องค์รักษ์กุกวี

EP. 12 : ถ่านไฟเก่าและคู่แข่งใหม่ที่คาดไม่ถึง

นิ้วเรียวไล้ไปตามตัวอักษรที่ขีดเขียนอยู่บนแผ่นกระดาษ คิดถึงเหลือเกินกับเจ้าของลายมือที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตอนนี้ เพื่อนสนิทตัวเล็กที่กำลังสนุกสนานกับประสบการณ์แปลกใหม่ในดินแดนที่ไม่เคยไปเยี่ยมเยือนมาก่อน

“จีมินเขียนว่าอะไรบ้างแทฮยอง อ่านเร็ว” เสียงเล็กใสที่เร่งเร้าให้ร่างบางที่ถือจดหมายอยู่ในมือรีบอ่านเนื้อความที่เพื่อนเขียนส่งมาจากแดนไกลนั้นเป็นขององค์หญิงยูจองที่นั่งอยู่ด้วยกันภายในห้องโถงเอก ท่าทีตื่นเต้นที่มีมากมายทำให้แทฮยองอดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะเริ่มอ่านข้อความที่อยู่บนกระดาษให้อีกฝ่ายได้ฟัง

‘แทฮยองกับองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าคงสบายดี ตอนนี้จีมินกับพี่ยุนกิมาถึงเมืองเวสแวนด์แล้ว อากาศที่นี่หนาวมากเพราะอยู่บนเทือกเขาเลยมีหิมะตกเกือบตลอดเวลา จีมินต้องใส่เสื้อผ้าสามสี่ชั้นถึงจะพอให้หายหนาวได้ ทั้งสองคนลองนึกภาพดูสิ จากที่ปกติก็กลมอยู่แล้วตอนนี้เลยกลมจนเกือบจะเหมือนตุ๊กตาหิมะที่เด็กๆชอบปั้นไว้ตามถนนเลยล่ะ อ่อ ไม่ต้องห่วงว่าจีมินจะป่วยเพราะหิมะพวกนี้หรอกนะเพราะเขาเตรียมที่พักไว้ให้อย่างดีเลย อย่างที่ท่านโฮซอกเคยสอนไว้ในห้องเรียนว่าเมืองของพวกเขาร่ำรวยที่สุดมากกว่าเมืองของเราและเมืองนอร์ทแลนด์ที่อยู่เหนือขึ้นไปเสียอีก สองสามวันที่ผ่านมาจีมินเลยยุ่งอยู่กับการติดตามพี่ยุนกิไปสำรวจเมืองเขาด้วย ที่นี่มีเหมืองแร่เยอะมากคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาพวกร่ำรวยแน่ๆ จีมินเห็นเพชรเม็ดใหญ่ส่องวิบวับจนแสบตาแบบที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเพชรเม็ดใหญ่ขนาดนี้ได้ นึกเล่นๆนะว่าถ้าได้มาสักเม็ดสองเม็ดก็คงไม่ต้องทำมาหากินอีกแล้วทั้งชีวิต แต่ก็ได้แค่คิดนั่นแหล่ะ หลังจากนี้ดูเหมือนพวกเราจะต้องอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่ เพื่อหารือกับองค์ชายของเมืองเวสแวนด์เกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าเส้นทางการขนส่งสินค้าออกสู่ทะเล ก็อย่างว่าล่ะว่าเมืองเขาอยู่บนเทือกเขาสูงไม่มีทางออกสู่ทะเล มีแค่พื้นที่ทางซ้ายที่ติดกับเมืองของเรา เลยต้องอยู่คุยเรื่องกันอย่างละเอียดเลย

ปล. จีมินต้องไปแล้วล่ะ พี่ยุนกิมาตามแล้วบอกว่ามีชาร้อนๆกับสโคนหอมๆส่งมาให้ จีมินต้องเก็บสะสมอาหารไว้ในร่างกายเยอะๆจะได้สู้กับอากาศหนาวๆได้ ไว้เจอกันใหม่ในจดหมายฉบับหน้านะ คิดถึงทั้งสองคนเสมอ’

แทฮยองมองรอยยิ้มสดใสและดวงตายิบหยี ความสุขคือสิ่งที่ฉายให้เห็นชัดเจนบนใบหน้าขององค์หญิงยูจอง ไม่ต่างกันกับความรู้สึกในใจเขา ถึงจะไม่ได้อยู่ใกล้กันแต่แค่ตัวอักษรบนกระดาษไม่กี่แผ่นก็ช่วยเติมเต็มความคิดถึง ราวกับมีจีมินมายืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ห่างไกลกันเป็นพันๆไมล์แบบนี้

นิ้วมือเรียวสวยพับกระดาษจดหมายสอดเข้าไปในซองสีขาวอีกครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่วันที่ส่งจีมินขึ้นรถม้ามาจนถึงตอนนี้ วันเวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนไปเกือบ 3 อาทิตย์แล้ว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนเสมองออกไปนอกบานหน้าต่าง วิวทิวทัศน์ยังคงมองเห็นสวนดอกไม้ข้างตำหนัก แต่ตอนนี้ต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นต่างผลัดใบสีน้ำตาลแก่และสีส้มเข้มให้ร่วงหล่นอยู่ตามพื้น

ใครสองคนที่ดูคุ้นตายืนอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่เขาเคยปีนขึ้นไปเก็บผลมาปอกกินเมื่อคราวก่อน แทฮยองได้แต่มองดูนิ่งๆเมื่อไม่อาจได้ยินบทสนทนาของคนที่ยืนห่างออกไปข้างนอก แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความว้าวุ่นใจขึ้นมาคงไม่พ้นใบหน้าที่เขินอายของคุณข้าหลวงที่ยืนอยู่กับท่านจองกุก

“หืม มองอะไรหรอ” องค์หญิงถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสายตาที่ทอดมองออกไปด้านนอกของเพื่อนรัก ท่าทางของแทฮยองจุดความสงสัยขององค์หญิงยูจองขึ้นมา

“คุณข้าหลวงกับท่านจองกุกนี่” องค์หญิงมองสองคนที่ยืนอยู่เกือบแนบสนิทกันด้านนอก ก่อนถอนสายตากลับมามองเพื่อนสนิทอีกครั้ง แทฮยองยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่เป็นองค์หญิงยูจองที่พูดขึ้น

“หรือสองคนนั้นจะสนิทสนมกันอยู่จริงๆ” แทฮยองถอนสายตากลับมาแล้ว เขาเองก็บอกความรู้สึกของตนเองไม่ถูก ไม่ชอบใจคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น เขาไม่ใช่คนคิดมาก แต่เพราะรู้เรื่องความสัมพันธ์ก่อนหน้าของคนคู่นั้นดีถึงรู้สึกไม่ชอบใจแบบนี้

แทฮยองยังจำได้ดีถึงประโยคที่ท่านจองกุกพูดเมื่อครั้งก่อน ก็ในเมื่อจับจองกันเอาไว้แล้วเหตุใดแทฮยองจะต้องทนมองอีกฝ่ายไปสนิทสนมกับคนอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เคยคบหากันมาก่อน ถ่านไฟเก่าที่ถ้าเผลอขึ้นมา ลมอาจพันหวนจนจุดให้เพลิงลุกขึ้นมาอีกครั้งก็ได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่สองคนในห้องจะเห็นหน้าของผู้มาใหม่ ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีกรมท่า คนที่เคยยืนอยู่ในกรอบสายตาเมื่อครู่

“ท่านจองกุกมาหาแทฮยองล่ะมั้ง” องค์หญิงเอ่ยบอกเพื่อนร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ แทฮยองจึงลุกขึ้นเดินตามจองกุกออกมานอกห้อง

 

“ข้าจะแวะมาบอก เมื่อครู่มีข่าวรายงานว่ามีแผ่นดินไหวที่แถบเหนือ เห็นว่าคราวนี้มีชาวบ้านบาดเจ็บและเสียชีวิตมาก อาคารบ้านเรือนก็เสียหายหนัก ข้าต้องตามองค์ชายนัมจุนไปดูสถานการณ์ คงไม่ได้อยู่เจอตอนเย็น”

“ต้องอันตรายมากแน่ๆ ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะครับ” แทฮยองบอกออกไปด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่อยากจะถามเรื่องเมื่อครู่ที่เห็นอยู่ด้านนอกว่าอีกฝ่ายคุยอะไรกับคุณข้าหลวง แต่พอได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจกว่า เรื่องก่อนหน้าจึงถูกปล่อยละเลยไป ไม่ถามอะไรให้จองกุกต้องกังวลใจอีก

“เอาไว้กลับมาแล้วจะมาหา”

“อ่า ครับ” แทฮยองรับรู้ถึงสึกสัมผัสเบาๆที่แตะลงที่ข้อศอก เมื่ออยู่ในที่สาธารณะการสัมผัสกันไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้ชายทั้งสองฝ่ายแล้ว จองกุกจึงทำแค่เพียงแตะเบาๆเท่านั้น อย่างน้อยการได้สัมผัสกันถึงจะผ่านผ้าเนื้อหนาของชุดประจำตำแหน่ง แต่ก็ช่วยถ่ายทอดความรู้สึกคิดถึงและโหยหาของเขาได้ แม้จะเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น

 

แทฮยองกลับเข้ามาในห้องโถงเอกอีกครั้ง องค์หญิงยูจองยังคงมองด้วยท่าทีสงสัย จนเขาต้องเล่าออกไปถึงสาเหตุที่ทำให้จองกุกต้องมาถึงที่นี่

“ท่านจองกุกมาบอกว่าจะตามองค์ชายนัมจุนไปดูความเสียหายจากแผ่นดินไหวที่แถบเหนือขอรับ เห็นว่าครั้งนี้หนักอยู่” แทฮยองอธิบาย ความจริงเรื่องแผ่นดินไหวก็มีเกิดขึ้นบ้างเรื่อยๆในเมืองเคปแลนด์ของพวกเรา เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ได้รุนแรงอะไรนัก ต่างจากครั้งนี้ที่ถึงขนาดมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต

 

ตึก ตึก ตึก เสียงพื้นรองเท้ากระทบกับทางเดินหน้าห้องเบาๆเป็นจังหวะจนแทฮยองและองค์หญิงยูจองหันไปจดจ้องที่ประตู ดวงตากลมโตของแทฮยองเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงผู้มาใหม่ ร่างสูงโปร่งในชุดเดรสสีขาวยาวซึ่งปักด้วยดิ้นสีทองเป็นลวดลายดอกกุหลาบตั้งแต่ช่วงอกลงมาถึงชายกระโปรง กรอบหน้าหวานซึ่งล้อมรอบด้วยผมยาวนุ่มสลวยที่บัดนี้ถูกเกล้าขึ้นไปเป็นช่ออยู่หลังศีรษะและแซมด้วยเครื่องประดับเพชรเม็ดเล็กดูงามสง่า

“ท่านแม่” องค์หญิงยูจองเอ่ยเรียกเสียงใสแล้วสาวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อไปกอดองค์ราชินีมารดาของพระองค์

“พอได้เพื่อนคนโปรดมาอยู่ใกล้ๆก็ไม่ค่อยได้เยี่ยมแม่ที่ตำหนักเลยนะ สงสัยเอาเวลาไปเล่นหมดใช่หรือเปล่า”

“โธ่ท่านแม่ก็ เข้ามานั่งก่อนสิคะ คิดถึงจังเลย” องค์หญิงคว้ามือมารดาที่ยังคงยืนประทับอยู่ที่หน้าประตูให้เดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่องค์ราชินีจะประทับนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ภายในห้อง

“ว่าอย่างไรบ้างแทฮยอง ไม่ได้เจอเจ้านานเลย โตเป็นหนุ่มหน้ามนเสียแล้ว” สายตาเอ็นดูยังคงมีมาให้สำหรับเด็กหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มักจะปรากฏตัวอยู่ข้างกายลูกสาวของเธอเสมอ

“ถวายบังคมองค์ราชินีนะขอรับ”

“นั่งตามสบายเถอะ แม่ทำทาร์ตแอปเปิ้ลกุหลาบมาให้ลูกกับแทฮยองลองชิมด้วย เดี๋ยวให้นางกำนัลยกมาพร้อมกับชาเลยแล้วกัน ไม่ได้ลงห้องเครื่องเสียนาน น่ากลัวว่าฝีมือจะตกแล้ว” แทฮยองกับองค์หญิงยูจองถือโอกาสนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กที่อยู่ข้างโซฟาตัวใหญ่ที่องค์ราชินีนั่งอยู่ เพราะพระองค์ไม่ใช่คนถือยศถือศักดิ์ จึงอนุญาตให้ผู้ที่สนทนาด้วยนั่งบนโซฟาแทนที่จะลงไปนั่งกับพื้น

 

กลิ่นหอมของแป้งทาร์ตและเนยที่ถูกยกเข้ามากรุ่นไปทั่วห้องโถงเอก แทฮยองมองดอกกุหลาบสีแดงเหลืองตรงหน้าอย่างตื่นเต้น ดูสวยงามราวกับดอกกุหลาบจริงๆแต่ส่งกลิ่นเนยกรุ่นออกมาเหมือนทาร์ตปกติ ยิ่งเมื่อได้ลิ้มรสพร้อมกับชาชั้นดีที่ถูกรินออกจากกามันช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน รสชาติกรอบของแป้งทาร์ตและรสหวานธรรมชาติของแอปเปิ้ล อร่อยจนแทฮยองเผลอหยิบเข้าปากไม่หยุด

“ว่าแต่ท่านแม่ว่างหรือคะ ถึงมาหาลูกได้ถึงตำหนักเลย” องค์หญิงพูดทั้งที่ยังมีขนมอยู่ในปาก เพราะไม่มีคุณข้าหลวงเจ้าระเบียบมาคอยนั่งจับผิด อีกทั้งผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องมารยาทกับลูกสาวคนเดียวสักเท่าไหร่ องค์หญิงยูจองเลยมักจะมีท่าทีสบายๆเมื่ออยู่กับพระมารดาเสมอ

“ก็นิดหน่อย ท่านพ่อกับพี่ชายของลูกออกไปดูแลปัญหาแผ่นดินไหวกันหมด จนไม่มีใครเหลืออยู่สักคน”

“เห็นท่านจองกุกบอกแทฮยองว่าแผ่นดินไหวหนักมากเลยหรือคะ”

“ก็หนักเอาเรื่อง พอได้ข่าวนัมจุนถึงต้องรีบออกเดินทางไปดูเหตุการณ์พร้อมกับพวกราชองค์รักษ์ อืม จะว่าไปแล้วพอพูดถึงราชองค์รักษ์คนนั้นแม่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ดูเป็นคนหนุ่มที่ท่าทางเข้าท่าทีเดียว อายุน้อยแต่มีความสามารถมาก”

“ไม่ค่อยเห็นท่านแม่เอ่ยปากชมใครง่ายๆ” องค์หญิงเอ่ยเย้ามารดา นอกจากท่านพ่อกับพี่นัมจุนที่ท่านแม่ชื่นชมบ่อยๆ ก็ไม่เห็นจะเอ่ยถึงใครอีก

“แม่ก็พูดตามที่เห็น ถ้าได้คนหนุ่มที่มีความสามารถระดับนี้มาเป็นลูกเขยก็คงหายห่วงได้”

“ค…แค่ก แค่ก” เสียงลำสักที่ไม่มีมาจากคนๆเดียว แต่มาจากผู้เยาว์วัยกว่าทั้งสองคนที่นั่งอยู่

“หืม เป็นอะไรหรือเปล่า จู่ๆก็ขนมติดคอพร้อมกันทั้งคู่” แทฮยองยิ้มเจื่อนในขณะที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ส่วนองค์หญิงยูจองได้แต่นิ่งเงียบแต่ไม่เอ่ยอะไรตอบ

“ถ้าเป็นราชองค์รักษ์จองกุกแม่ก็ไม่ขัดหรอก ลูกเองก็ลองพิจารณาดูเถอะ”

เพล้ง เสียงถ้วยกระเบื้องตกกระทบกับพื้นจนกระจายกลายเป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อย แทฮยองสบประสานกับสายตาสองคู่ที่มองจ้องมา เขาส่งยิ้มที่ดูเจื่อนลงไปอีกจากครั้งแรก ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ขอประทานอภัยขอรับ แทฮยองถือถ้วยชาไม่ระวังเอง เดี๋ยวแทฮยองไปเอาไม้กวาดมาทำความสะอาดนะขอรับ” ร่างบางลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ก่อนสาวเท้าเดินตรงไปยังประตูห้องโถงเอก ใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความไม่สบายใจ และยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่แว่วมาเมื่อเขาเดินออกจากห้องโถงเอกแล้ว

“อันที่จริงกับท่านจองกุกลูกเองก็ไม่ได้รังเกียจ….”

126695005

ใครบางคนที่ยืนอยู่ริมสุดทางเดินตรงหน้าทำให้แทฮยองเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายให้มากขึ้น รอยยิ้มที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาอย่างกะทันหันส่งออกไปให้หญิงสาวที่ยืนอยู่

“คุณข้าหลวงอยู่ที่นี่เอง” คนที่แทฮยองตั้งใจเดินเข้าไปทักทายคือคุณข้าหลวงจูฮยอน แล้วความคิดบางอย่างก็เกิดขึ้นมาในหัว

“คือแทฮยองทำถ้วยน้ำชาหล่นแตก เลยจะขอไม้กวาดไปเก็บเศษแก้วครับ”

“เดี๋ยวดิฉันหยิบให้ค่ะ จะให้ไปช่วยเก็บกวาดให้ไหมคะ”

“ก็ดีนะครับ แต่รออีกสักพักดีกว่า ตอนนี้องค์หญิงกับองค์ราชินีคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ แทฮยองเองก็ไม่กล้าเข้าไป” รอยยิ้มถูกส่งไปให้คุณข้าหลวงอีกครั้ง ยิ้มหวานที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความนึกคิดที่อยู่ภายใน

“ได้ค่ะ”

“เห็นว่าเป็นเรื่องของท่านจองกุก ดูเหมือนองค์ราชินีจะโปรดปรานท่านจองกุกจนอยากให้มาเป็นลูกเขยน่ะครับ องค์หญิงเองก็ไม่ขัดข้องอะไร ว่าไปก็สงสารพวกผู้หญิงในวัง คงผิดหวังกันเป็นแถว ในเมื่อองค์หญิงทรงชนะผู้หญิงทุกคนในเมืองตั้งแต่เรื่องชาติกำเนิดแล้ว” แทฮยองสังเกตใบหน้าที่ซีดเผือดไร้สีเลือดของคุณข้าหลวง เดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคงตกใจไม่ต่างจากที่เขาเป็นเมื่อครู่

“คู่ครองที่ช่วยสนับสนุนทั้งฐานะและฐานันดร ท่านจองกุกคงไม่ปฏิเสธ คุณข้าหลวงว่าไหม” ไร้ซึ่งคำตอบกลับของหญิงสาวตรงหน้า แน่นอนว่าคงไม่มีใครอาจหาญไปเป็นคู่แข่งด้านความรักขององค์หญิงยูจองแน่ เพราะแค่ชาติกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาหรือคุณข้าหลวงเองก็ไม่อาจทัดเทียมองค์หญิงได้ แทฮยองรู้ดีว่าเรื่องนี้คุณข้าหลวงเองก็ไม่ผิด อีกฝ่ายเคยสนิทสนมกับท่านจองกุกมาก่อนเขาเสียอีก หากตัดเรื่องชาติกำเนิดทิ้งคุณข้าหลวงนับว่าเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ทั้งหน้าตา กิริยาความประพฤติ งานบ้านงานเรือนก็ไม่มีบกพร่อง เทียบกับเขาแล้วก็นับว่าดีกว่ามาก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แทฮยองจะยอมถอย ในเมื่อท่านจองกุกเลือกเขาแล้ว และเขากับคุณข้าหลวงเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรให้ต้องเกรงใจกัน ดังนั้นแทฮยองเองก็จะสู้ให้ถึงที่สุด หากถ่านไฟเก่านี้พร้อมที่จะลุกไหม้ แทฮยองเองก็พร้อมจะทำทุกทางเพื่อดับมันให้มอดสนิทเหมือนกัน

แทฮยองเดินจากมาเงียบๆ เขาเห็นแววตาที่สั่นระริกคู่นั้น เพียงเท่านี้ก็คงเพียงพอที่จะหยุดความสัมพันธ์ของคุณข้าหลวงกับท่านจองกุกแล้ว อันที่จริงถ้ามีทางเลือกอื่นเขาเองก็ไม่อยากเอาองค์หญิงมาข่มคุณข้าหลวงหรอก แต่เพราะเป็นผู้ชาย ความรักที่หากเปิดเผยออกไปคงไม่มีผลดีตามมา เขาถึงต้องใช้วิธีนี้ ไม่ได้อยากเห็นแก่ตัวแต่เขาแค่ต้องการปกป้องความรักเอาไว้เท่านั้น

 

แทฮยองกลับเข้าไปในห้องโถงเอกอีกครั้ง องค์ราชินีคงกลับตำหนักไปแล้ว เหลือเพียงองค์หญิงยูจองที่นั่งอยู่ในห้องเพียงลำพังกับทาร์ตแอปเปิ้ลกุหลาบที่ยังส่งกลิ่นหอมกรุ่น

“หืม มีอะไรหรอ” องค์หญิงถามเพื่อนของเธอ เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของแทฮยอง

“เปล่าขอรับ ไม่มีอะไรหรอกองค์หญิง” แทฮยองปฏิเสธ เขาไม่กล้าเอ่ยถามตรงๆว่าองค์หญิงรู้สึกอย่างไรกับท่านจองกุก เพราะกลัวว่าถ้าได้ยินคำตอบแล้วเขาเองจะทำใจไม่ได้ องค์หญิงอยู่ในสถานะที่ต่างจากคุณข้าหลวงมากนัก ไม่ใช่เพราะฐานันดรที่สูงส่ง แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนรักของแทฮยองต่างหาก เขาถึงได้กลัวคำตอบข้อนี้นัก

แทฮยองมองใบหน้ากลมจิ้มลิ้มและดวงตายิบหยีที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก องค์หญิงยูจองที่อยู่ด้วยกันมานาน เพื่อนที่รู้จักกันดีที่สุด ที่ผ่านมาแค่เพียงมองตาก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ทำไมครั้งนี้เขาถึงไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาคู่นั้นได้

มองให้ออกสิแทฮยอง กับเพื่อนรักที่รู้จักดี มองให้ออกเหมือนทุกๆครั้ง ทำไมเขาถึงมองไม่ออกกันล่ะ

“เดือนหน้าก็จะสิ้นปีแล้ว จะเข้าฤดูหนาวแล้วสิ อากาศต้องหนาวมากแน่เลยแทฮยองว่ามั้ย” น้ำเสียงสดใสยังคงชวนแทฮยองคุยเหมือนปกติ ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปสักนิดกับท่าทางขององค์หญิงที่แสดงออกมา

“องค์หญิงไม่ชอบอากาศเย็นๆ แทฮยองรู้”

“แทฮยองเองก็ไม่ชอบอากาศเย็น พวกเรามักจะชอบอะไรเหมือนกันเสมอ” นั่นสิ เพราะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน พวกเราถึงชอบเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งอาหาร ทั้งเครื่องดื่ม แล้วตอนนี้กับคนที่แทฮยองชอบ องค์หญิงก็ชอบเขาเหมือนกันหรือเปล่า เพื่อเพื่อนแล้วแทฮยองยอมแบ่งให้ได้ทั้งหมด แต่กับความรักที่ไม่อาจแบ่งครึ่งได้ ทางเลือกมีเพียงยื้อแย่งให้ได้มาหรือยอมเสียสละไปเท่านั้นเอง

 

 

เช้าที่สดใสแต่อารมณ์ของเขากลับหม่นหมอง แทฮยองยังต้องไปเรียนที่ตำหนักขององค์หญิงเหมือนเดิม สองเท้าก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบ กับสิ่งที่อยู่ในใจการเจอหน้าองค์หญิงจึงกลายเป็นเรื่องที่ลำบากใจขึ้นมา

เขาก้าวเดินเข้าตำหนักเดิมที่มาเยือนทุกวัน ตรงไปยังห้องเรียนที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะหยุดลงที่หน้าบานประตูเมื่อเห็นองค์หญิงนั่งอยู่ตามลำพังคนเดียวในห้อง

“องค์หญิง” แทฮยองเอ่ยเรียก ดวงตายิบหยีเงยขึ้นมาจากสิ่งที่อยู่ในมือ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบยัดทุกสิ่งทุกอย่างลงหีบไม้ใบเล็กที่ตั้งอยู่ด้านข้าง

“อ้าว แทฮยองมาตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงสดใสไม่ได้ทำให้แทฮยองละความสนใจจากหีบไม้ใบนั้นเลย แทฮยองทันเห็นเนื้อผ้าสีขาวที่ถูกยัดเก็บลงไปหีบ

“องค์หญิงทำอะไรอยู่”

“หืม ไม่มีอะไรหรอก” คำปฏิเสธและรอยยิ้มที่ได้รับยิ่งทำให้แทฮยองสงสัยมากขึ้น ก่อนหน้านี้เคยไหมนะที่พวกเราจะมีความลับต่อกัน ไม่มีเรื่องไหนที่แทฮยองถามแล้วองค์หญิงไม่ยอมตอบ ไม่มีครั้งไหนที่ความจริงจะถูกปิดบังอย่างจงใจไม่ให้เพื่อนได้รู้ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ถ้าไม่สามารถเล่าให้กันฟังได้ แล้ววันหน้าระหว่างเราจะมีเรื่องใหญ่กว่านี้ที่ต้องโกหกปิดบังกันหรือเปล่า

“เห็นพี่นัมจุนกลับมาแล้วเมื่อเช้า แทฮยองเจอท่านซอกจินกับท่านจองกุกบ้างหรือยัง”

“แทฮยองยังไม่ได้เจอใครเลย แล้วองค์หญิงล่ะเจอใครบ้างหรือยังขอรับ”

….หรือมีใครที่องค์หญิงอยากเจอหรือเปล่า ขอเถอะนะเพื่อนรักของแทฮยอง ขออย่าให้เป็นคนเดียวกับที่เขาเองก็คิดถึงอยู่ตลอดเวลาเลย

 

 

 

มีไม่กี่ครั้งที่แทฮยองจะมาเยือนตำหนักขององค์ชายนัมจุน กับเวลาเย็นซึ่งตรงกับเวลานัดปกติของพวกเขาสองคน เพียงแต่วันนี้ไม่ใช่วันที่นัดกันเอาไว้เท่านั้น ทันทีที่แทฮยองเปิดประตูไม้ออกก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นตานั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ ซึ่งภายในห้องมีเพียงจองกุกเท่านั้น

“พี่ซอกจินกลับไปแล้วหรอ”

“อืม เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ขอโทษทีเพราะวันนี้ต้องสะสางงานเลยไม่ได้ไปหา” ร่างสูงละมือจากกองงานตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นมากุมมือของแทฮยองพาเดินไปที่โต๊ะ

แทฮยองนั่งลงบนตักของจองกุก ร่างสูงได้แต่แปลกใจที่วันนี้อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีเก้อเขินเหมือนปกติ เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่แทฮยองจะเป็นฝ่ายมานั่งตักเขา มีแต่เขาที่ลากคนตัวบางมานั่งตัก

“วันนี้เป็นอะไรอีก” แค่เห็นสีหน้าท่าทางเขาก็รู้แล้วว่าแทฮยองผิดปกติ แต่เพราะสองวันมานี้ไม่ได้เจอกันเลยไม่รู้ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายเครียดเรื่องอะไร

“ที่เคยบอกว่าจองเราไว้พูดจริงหรือเปล่า” จองกุกมองคนที่ซบหน้าลงกับอกของเขา

“พนันของเรามันแค่เดือนเดียว นี่เลยมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่จริงจังคงไม่ตามตอแยแบบนี้หรอก” เป็นความจริงที่สัญญาหนึ่งเดือนจบไปนานแล้ว แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังเจอกัน ยังใช้เวลาด้วยกันในตอนเย็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เพื่อฝึกซ้อมเหมือนที่คนอื่นๆเข้าใจ เพราะแทฮยองบ่ายเบี่ยงเรื่องนั้นไปนานแล้ว ส่วนใหญ่พวกเขามักไปเดินเที่ยวข้างนอก หรือหาที่คุยกันตามลำพังมากกว่า

“แล้วถ้าวันนึงมีคนที่ดีกว่าเราเข้ามา”

“…”

“ถ้าคนๆนั้นดีกว่าเราทุกอย่าง ถ้าเขาสนับสนุนท่านจองกุกได้ทุกเรื่อง ท่านจองกุกจะปล่อยมือเราไหม” แทฮยองไม่มีอะไรสู้องค์หญิงได้เลยจริงๆ มีแต่ความรู้สึกที่เขาคิดว่ามันคือความรักถึงได้เปิดโอกาสให้ผู้ชายคนนี้เข้ามามีตัวตนในชีวิตมากขนาดนี้ แต่แทฮยองก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันมากพอหรือเปล่า มากพอที่จะรักษาความรักครั้งนี้ได้ไหม เขาอยากจะจับมือผู้ชายคนนี้เดินไปด้วยกันข้างหน้า แต่ถ้ามันเป็นความต้องการของเขาคนเดียว ถ้าจองกุกอยากปล่อยมือเขาไปกุมมือคนอื่น แทฮยองจะทำอย่างไร ตอนเสียเพื่อนรักอย่างจีมินไปเขายังมีจองกุกกับองค์หญิงยูจองคอยปลอบโยนอยู่ข้างๆ แต่หากต้องเสียทั้งสองคนไป เขาจะยังมีอะไรเหลืออยู่

“หมายความว่ายังไง” จองกุกไม่รู้ว่าทำไมแทฮยองถึงดูอ่อนไหวขนาดนี้ น้ำเสียงแผ่วเบาและร่างกายบอบบางที่สั่นไหวจนเขาต้องกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น

“ถ้าเป็นองค์หญิงยูจองที่ให้ท่านจองกุกได้ทั้งตำแหน่ง ฐานะและฐานันดร ท่านจองกุกยังจะเลือกเราอยู่หรือเปล่า”

“….” แทฮยองมองใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ตอบอะไรกลับมา ความรู้สึกปวดหนึบกอบกุมจิตใจ ที่ไม่ปฏิเสธเพราะกำลังลังเลอยู่หรือเปล่า

“ไม่ใช่แค่ท่านที่จับจองเราไว้ เราก็อยากจองร่างกายกับหัวใจดวงนี้ไม่ให้ไปเป็นของใครเหมือนกัน” มือบางสองข้างประคองใบหน้าคมไว้ แทฮยองกดริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของจองกุก หัวใจของเขายังคงเต้นแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน หวังว่าจังหวะในอกของร่างสูงจะยังคงเต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับเขา อย่าเพิ่งเปลี่ยนแปลงไปเป็นจังหวะอื่นเลย

จองกุกโอบเอวบางให้แนบชิดมากขึ้น สัมผัสนุ่มนวลแผ่วเบาบนริมฝีปากค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ลึกซึ้งและเกี่ยวกระหวัดจนปัดความหวาดหวั่นของแทฮยองทิ้งไปหมด จองกุกเลาะเล็มกลีบปากอิ่มอย่างช้าๆ สัมผัสความหวานภายในที่ไม่เคยได้ชิมมาก่อน ส่งต่อทุกความรู้สึกของเขาให้แทฮยองได้รับรู้ อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักและหลงใหลในตัวคนๆนี้เหลือเกิน

“ไม่ต้องมั่นใจในตัวข้า แค่มั่นใจในตนเอง เพราะเป็นเจ้าข้าถึงรัก” จองกุกเคยพูดไปแล้วว่าเส้นทางของเขาจะมีแทฮยองอยู่เสมอ ถึงไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า แต่ในวันนี้เขายังรู้สึกเหมือนเดิม คนที่อยากให้อยู่ด้วยกันยังเป็นร่างบางคนนี้เสมอ จังหวะในอกเขายังสั่นรุนแรงเมื่ออยู่ใกล้กับแทฮยองเหมือนทุกครั้ง ไม่เคยช้าลง และไม่เคยสั่นไหวแบบนี้เมื่ออยู่กับคนอื่น

126695005

แทฮยองมองเพื่อนตัวเล็กที่ขะมักเขม้นกับการปักผ้าสีขาว องค์หญิงที่ไม่ถูกกับงานบ้านงานเรือน วิชาเย็บปักถักร้อยที่ต้องยื้อยุดให้เขากับจีมินมาช่วยเสมอกำลังทำในสิ่งที่เจ้าตัวเคยบ่นว่าไม่ชอบ เขาแกล้งทำเสียงกระแอมขึ้นมาเพื่อให้องค์หญิงรับรู้ว่าตอนนี้เขายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนแล้ว

“อ้าว แทฮยองนี่เอง” เป็นอีกครั้งที่องค์หญิงยัดทุกสิ่งที่อยู่ในมือลงหีบใบเล็กก่อนจะปิดลงแล้วหันมาส่งยิ้มให้ แทฮยองมองใบหน้าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ใกล้กันตอนนี้

“องค์หญิง ถ้าแทฮยองถามอะไรสักอย่างจะตอบกันตรงๆได้ไหม” อย่าปิดบังกันเลย ถ้าเขาต้องเสียใจขอให้เสียใจเพราะรู้ความจริง ดีกว่าเสียใจเพราะถูกปิดบังแบบนี้

“อืม ถ้าตอบได้นะ” แล้วแทฮยองก็มั่นใจว่าระหว่างเราเกิดเรื่องที่ไม่สามารถบอกกันได้ขึ้นมาเสียแล้ว

…..เรื่องแรกที่เป็นความลับจนบอกกันไม่ได้คือเรื่องไหนกัน

“ถ้าแทฮยองถามว่าองค์หญิงคิดอย่างไรกับท่านจองกุกล่ะ องค์หญิงจะตอบได้หรือเปล่า”

…..จะใช่เรื่องนี้ไหม เรื่องที่แทฮยองอยากรู้ที่สุด เรื่องที่เขากังวลกับตำตอบของมันมาตลอด

ใส่ความเห็น