องค์รักษ์กุกวี

EP. 13 : องค์หญิงยูจอง

ภาพตรงหน้าแม้ดูกระจ่างชัด แต่ในมุมของคนนอกที่เห็นเพียงด้านเดียวกลับไม่สามารถมองลึกเข้าไปในจิตใจของคนที่นั่งอยู่ได้ เนิ่นนานเหลือเกินกลับการรอคำตอบของคำถามที่เอ่ยออกไป แรงเหวี่ยงของลูกตุ้มของนาฬิกาตั้งพื้นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าแทฮยองถามว่าองค์หญิงคิดอย่างไรกับท่านจองกุกล่ะ องค์หญิงจะตอบได้หรือเปล่า

แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเพียงรอยยิ้มเบาๆที่มุมปาก…

“แทฮยองมองไม่ออกหรอ” แทนที่คำตอบด้วยคำถาม รอยยิ้มนั้นแม้แสนบางเบาแต่ยังคงอ่อนโยนและนุ่มนวลแบบที่เคยได้รับเสมอ

“เรื่องที่ท่านแม่พูดขึ้นเมื่อครั้งก่อนสินะ” ประโยคที่มาพร้อมสายตาที่สบกันก่อนแทนที่ด้วยความเงียบงันชั่วครู่ สายตาคู่นั้นขององค์หญิงยูจองยังเหมือนเดิม ไม่หลบหลีกและตรงไปตรงมาเสมอ

“เราบอกท่านแม่ว่าเราไม่ได้รังเกียจท่านจองกุก แต่ถ้าพิจารณาจากความรู้สึก นอกจากท่านพ่อกับพี่นัมจุนก็มีแค่แทฮยองที่เรารู้สึกดีด้วย ในเมื่อตอนนี้จีมินไม่อยู่ ถ้าจะต้องเลือกใครสักคนก็คงเป็นแทฮยองนั่นแหล่ะ”

“องค์หญิง…”

คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่ทั้งตกใจและโล่งใจเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะคำพูดขององค์หญิงที่ทำให้ความอึดอัดและกังวลก่อนหน้าจางหายไปได้ง่ายๆ

“แล้วแทฮยองล่ะจะตอบได้ไหม ถ้าเราถามว่าคิดยังไงกับท่านจองกุก”

“…” ถึงจะเตรียมใจสำหรับคำตอบที่อาจทำให้สถานการณ์ระหว่างเราออกมาแย่ที่สุด แต่แทฮยองไม่เคยคิดว่าจะถูกถามกลับด้วยด้วยคำถามเดิมของเขา ภายในหัวเล็กๆคิดหาคำพูด เขาควรจะยอมรับออกไปตรงๆเปล่า องค์หญิงจะคิดยังไงถ้าเขาตอบรับออกไป

“ความจริงที่พิจารณาท่านจองกุกไม่ได้เพราะเรารู้คำตอบของแทฮยองอยู่แล้ว” น่าแปลกที่แทฮยองรู้สึกเหมือนดวงตายิบหยีคู่นั้นมองเข้ามาถึงความรู้สึกของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงจะไม่ตอบออกไปแต่แทฮยองรู้ว่าองค์หญิงยูจองรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว

“รู้ใช่ไหมว่าเราไม่ใช่คนช่างสังเกต”

“ขอรับ”

“แต่สายตาที่แทฮยองมองท่านจองกุกมันต่างออกไป เราแน่ใจตั้งแต่เห็นแทฮยองมองคุณข้าหลวงยืนอยู่กับท่านจองกุกเมื่อวันก่อน ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนอื่นเราคงไม่รู้ แต่เพราะเป็นแทฮยองที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยืนอยู่ข้างเราเสมอ เราถึงมองออก ถึงจะอดเสียใจไม่ได้ที่ไม่ได้รู้จากปากแทฮยองเองก็เถอะ”

“องค์หญิง แทฮยองขอโทษ” สองมือเอื้อมไปเขย่าแขนเล็ก เขาเอาแต่คิดว่าองค์หญิงมีความลับจนไม่ทันได้คิดเลยว่าความจริงแล้วเขาเองต่างหากที่เริ่มมีเรื่องปิดบังเพื่อนก่อน

“เราไม่โกรธหรอก หรือถ้าจะโกรธคงโกรธท่านจองกุกมากกว่าที่มาแย่งแทฮยองไป จีมินก็ไม่อยู่แล้ว ต่อไปเราคงถูกทิ้ง ต้องเหงามากแน่ๆเลย” ถึงน้ำเสียงจะฟังดูเศร้าสร้อยแต่หากแทฮยองทันสังเกตดีๆคงจะเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

“ไม่หรอก แทฮยองไม่ทิ้งองค์หญิงหรอก”

“สัญญานะ” ปลายนิ้วก้อยถูกยื่นออกไป

“อื้อ สัญญาสิ” และพันเกี่ยวเข้ากับปลายนิ้วของอีกคนที่ส่งมา

แทฮยองมองแสนรอยยิ้มสดใสขององค์หญิงยูจองที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เสียงหัวเราะเบาๆของทั้งสองคนจะดังประสานกันขึ้นมา บรรยากาศของความสุขและความสบายใจเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง จนความสงสัยของแทฮยองเกี่ยวกับหีบไม้ที่ถูกวางไว้ข้างตัวองค์หญิงยูจองถูกลืมเลือนหายไปจนหมด

 

125849364

 

ท่ามกลางทางเดินยาวของอาคารหลังใหญ่ แทฮยองและองค์หญิงยูจองเดินเคียงคู่กันเข้ามาในตำหนักขององค์ชายนัมจุน ทั้งที่เวลาเริ่มเย็นมากแล้วแต่ทุกคนยังคงวุ่นวายกันอยู่ในห้องประชุมห้องใหญ่ที่แทฮยองและองค์หญิงยูจองไม่สามารถเข้าไปภายในได้ จึงต้องนั่งรอเงียบๆอยู่ด้านนอก

ทันทีที่ประตูห้องประชุมเปิดออกมา เหล่าทหารรวมถึงข้าราชการเริ่มทยอยกันออกมาจากห้อง องค์หญิงยูจองเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยหลายท่านรวมทั้งท่านซอกจิน ท่านจองกุก และท่านโฮซอกด้วย แต่กลับไม่เห็นวี่แววของพี่ชายตนเองออกมาเลย

“องค์ชายนัมจุนยังต้องประชุมกับท่านเสนาบดีกระทรวงการคลังต่อขอรับองค์หญิง อีกสักพักถึงจะเสร็จ” จองกุกเป็นผู้ที่เดินเข้ามารายงานเรื่องดังกล่าวให้องค์หญิงยูจองรับรู้

“องค์หญิงกับแทฮยองจะไปนั่งรอที่ห้องทำงานกระผมก่อนก็ได้ขอรับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เราไปนั่งเล่นห้องท่านโฮซอกดีกว่า ไม่อยากรบกวนการฝึกของท่านจองกุกกับแทฮยอง เดี๋ยวจะฝึกกันไม่สนุก” องค์หญิงหันไปส่งยิ้มให้แทฮยอง ยิ้มที่แทฮยองรู้ดีว่ามันแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้ขนาดไหน ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเฉิดฉายตรงไปยังห้องทำงานของท่านโฮซอกที่อยู่ถัดไปอีก

เจ้าของห้องไม่ได้มีท่าทีแปลกใจกับผู้ที่มาเยี่ยมเยือนห้องทำงานของเขาเป็นครั้งที่สอง องค์หญิงยูจองนั่งมองผู้ที่มีศักดิ์เป็นอาจารย์ทำงานอย่างเคร่งเครียด พอต้องนั่งนิ่งนานๆเข้าเลยได้แต่ชวนเจ้าของห้องคุยเป็นเพื่อน

“ท่านโฮซอกยังไม่เลิกงานอีกหรือคะ ทำงานเย็นจังเลย” หลังจากที่นั่งเฝ้ามองเข็มนาฬิกาที่ตั้งอยู่ข้างผนังอยู่สักพักองค์หญิงยูจองถึงถามขึ้น

“ต้องรีบทำรายงานเรื่องสร้างกำแพงกั้นน้ำส่งองค์ชายน่ะขอรับ ตอนนี้เพิ่งก่อสร้างไปได้แค่ครึ่งเดียว แต่งบประมาณเหมือนจะเกินไปจากที่คาดการณ์ไว้มากเลย” โฮซอกเงยหน้ามาตอบลูกศิษย์ที่ช่างซักถาม ไม่ได้นึกรำคาญแม้แต่น้อยกับองค์หญิงที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังเด็กราวกับเป็นน้องสาวคนหนึ่ง

“ว่าแต่พี่นัมจุนประชุมนานจังเลยนะคะ”

“ประชุมค่อนข้างเคร่งเครียดขอรับ เกี่ยวกับเงินในท้องพระคลัง เพราะการสร้างกำแพงกั้นน้ำใช้เงินมาก แล้วไหนจะเรื่องแผ่นดินไหวที่ผ่านมาที่สร้างความเสียหายมากแล้วยังทำให้เก็บภาษีจากประชาชนได้น้อยลงด้วย องค์ชายเลยต้องรีบหาทางออก” โฮซอกเอ่ยปากบอกองค์หญิงยูจอง สีหน้าท่าทางที่เหมือนจะเข้าใจ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเข้าใจมากน้อยแค่ไหน องค์หญิงยังคงเด็กมากและไม่ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องการบ้านการเมืองสักเท่าไหร่ ต่างจากตัวเขาที่ทำงานใกล้ชิดกับองค์ชายนัมจุนถึงได้ตระหนักได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงและอาจจะกลายไปเป็นปัญหาใหญ่ขหากไม่หาสามารถหาทางออกได้

“สงสัยวันนี้จะไม่เหมาะแล้วมั้งคะ เรากลับก่อนดีกว่า อยู่ต่อก็รบกวนการทำงานของท่านโฮซอกกับพี่นัมจุนเปล่าๆ ช่วยอะไรใครไม่ได้ด้วย”

โฮซอกมองเด็กสาวที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้และยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่เสมอ ลักยิ้มเล็กๆที่สองข้างแก้มดูคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่ชายไม่มีผิด

“ไม่หรอกขอรับ สักวันนึงองค์หญิงคงได้ช่วยทุกคนแน่” กับสายเลือดที่แบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ โฮซอกมั่นใจเหลือเกินว่าลูกศิษย์ของเขาจะเติบโตและกลายเป็นกำลังสำคัญที่จะต้องดูแลแก้ไขปัญหาของเมืองเคปแลนด์ไม่ต่างจากที่องค์ชายนัมจุนทำอยู่

 

 

“แบบนี้แทฮยองก็คงมีเวลาว่างมากๆเลยสิ” องค์หญิงถามเพื่อนตัวบางที่พอเลิกเรียนแล้วก็ยังคงนั่งอยู่ด้วยกัน ไม่ได้รีบร้อนเพราะมีนัดเหมือนทุกครั้ง

“ขอรับ เพราะท่านจองกุกต้องติดตามองค์ชายไปดูหิมะถล่ม ไม่รู้ว่าจะกลับวันไหน ปีนี้มีแต่ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นเต็มไปหมด” หลังจากตอนเช้าที่รายงานเข้ามาว่าเกิดหิมะถล่มจนองค์ชายนัมจุนและซอกจินกับจองกุกต้องรีบไปดูสถานการณ์ สุดท้ายแทฮยองก็เลยว่างจนมานั่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงได้

“แทฮยองเองก็คงเหงาแย่” ถึงแม้เจตนาขององค์หญิงจะเป็นการเย้าเล่น แต่แทฮยองก็ยอมรับว่าเขาเหงามากจริงๆ จากที่เคยเจอท่านจองกุกทุกวัน แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายต้องเดินทางไปไกลโดยไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ สุดท้ายเลยอดคิดถึงไม่ได้

แทฮยองเสมองหีบไม้ใบเดิมซึ่งเริ่มกลับมาปรากฏให้เห็น มันมักจะวางไว้ข้างตัวองค์หญิง แต่พอจ้องมองด้วยความสงสัย ก็ได้คำตอบกลับมาเพียงว่า

“อย่าสงสัยเลย ทุกเรื่องของเราแทฮยองต้องได้รู้เป็นคนแรกๆอยู่แล้ว”

สุดท้ายแทฮยองเลยเลือกจะไม่ถามออกไป และเก็บความสงสัยเอาไว้รอวันที่องค์หญิงจะเป็นคนบอกทุกอย่างเอง

 

125849364

 

 

เกือบสองอาทิตย์ที่แทฮยองไม่ได้เจอท่านจองกุกเพราะอีกฝ่ายติดตามองค์ชายนัมจุนไปทำหน้าที่ เขาเลยใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่กับองค์หญิงยูจองที่ตำหนักเพื่อรอฟังข่าวว่าพวกองค์ชายจะกลับมาเมื่อไหร่ ดวงตากลมโตมองไปนอกหน้าต่างที่บัดนี้วันเวลาหมุนเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว จนพื้นด้านนอกไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็เต็มไปด้วยหิมะสีขาวทั้งหมด

หนาวจนแม้แต่เตาผิงในห้องโถงเอกยังคลายความหนาวให้ไม่ค่อยได้ แล้วคนที่ตอนนี้ไปลำบากอยู่ข้างนอกจะหนาวมากหรือเปล่า

 

 

แทฮยองตื่นเช้ามาพร้อมกับความเมื่อยล้าทั่วร่างกาย ดูเหมือนอากาศหนาวๆของหิมะที่จะเล่นงานเขาจนมีไข้รุมๆเสียแล้ว แต่สุดท้ายแทฮยองก็ยังลุกขึ้นมาแต่งตัวเพื่อไปหาองค์หญิงที่ตำหนักอยู่ดี

“แทฮยองมาแล้วหรอ วันนี้มาช้าจังเลยนะ” เสียงองค์หญิงทักขึ้นเมื่อเขาเดินเข้ามาในตำหนัก ร่างเล็กวันนี้อยู่ในชุดเสื้อไหมพรมสีเหลืองตัวใหม่ซึ่งแทฮยองไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันดูน่าจะอุ่นสบายเหมาะกับวันที่หิมะยังคงโปรยปรายลงมาเรื่อยๆ

“ขอโทษนะขอรับองค์หญิง วันนี้แทฮยองรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย” แทฮยองพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบลงกว่าปกติ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อย ถึงเมื่อเช้าเขาจะทานยาไว้แล้วแต่อาการก็เริ่มแย่ลงเพราะอากาศเย็นๆจากหิมะข้างนอก

“อ้าว เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ฝ่ามือเล็กๆประคองแก้มนิ่มของเพื่อนสนิทจนรับรู้ได้ถึงไอร้อนกรุ่นๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าตัวของแทฮยองไม่ได้ร้อนมากอย่างที่คิด อย่างน้อยถ้าได้พักผ่อนสักนิดก็คงจะดีขึ้น

มือเล็กลากเพื่อนตัวบางตรงไปยังห้องโถงเอกซึ่งเตาผิงใหญ่ถูกจุดใช้งานให้ความอบอุ่นอยู่ บังคับให้แทฮยองนอนลงที่โซฟาเพื่อพักผ่อน ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งไปหาหมอนกับผ้านวมมาให้

องค์หญิงที่กลับเข้ามาในห้องโถงพร้อมหมอน ผ้านวมและเนื้อผ้าสีขาวที่ดูคุ้นตาเหลือเกิน เหมือนผ้าที่เขาเห็นองค์หญิงซ่อนมันลงไปในหีบไม้ใบนั้น

“แทฮยองไม่ถูกกับอาการหนาว หน้าหนาวทีไหร่ป่วยทุกที แต่ก็ไม่เคยจะดูแลตัวเองดีๆสักครั้ง” ถึงปากเล็กจะพร่ำบ่น แต่มือขององค์หญิงก็หยิบยื่นผ้าสีขาวมาให้ และเมื่อแทฮยองรับมันมาคลี่ดู ถึงเห็นว่าเป็นเสื้อไหมพรมหนานุ่มแบบเดียวกับที่องค์หญิงใส่อยู่

“ท่านแม่ส่งเสื้อมาให้เราสามตัว มันดูอุ่นมากเราเลยตั้งใจเก็บไว้ให้แทฮยองกับจีมินด้วย แต่ที่ให้ช้าเพราะมัวแต่ปักลายอยู่เพราะเราอยากให้มันเสื้อที่พิเศษไม่เหมือนตัวอื่นๆ”

“องค์หญิงปักรูปเป็ดคู่ให้แทฮยองด้วย” แทฮยองมองเห็นดิ้นสีทองที่ปักลายลงบนผ้าไหมพรมสีขาว เส้นด้ายที่เรียงตัวไม่สวยงามเพราะฝีมือที่ไม่เข้าขั้นของคนปัก ถึงจะโย้ไปเย้มาแต่แทฮยองก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจขององค์หญิงที่พร่ำบอกเสมอว่าเกลียดการเย็บปักถักร้อยที่สุด

“เอ่อ ความจริงมันเป็นหงส์น่ะ แต่สงสัยคอจะสั้นไปหน่อย” องค์หญิงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเจื่อนๆ ให้กับหงส์แสนสวยของเธอ อย่างน้อยการที่แทฮยองยังดูออกได้ว่าเป็นสัตว์ปีกก็แสดงให้เห็นว่าฝีมือการปักผ้าของเธอไม่แย่เท่าไหร่

“สวมดูสิ มันอุ่นมากๆเลย เอาไว้ใส่ตอนอากาศหนาวๆ เราไม่อยากเห็นแทฮยองป่วยอีก”

“ขอบคุณนะองค์หญิง”แทฮยองยิ้มรับของขวัญพิเศษที่เพื่อนผู้สูงศักดิ์ตั้งใจมอบให้ เสื้อไหมพรมที่เมื่อสวมแล้วให้ความอบอุ่นมากจริงๆตามที่องค์หญิงบอก

“นอนพักเถอะ ตื่นมาจะได้สบายตัวขึ้น” แทฮยองยอมหลับตาพักผ่อนเหมือนที่องค์หญิงบอก ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดมาทั้งจากผ้านวม เสื้อไหมพรม และเตาผิงที่ถูกจุดไว้ อุ่นไปทั้งร่างกายจนแทฮยองนึกอยากจะแบ่งปันความอบอุ่นนี้ให้คนคุ้นเคยที่คงเผชิญกับอากาศหนาวอยู่ ทั้งจีมินที่ตามท่านยุนกิไปต่างเมือง ทั้งองค์ชายนัมจุนที่กำลังลำบากกับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ทั้งซอกจินพี่ชายของเขา และใครอีกคนที่กำลังคำนึงถึง

ท่านจองกุก ข้างนอกนั่นจะหนาวมากหรือเปล่า รีบกลับมาได้แล้วนะ แทฮยองคิดถึงมากจริงๆ

 

 

“รู้สึกดีขึ้นแล้วจริงๆใช่มั้ย”

“แน่นอน องค์หญิงไม่ต้องเป็นห่วงนะ” หลังจากได้นอนพักผ่อนเต็มที่แทฮยองก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองดีขึ้นมาก อาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่มีตอนเช้าหายไปแล้ว ความร้อนในตัวก็เหมือนจะลดลงจนเกือบจะปกติ

“งั้นก็กลับดีๆล่ะ” แทฮยองโบกมือลาองค์หญิงก่อนจะเดินออกจากตำหนักเพื่อตรงกลับบ้านของตัวเอง เพราะร่างกายที่ไม่ปกติทำให้แทฮยองเลือกจะกลับบ้านเร็วหน่อย ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงจนเย็นมากเหมือนวันก่อน

 

บนถนนยังคงเต็มไปด้วยหิมะสีขาว เกล็ดน้ำแข็งเล็กๆโปรยปรายลงมานิดหน่อยแต่ไม่หนักมากและโชคดีที่เขาสวมเสื้อไหมพรมสวมทับชุดเครื่องแบบเลยทำให้ไม่รู้สึกหนาวมากนัก

เส้นทางที่แสนคุ้นเคย สองข้างทางที่มีพุ่มไม้ใหญ่ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสีขาวโพลนจากหิมะที่ปกคลุมอยู่ สถานที่ที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์หน้าอายเมื่อถูกใครอีกคนปลดกางเกงแล้วทายาในจุดที่เขาไม่เคยยอมให้ใครได้เห็น และถึงจะผ่านไปนานแล้ว แต่แค่คิดถึงแทฮยองก็อดเขินไม่ได้

“ไม่เอาสิ ไม่คิดๆ” ยิ่งห้ามไม่ให้คิด ความทรงจำก็ยิ่งไหลย้อนกลับมาเป็นฉากๆ ความรู้สึกวูบวาบที่สะโพกและบั้นท้าย ราวกับถูกเจ้าของมือใหญ่สัมผัสอีกครั้ง

“ไม่คิดเรื่องอะไรหรอ” ใครบางคนยืนอยู่ตรงทางเดินในชุดราชองค์รักษ์ที่เปื้อนฝุ่นดินเต็มไปหมด แทฮยองสะบัดหัวเพราะคิดว่าภาพตรงหน้าอาจจะหายไป แต่กลายเป็นใบหน้าของท่านจองกุกซึ่งซูบลงนิดหน่อยที่ปรากฏชัดขึ้น

“กลับมาแล้วนะ”

หมับ รู้ตัวอีกทีแทฮยองก็วิ่งเข้าไปกอดจองกุกเอาไว้แล้ว เสียงหัวเราะทุ้มๆที่เขาแสนคิดถึงตอนนี้ดังขึ้นที่ข้างหู ไม่ใช่ดังแค่ในความคิดอย่างที่เป็นมาตลอด

“กอดแน่นเชียว ไม่เหม็นบ้างหรอ ข้ายังไม่ได้กลับบ้านไปเปลี่ยนชุดเลยนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่แทฮยองก็รู้สึกถึงอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบกอดเขากลับ น่าแปลกที่ตอนอยู่ห่างกันแทฮยองรู้สึกคิดถึงมากแล้ว แต่พอกลับมาเจอกันเขากลับยิ่งรู้สึกคิดถึงมากขึ้น แม้ขณะที่กอดอีกฝ่ายแน่นแต่ความรู้สึกคิดถึงก็ไม่ได้จางหายไปไหน

“ถ้ามัวแต่กอดกันอยู่แบบนี้ก็พาไปเที่ยวไม่ได้แล้วสิ”

“เราไม่ไปเที่ยวก็ได้” แทฮยองแค่อยากยืนกอดท่านจองกุกอยู่แบบนี้ กอดเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นจากร่างกายของเขาให้ร่างสูงที่คงจะยืนรออยู่นานถึงได้ตัวเย็นเฉียบขนาดนี้

“ยืนรอหนาวมากมั้ย อุ่นขึ้นแล้วหรือยัง” จองกุกสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงผ่านน้ำเสียงอู้อี้ของคนที่ยืนกอดเขาไม่ปล่อย

“ยังเลย กอดแน่นกว่านี้อีกสิ”

“อื้อ จะกอดให้แน่นๆเลย” แล้วสัมผัสที่ได้รับก็แนบแน่นขึ้น แน่นจนจองกุกรู้สึกได้ถึงจังหวะเบาๆที่เต้นอยู่ในหน้าอกของแทฮยอง

 

 

 

“บัวลอยน้ำขิงแสนอร่อยของแทฮยอง” จองกุกจ้องมองใบหน้าหวานที่ยิ้มแฉ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมของคนที่ตอนแรกบอกว่าไม่ไปเที่ยวก็ได้ แต่สุดท้ายพอเขาพามาร้านบัวลอยร้านโปรดของเจ้าตัว กลับกลายเป็นว่าร่างบางตรงหน้าจดจ่ออยู่กับชามบัวลอยร้อนๆมากกว่าเขาเสียอีก

แทฮยองหยิบช้อนตกลูกบัวลอยสีชมพูสวยซึ่งอยู่ในน้ำขิงร้อนๆที่มีควันลอยกรุ่น ในยามเย็นของค่ำคืนที่อากาศหนาว การได้กินบัวลอยร้อนๆแสนอร่อยช่างทำให้มีความสุข ดวงตากลมโตหันไปมองรอบๆร้านบัวลอยซึ่งครั้งนึงแทฮยองเคยพาองค์หญิงกับจีมินมากินด้วยกัน ตอนนี้ถึงเวลาจะเย็นมากแล้วแต่ลูกค้าก็ยังคงแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย

ปากเล็กๆเป่าลมลงบนช้อนบัวลอยเพื่อคลายความร้อน ก่อนที่จะตักเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มอูมไปหมด

“$%&#*^&*,$!”

“หา ว่าอะไรนะ” จองกุกถามซ้ำเมื่อเขาได้ยินในสิ่งที่แทฮยองพูดไม่ชัด เพราะอีกฝ่ายพูดไปในขณะที่ยังมีเจ้าลูกบัวลอยอยู่เต็มปาก

“ถามว่า ทำไมถึงพามานี่ล่ะ” หลังกลืนแป้งกลมๆเหนียวนุ่มลงคอแล้วแทฮยองเลยย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง ก่อนจะตักบัวลอยถูกต่อไปเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆตามเดิม

“ก็เห็นตัวอุ่นๆเหมือนจะไม่สบายไม่ใช่หรอ พามากินอะไรร้อนๆจะได้หายเร็วๆ ว่าแต่เอาอีกถ้วยไหม อิ่มหรือเปล่า” จองกุกยื่นมือไปบีบปลายจมูกโด่งรั้นของแทฮยองซึ่งขึ้นสีแดงจัดเบาๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มอูมๆที่ภายในเต็มไปด้วยบัวลอยเล่น จนแทฮยองต้องหันแก้มหนีพร้อมยกชามบัวลอยย้ายตามไปด้วย

“ไม่แกล้งแล้ว กลับมานั่งนี่เร็ว” ถึงจะยังไม่ไว้วางใจแต่แทฮยองก็ยอมยกชามบัวลอยกลับมานั่งข้างท่านจองกุกอีกครั้ง ดวงตากลมโตผละจากชามบัวลอยมามองคนที่นั่งข้างๆ ร่างสูงโปร่งที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แทฮยองแน่ใจว่าช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาจองกุกคงลำบากไม่น้อยทีเดียว

ริมฝีปากเล็กเบาลมลงบนช้อนซึ่งมีบัวลอยลูกโตก่อนจะยื่นไปชิดริมฝีปากหนา

“กินด้วยกันสิ กินคนเดียวไม่อร่อยเลย” ไม่ใช่แค่ท่านจองกุกคนเดียวหรอกที่เป็นห่วงเขา แทฮยองเองก็ห่วงอีกฝ่ายเหมือนกัน

มือหนากุมทับมือบางที่จับช้อนอยู่ก่อนจะส่งบัวลอยเข้าปาก กับความเป็นห่วงของแทฮยองจองกุกรับรู้มันได้เสมอ ผ่านดวงตาสีน้ำตาลใสซึ่งมองสบกันอยู่ ผ่านน้ำเสียงนุ่มละมุนที่แสนหวาน ผ่านสัมผัสทางผิวกายอุ่นๆ

อุ่นจนแทฮยองรู้สึกว่ามือของเขาราวกับสวมถุงมือหนาๆที่ความเย็นจากอากาศผ่านเข้ามาไม่ถึง อุ่นจนค่อยๆซึมซาบเข้าสู่หัวใจดวงน้อยจนหมด

ใส่ความเห็น