอื่นมาสวมรอยแทน แต่แทฮยองเองก็จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เราช่วยพวกเจ้าได้แค่นี้” แค่ประโยคนั้นที่เรียกรอยยิ้มและความสุขของทุกคนในครอบครัวแทฮยองกลับคืนมาจนหมด องค์ราชินียกพระหัตถ์ออกจากศีรษะของแทฮยองช้าๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องคุมขัง

ตอบแทนสำหรับคุณความดีของพวกเขาที่ทำเพื่อบ้านเมืองเสมอ และเพื่อลูกสาวที่เธอรัก เพราะยูจองคงไม่ต้องการเห็นจุดจบของเพื่อนแบบนั้น

 

 

มันเป็นความอบอุ่นที่สุดตอนที่ทั้งพ่อแม่และพี่ซอกจินเข้ามากอดแทฮยองไว้ ร่างบางเห็นน้ำตาที่กลั้นไว้ของพ่อไหลออกมาเป็นสาย เป็นครั้งแรกที่พ่อยอมร้องไห้ออกมาให้ทุกคนเห็น

“เป็นพระมหากรุณาจริงๆนะแทฮยองอ่า หนูปลอดภัยแล้วนะ” อ้อมกอดของพ่อแน่นกว่าเดิม ถึงแม้สุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่ได้ดีที่สุด เพราะแทฮยองคงไม่สามารถใช้ชีวิตบนแผ่นดินของเคปแลนด์ได้อีก แต่แค่ลูกชายได้มีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ว่าจะมุมไหนบนโลก คนเป็นพ่อแม่ก็พอใจแล้ว

“คุณอา คุณน้าครับ” แทฮยองหันไปมองจองกุกที่ลงมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ

“ให้ผมเป็นคนดูแลแทฮยองนะครับ น้องไปอยู่คนเดียวคงไม่ไหว แล้วถ้าคุณอาสองคนหรือซอกจินหายไปคนอื่นคงสงสัยด้วย” น้ำเสียงทุ้มเข้มดังชัดเจนขึ้น ฝ่ามือหนาเอื้อมไปกุมมือของแทฮยองไว้ สบสายตาของผู้สูงวัยกว่าอย่างกล้าหาญ

“…” แทฮยองเห็นสีหน้าตกใจของทั้งพ่อแม่และพี่ซอกจิน กับเรื่องของพวกเขาไม่เคยมีสักครั้งที่จะให้ใครล่วงรู้ เพราะแทฮยองกลัวคนในครอบครัวรับไม่ได้

“แล้วตำแหน่งนาย”

“ซอกจินทำได้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ช่วงที่ผ่านมาแค่นายคนเดียวก็ช่วยงานองค์ชายได้ แล้วการจะฝึกคนมาแทนฉันก็คงไม่ยาก” สำหรับจองกุกแล้วการรับราชการช่วยงานแผ่นดินเป็นความฝันและเป็นเกียรติสูงสุด แต่อย่างไรแทฮยองก็คือความสุข เขาเลือกแล้วที่จะมีน้องอยู่ในชีวิต ถึงได้ตัดสินใจอย่างไม่ลังเล แค่ได้ใช้ชีวิตเพื่อปกป้องและดูแลคนๆนี้เท่านั้น

 

ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้แทฮยองไม่มั่นใจนัก ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันไม่ใช่เรื่องปกติ พ่อแม่ของเขาอาจจะรับมันไม่ได้ สัมผัสอุ่นๆบีบมือของเขาให้แน่นขึ้น แทฮยองหันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ การตัดสินใจของอีกฝ่ายทำให้แทฮยองดีใจที่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกรักคนไม่ผิด ไม่ว่าชีวิตเขาจะแย่แค่ไหน จองกุกก็ยังเลือกที่จะอยู่ข้างเขาเสมอ

“แทฮยองไม่เหลือใครแล้ว ชีวิตลูกชายอาหลังจากนี้เป็นของจองกุกนะ” สุดท้ายแล้วในฐานะพ่อ เหมาะสมหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ถึงไม่รู้ว่าเรื่องราวของทั้งสองคนเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่แค่เห็นว่าจองกุกสามารถเสียสละเพื่อลูกเขาได้ขนาดนี้ก็พอแล้ว แค่ช่วยดูแลปกป้องแทฮยองแทนพวกเขาได้ แค่สามารถทำให้แทฮยองมีความสุข แค่นี้เท่านั้นที่คนเป็นพ่อต้องการเห็น

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

บรรยากาศเดิมๆกลับมาอีกครั้งเมื่อแทฮยองเดินเข้ามาในบ้าน บ้านที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาตั้งแต่เกิด แต่หลังจากวันนี้คงไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้ว เพราะพ่อและพี่ซอกจินเตรียมรถม้าเพื่อออกเดินทางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ดวงตากลมโตเสมองไปเห็นจดหมายลาออกจากราชการสองฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะ มือเรียวคว้ามันขึ้นมาอ่านก่อนจะพบว่าฉบับหนึ่งคือของจองกุก ในขณะที่อีกฉบับเป็นของพ่อของเขา

“ไม่ใช่เพราะเรื่องของลูกหรอก พ่อทำงานมานานแล้ว บางทีก็คิดว่าถึงเวลาที่ควรจะพักสักที” ร่างบางยอมวางจดหมายลงบนโต๊ะเหมือนเก่า เขาเดินเข้าไปหาพ่อ กอดพ่อไว้แน่น

“รู้ใช่ไหมครับว่าถึงผมจะไม่รอดจากโทษประหาร ผมก็ไม่เคยจะโทษพ่อที่ช่วยผมไม่ได้”

“พ่อรู้ รีบไปเก็บของเถอะ มีเวลาไม่มากแล้ว” แทฮยองยอมละอ้อมแขนออกก่อนจะเดินตรงไปห้องตัวเองเพื่อเก็บข้าวของอีกครั้ง สภาพทุกอย่างในห้องยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากก่อนที่เขาจะหนีออกนอกวังไปเที่ยว แค่อาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมาแต่กลับมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน มากจนชีวิตของเขาไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก

เสื้อผ้าถูกรื้อออกมาจากตู้ พ่อของเขากำชับให้เอาไปเฉพาะของที่สำคัญเท่านั้น แค่พวกเสื้อผ้า และของมีค่าไว้ติดตัวเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

เสื้อไหมพรมสีขาวถูกหยิบออกมาจากหีบ ดิ้นสีทองลายหงส์ที่แทฮยองเคยคิดว่ามันคือเป็ดทำให้อดคิดถึงคนให้ไม่ได้ องค์หญิงยูจองที่ไม่ถนัดงานประเภทนี้ แต่กลับตั้งใจทำมันให้เขา ผ้าเนื้อหนาถูกรวบเข้ามาชิดอก เป็นอีกครั้งที่แทฮยองอดกลั้นน้ำตาไม่ไหวจนต้องทรุดตัวลงไปร้องไห้กับพื้น ถึงทุกคนจะให้อภัย แต่เขากลับให้อภัยตัวเองไม่ได้

“องค์หญิง แทฮยองขอโทษ” น้ำตาหยดลงบนผ้าสีขาวหยดแล้วหยดเล่า ความทรงจำเก่าๆย้อนกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เรากอดกันร้องไห้แบบเด็กๆ ตอนที่เสียสละได้แม้กระทั่งของเล่นหรือยอมเจ็บตัวเพื่อปกป้องอีกฝ่าย ตอนที่หัวเราะสนุกสนานกันอย่างมีความสุข เพื่อนรักที่ไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกแล้ว เพื่อนรักที่เคยอยู่ข้างกันเสมอและไม่ทิ้งกันไปไหน

“ไปอยู่กับแทฮยองนะ องค์หญิงบอกว่าจะอยู่กับแทฮยองใช่มั้ย” ประโยคสุดท้ายที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว องค์หญิงที่ปลอบให้เขาหยุดร้องไห้ทั้งที่ตัวเองกำลังเจ็บ กับคำที่แทฮยองยึดถือเป็นสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันหลังจากนี้

“อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ” เสื้อไหมพรมสีขาวถูกสวมลงบนร่างกายบอบบางอีกครั้ง ในวันที่ต้องไปเริ่มต้นใหม่ในแผ่นดินอื่นที่ไม่ใช่บ้าน เขาเองก็อยากจะพาองค์หญิงยูจองไปด้วย แล้วหลังจากนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน แทฮยองจะมีองค์หญิงอยู่ด้วยเสมอ อยู่ในความทรงจำและในหัวใจของเขา

 

พ่อแม่และพี่ซอกจินยืนรอส่งเขาที่รถม้า จองกุกเองก็อยู่ในชุดลำลองสบายๆไม่ใช่เครื่องแบบราชองค์รักษ์เหมือนที่ปกติเคยเห็น แทฮยองยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่ไหน แต่คงไม่ใช่เมืองนอร์ทแลนด์ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด  บางทีอาจย้ายไปอยู่เมืองเวสแลนด์ หรืออาจต่อเรือข้ามไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองอื่น

“ดูแลตัวเองดีๆนะลูก ถ้ายังไงก็ติดต่อกลับมาบ้าง ส่วนจีมินถ้ามาถึงแล้วแม่จะบอกให้ ไว้รอให้ทุกอย่างเข้าที่อาจจะหาเวลาไปเยี่ยมลูกบ้าง” ร่างบอบบางเดินไปกอดลูกชายเอาไว้แน่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้เผลอร้องไห้ ถึงจะมั่นใจว่าจองกุกจะดูแลแทฮยองได้ แต่การบอกลาลูกชายที่เลี้ยงดูฟูมฟักมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับคนเป็นแม่

แทฮยองกอดตอบแม่ของเขา จ้องมองดวงตาสีแดงระเรื่อ นึกใจหายที่ไม่สามารถยื้อเวลาอยู่กับครอบครัวได้นานกว่านี้ ไม่มีเวลาแม้แต่จะอยู่รอเจอหน้าจีมินที่รีบเดินทางกลับมาตั้งแต่รู้เรื่อง

“พ่อแม่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ผมรักพ่อแม่นะ” แทฮยองได้แต่บอกลาเมื่อทุกคนเร่งให้เขาขึ้นรถม้าเพื่อออกเดินทางได้แล้ว มือบางถูกวางลงบนมือหนาของจองกุกที่ยื่นมาให้ ก่อนจะพากันขึ้นรถม้าที่ถูกเตรียมไว้

แทฮยองส่งยิ้มไปให้พ่อแม่และพี่ซอกจินที่ยืนอยู่ข้างนอกรถม้า จ้องมองภาพบรรยากาศของเมืองเคปแลนด์ที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ร่างบางใช้มือข้างที่เป็นอิสระจับปลายเสื้อไหมพรมของตัวเองไว้แน่นเมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนที่ ถึงจะไม่มีโอกาสร่ำล่าร่างขององค์หญิงยูจองที่กำลังจะถูกฝังในพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น แต่แค่ได้สวมเสื้อไหมพรมตัวนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีองค์หญิงอยู่ใกล้ๆ

ภาพบรรยากาศนอกรถม้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเข้ามาในใจทีละนิด แทฮยองกลัวการเดินทางที่ไม่รู้จะจบลงที่ไหน กลัวการใช้ชีวิตใหม่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย กลัวเพราะเขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเจออะไรอีก ฝ่ามืออุ่นร้อนที่กุมมือเขาอยู่กระชับให้แน่นขึ้น แทฮยองหันไปมองจองกุกที่นั่งอยู่ข้างๆ ความอบอุ่นและความมั่นใจที่หายไปเริ่มกลับคืนมาทีละนิด เขากระชับมืออีกฝ่ายตอบ หลังจากนี้ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ แต่แค่มีคนๆนี้ที่พร้อมจะเช็ดน้ำตาให้เขา พร้อมจะพยุงเขาในวันที่ล้ม พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันในทุกที่

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีจองกุกอยู่ด้วย แทฮยองไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอีกแล้ว…

‘ลาก่อนเคปแลนด์ บ้านที่แทฮยองรัก’

ใส่ความเห็น