องค์รักษ์กุกวี

EP. 11 : มิตรภาพกับการตัดสินใจ

ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญและการเริ่มต้นใหม่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้คนก็มักจะกลัวเมื่อต้องเริ่มต้นสิ่งใหม่หรือเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างออกไปจากเดิม เพียงเพราะความรู้สึกไม่คุ้นชินและอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้คนเรามักวิตกกังวลไปแม้แต่กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สองวันที่ผ่านมาจีมินยังคงครุ่นคิดถึงคำชวนของยุนกิที่เขายังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไป การตัดสินใจมันยากเสมอเมื่อไม่ได้มีเพียงแค่ความรู้สึกของตนเองที่ต้องคำนึงถึง

ในเวลาที่เย็นย่ำจนเกือบค่ำ ร่างเล็กยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นที่พักหลังเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนบ่อยนัก ตั้งแต่ที่แทฮยองมีฝึกซ้อมกับท่านจองกุกในตอนเย็น จีมินจึงเลือกจะกลับบ้านไม่ได้มานั่งเล่นที่บ้านแทฮยองเหมือนเมื่อก่อน แต่อาจเป็นเพราะช่วงนี้เขามีเรื่องที่ติดอยู่ในใจถึงได้เลือกที่จะมาที่นี่อีกครั้ง และกลายเป็นว่าต้องมานั่งรอเพื่อนตัวบางที่ใกล้มืดเข้าไปทุกทีแต่ป่านนี้ยังกลับไม่ถึงบ้าน

“แทฮยองยังไม่กลับมาอีกหรอ” เสียงที่เขาคุ้นเคยทักขึ้นในวินาทีที่ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น จีมินมองซอกจินที่เป็นดั่งพี่ชายแท้ๆเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับไปให้พี่ชายตัวสูง

“ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะเรา” จีมินยิ้มให้กับคำทักทายนั้น ในขณะที่คนเป็นพี่เลือกจะนั่งลงบนโซฟาข้างน้องชายตัวเล็ก

“แล้วช่วงนี้เป็นไงบ้าง ไม่ใช่ว่าแทฮยองชวนเล่นซนไม่หยุดหรอกนะ” เสียงกลั้วหัวเราะกับประโยคที่รู้ถึงนิสัยของน้องชายตนเองดี ใครๆก็ว่ามีแทฮยองอยู่ที่ไหน มีความวุ่นวายอยู่ที่นั่น ส่วนน้องชายตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างเขาในเวลาปกติก็ดูจะไม่น่าเป็นห่วงอะไร แต่เมื่อไหร่ที่อยู่กับแทฮยองก็กลายเป็นชอบชวนกันเล่นซนไปทั่ว ยิ่งรวมองค์หญิงยูจองเข้าไปก็จะกลายเป็นสามเกลอที่ชอบหาเรื่องปวดหัวให้คนรอบข้างไม่หยุด

“โธ่พี่จิน แทฮยองติดฝึกซ้อมทุกวันจะเอาเวลาที่ไหนไปซนกัน ว่าแต่พี่เถอะ เห็นท่านโฮซอกดูวุ่นวายมากเรื่องสร้างกำแพงกั้นน้ำ พี่เองก็คงไม่ต่างกันเพราะต้องติดตามองค์ชายนัมจุนไปดูแลเรื่องนี้ด้วย” ถึงจะไม่ค่อยได้เจอก็ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจเรื่องของอีกฝ่าย ตรงกันข้ามจีมินรู้ดีว่าพี่ซอกจินมีหน้าที่รับผิดชอบมากขนาดไหน

“ต่อไปก็คงยุ่งนิดหน่อย แต่ก็เลือกจะเป็นราชองค์รักษ์แล้วหนิ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาถึงจะฟังดูเหนื่อยกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแต่ยังคงมั่นคงและหนักแน่นชัดเจนสมกับเป็นชายชาติทหาร

“พี่ซอกจิน”

“หืม”

“ที่เป็นตอนนี้มีความสุขหรือเปล่า” นั่นคือสิ่งที่จีมินสงสัยมากที่สุด หากเขายังคงเลือกเส้นทางเดิม ต่อไปก็คงอยู่ในฐานะที่ไม่ต่างจากซอกจินตอนนี้

“ทำไมถึงถามแบบนั้น หรือว่าจีมินไม่มีความสุข” มือใหญ่เลื่อนมาวางทับมือเล็กของคนเป็นน้อง บีบกระชับด้วยความเป็นห่วง ซอกจินไม่รู้หรอกว่าทำไมจีมินถึงถามคำถามนี้ แต่เพราะคุ้นเคยกับน้องชายคนนี้มาตั้งแต่เด็ก แค่ได้ยินน้ำเสียงเขาก็บอกได้แล้วว่าจีมินกำลังไม่สบายใจ

“จีมินแค่สงสัยว่าความฝันหน้าตาเป็นแบบไหน แล้วอนาคตมันจะเป็นยังไงเท่านั้นเอง” เพราะยังมองน้องชายเป็นเด็กอยู่เสมอ ซอกจินถึงไม่ทันสังเกตว่าจีมินโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ โตพอที่จะเลิกเล่นสนุกไปวันๆ และมองหาความฝันของตนเอง มองหาสิ่งที่จะสร้างความสุขและความมั่นคงในชีวิต ในวันที่ทุกอย่างรอบตัวดูพร่ามัวจนตัดสินใจไม่ถูก ไม่ต่างจากครั้งนึงที่เขาเคยเจอสถานการณ์แบบนี้

“งั้นจีมินอยากฟังความฝันของพี่ไหม” ถึงเขาจะไม่สามารถให้คำตอบกับน้องได้ ว่าความฝันของจีมินคืออะไร หรืออนาคตควรเดินไปทางไหน เพราะทุกคนควรเลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง เขาจึงทำได้แค่บอกเล่าประสบการณ์ให้น้องได้ฟังแล้วลองคิดตาม

“อย่างที่จีมินเห็นว่าพ่อพี่เป็นทหาร คุณปู่หรือคุณปู่ทวดก็เป็นทหาร พี่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก บังคับให้เรียนรู้และฝึกฟันดาบ ขี่ม้า ยิงธนู ตั้งแต่ยังไม่รู้จักคำว่าความฝันด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่พี่ไม่ได้เกลียดมัน”

“…”

“ยิ่งพอได้มาติดตามองค์ชาย ได้เห็นความทุ่มเทและเสียสละของพระองค์ก็รู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่มาเป็นราชองค์รักษ์ ถึงจะไม่ได้เป็นเสนาบดีอย่างพ่อ แต่แค่ได้ช่วยแบ่งเบางานขององค์ชายก็พอแล้ว พี่มีความสุขที่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่ว่าต่อไปงานจะหนักขนาดไหน จะเสี่ยงขนาดไหน หน้าที่นี้ก็คือหน้าที่ที่พี่รัก นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าไม่เป็นทหารแล้วจะไปทำอะไร เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่ความฝันหรืออนาคต แต่มันคือชีวิตที่พี่เลือก แล้วจีมินล่ะเลือกได้หรือยัง”

“ตอนนี้จีมินมีความสุขนะ มีความสุขมากที่ได้อยู่กับแทฮยองกับองค์หญิง ได้เจอกันทุกวัน ได้เที่ยวเล่นด้วยกัน แต่เราไม่สามารถเป็นแบบนี้ได้ตลอดไป หน้าที่ราชองค์รักษ์มันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่เที่ยวเล่นไปวันๆแบบที่ทำอยู่” ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป ได้เบี้ยหวัดมากพอควรกับหน้าที่อันทรงเกียรติ และคงจะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อดำรงตำแหน่งไปนานขึ้น แต่สุดท้ายแล้วเบี้ยหวัดที่ได้มาก็มาจากท้องพระคลัง มาจากเงินภาษีประชาชน แล้วคุณค่าในตนเองล่ะ เขาจะเอาความภูมิใจมาจากไหน ในเมื่อรู้ดีว่าไม่เคยทำอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งสักอย่าง

“อีกสองอาทิตย์พี่ยุนกิจะเป็นทูตไปเจรจากับเมืองอื่น จีมินกำลังคิดว่าอาจจะเดินทางไปด้วย บางทีการทูตอาจเป็นความฝันของจีมินก็ได้”

“จีมินจะทิ้งแทฮยองหรอ” สองสายตาหันขวับไปมองเจ้าของเสียงที่อยู่ตรงประตูห้องนั่งเล่น ซอกจินเห็นแววตาน้อยใจและน้ำสีใสที่คลออยู่ในดวงตากลมโตของน้องชายตนเอง ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็มีสีหน้าตกใจและกระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน

“อีกสองอาทิตย์ ทำไมจีมินไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเรามาก่อน ตั้งใจจะทิ้งกันไปจริงๆหรอ” ถ้าถามว่าตอนที่บังเอิญได้ยินแทฮยองรู้สึกอย่างไรเขาเองก็อธิบายไม่ถูก เขาเกิดมาไล่เลี่ยกับจีมินผู้ที่เป็นทั้งญาติและเพื่อนสนิทที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ใครๆก็มองว่าเขาสองคนเหมือนฝาแฝด เพราะเจอแทฮยองที่ไหนก็ต้องเจอจีมินอยู่ด้วย ไม่เคยแยกกันไปไหน พวกเขาเจอหน้ากันทุกวัน แทฮยองเลยไม่เคยคิดว่าจะมีวันไหนที่จะไม่ได้เจอหน้าจีมินอีก แล้วยิ่งไม่เคยจินตนาการถึงวันที่ไม่มีเพื่อนคนนี้อยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดคุยกัน ไม่ได้เที่ยวเล่นกัน และไม่สามารถเจอกันได้อีกในทุกเวลาที่คิดถึง แทฮยองไม่เคยเผื่อใจคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เขาเชื่อมาตลอดว่าเราสามคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

“จีมินไม่ได้ตั้งใจจะทิ้ง จีมินแค่..แค่พี่ยุนกิชวน” มันก็แค่คำชวนที่จีมินคิดว่ามันเป็นทางเลือกหนึ่งให้ชีวิต โดยไม่ได้คิดเลยว่าเมื่อพูดออกไปแล้วจะทำร้ายคนฟังมากขนาดไหน

“แค่ท่านยุนกิชวนจีมินก็จะทิ้งเรากับองค์หญิงแล้วหรอ เกือบทั้งชีวิตที่พวกเราอยู่ด้วยกันมันไม่มีความหมายอะไรเลยหรือไง ทำไมจีมินถึงจะทิ้งพวกเราไปอยู่กับคนอื่น เรากับองค์หญิงสำคัญกับจีมินน้อยกว่าท่านยุนกิอีกหรอ” อยู่ๆการที่ได้ยินแบบนั้นมันทำให้แทฮยองรู้สึกแย่ขึ้นมา ความน้อยใจกลั่นออกมาเป็นสายร่วงพรูจากดวงตากลมโตที่เคยสดใส ร้องไห้ให้กับความรู้สึกเหมือนตนเองไม่มีความสำคัญอะไรเลย ไม่มีค่าเท่ากับเพื่อนใหม่ที่อีกคนเพิ่งรู้จัก

“เราไม่ยอมให้จีมินไปหรอกนะ องค์หญิงก็ไม่ยอม แล้วถ้าจีมินเลือกจะไป พวกเราก็ไม่ใช่เพื่อนกันอีก” แทฮยองตะโกนด้วยเสียงดังทั้งหมดที่เขามี ไม่สนใจสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ของเพื่อนหรือสีหน้าตกใจของพี่ซอกจิน แทฮยองไม่ยอมเสียเพื่อนรักของเขาไปแน่ ถึงอีกฝ่ายจะท่านยุนกิที่เคยเข้ามาช่วยเขาในเวลาคับขัน

ร่างเล็กมองเพื่อนสนิทที่วิ่งขึ้นบันไดไปแล้ว น้ำตาที่ไหลนองหน้าทำให้จีมินรู้สึกผิด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จีมินจะมองว่าแทฮยองกับองค์หญิงไม่สำคัญ และไม่มีทางที่ยุนกิจะสำคัญมากไปกว่าเพื่อนรักที่เขารู้จักมาเกือบทั้งชีวิต มันเป็นเพียงการตัดสินใจเพื่อตัวเขาเอง เพื่อชีวิตของเขา ที่ไม่ง่ายนักเมื่อมีความรู้สึกของเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำไมถึงคิดว่าเขาจะไม่เสียใจล่ะ กับคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหากต้องแยกจากกันเขาเองก็เศร้าไม่ต่างจากแทฮยอง เขาถึงไม่ยอมตัดสินใจเรื่องนี้สักที ไม่อาจตัดสินใจในเรื่องที่จะทำร้ายความรู้สึกของเพื่อน

“อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย ตอนนี้แทฮยองโกรธไม่ฟังอะไรหรอก ไว้พี่จะค่อยๆพูดให้” ซอกจินบอกน้องชายอีกคนของเขา ดวงตาเรียวรีที่เต็มไปด้วยหยดน้ำใสๆที่พร้อมจะไหลลงมาทุกเมื่อไม่ต่างจากคนที่วิ่งขึ้นไปบนห้องแล้ว ทำไมซอกจินจะไม่เข้าใจความรู้สึกของทั้งคู่ เพราะเขาเห็นความสัมพันธ์ของเพื่อนคู่นี้ที่ค่อยๆถักทอขึ้นมาตั้งแต่เด็ก ระยะเวลาที่ผ่านไปมันผูกคนทั้งสามเข้าด้วยกัน ทั้งแทฮยอง จีมินและองค์หญิงยูจอง ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นก็แค่บั่นทอนความรู้สึกของแต่ละคนลงบ้าง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจีมินจะเลือกทางไหน ซอกจินก็มั่นใจว่าทั้งสามคนจะยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

…สำหรับจีมินถึงจะอยู่ห่างกัน แทฮยองกับองค์หญิงก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เขารักมากที่สุด ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนความรู้สึกนี้ไปไม่ได้ แต่สำหรับสองคนนั้นอาจไม่คิดเหมือนกัน หากเขาก้าวออกไปมิตรภาพของเราก็คงถึงจุดสิ้นสุดหรือเปล่า….

 

126695005

 

ความเปียกชื้นที่ข้างแก้มไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตลอดทางเดินกลับบ้านจีมินยังรู้สึกถึงมันตลอด ความรู้สึกบีบแน่นในอกที่ถึงจะคลายออกตอนที่พี่จินสัญญาว่าจะช่วยพูดกับแทอยองให้ แต่มันก็ยังหลงเหลือให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี และทั้งที่เย็นจนเลยเวลาอาหารค่ำไปมากแล้ว ปกติท้องของเขาควรจะหิว แต่วันนี้กลับจุกแน่นจนทานอะไรไม่ลงอีก

เงาตะคุ่มหน้าบ้านยิ่งเรียกความรู้สึกแย่ให้มากขึ้นอีก พี่ยุนกิที่ไม่รู้ว่ามายืนรออยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจตั้งแต่ตอนที่เขาเลิกเรียนแล้วไปนั่งรอแทฮยองที่บ้าน จนทะเลาะกันแล้วกลับมาเอาตอนนี้ กินเวลาหลายชั่วโมงจนกลายเป็นมืดค่ำไปแล้ว

วินาทีที่สบตากันจีมินไม่ได้พูดอะไรออกไป ไม่มีเสียงใดๆหลุดออกมาจากปากพี่ชายผิวขาวด้วย เมื่อสีหน้าของจีมินไม่สู้ดีนัก แล้วยุนกิก็ไม่รู้ว่าเขามีสิทธิ์มากพอที่จะเอ่ยถามหรือเปล่า

“พี่ยุนกิ” น้ำเสียงแหบพร่าเมื่ออาการสะอื้นกลับคืนมาอีกครั้งทำให้คนมองเจ็บแปลบยิ่งกว่า อะไรที่ทำให้น้องน้อยของเขาร้องไห้ในตอนนี้ อะไรที่เรียกน้ำตาให้ร่วงหล่นลงมาไม่หยุด

“…”

“ถ้าจีมินไม่ได้ไปกับพี่ คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” เพราะหากต้องเลือกแล้ว แทฮยองกับองค์หญิงคงสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด สำคัญจนจีมินเลือกจะปฏิเสธและทำลายความหวังของยุนกิ สำคัญกว่าความฝันและอนาคตของตัวเขาเสียอีก

“ถ้าคำชวนของพี่ทำให้จีมินร้องไห้ก็ลืมมันไปเสียเถอะ มันไม่เป็นอะไรเลย” หากคำขอของเขามีส่วนทำให้ร่างเล็กตรงหน้าเสียใจ ยุนกิก็พร้อมจะโยนมันทิ้งไป เขาชอบรอยยิ้มของจีมิน และคงทนไม่ได้ถ้าจะเป็นคนที่ทำให้มันหายไป สำหรับเขามันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะอยู่ห่างกันขนาดไหน แม้แต่ในเวลาที่ไม่ได้อยู่ข้างๆกัน ขอเพียงได้รับรู้ว่าจีมินยังยิ้มได้เขาก็พอใจแล้ว เพราะความรู้สึกของคนตัวเล็กนั้นสำคัญมากกว่าความหวังของเขาเสียอีก

 

 

 

บนถนนสายเดิมที่ทอดยาวจากบ้านและจุดหมายปลายทางคือตำหนักขององค์หญิงยูจองในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงไปเพียงแค่ท้องฟ้าสีเทาเข้มและก้อนเมฆสีขมุกขมัวที่มาแทนที่แสงอาทิตย์ในยามเช้า ทั้งที่การได้พบเจอเพื่อนรักคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำและเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่จีมินรอคอยเสมอ แต่วันนี้สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นความอึดอัดที่ติดอยู่ในความรู้สึก

จีมินปลอบใจตัวเองว่ามันจะไม่เป็นไร เพียงแค่บอกคำตอบของเขาต่อหน้าแทฮยองว่าเขาตัดสินใจจะไม่ไปไหนทุกอย่างก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แทฮยองจะต้องให้อภัยและหลังเลิกเรียนพวกเราก็คงจะไปหาอะไรสนุกๆเล่นกันเหมือนเก่า แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ยังอดกังวลอยู่ลึกๆไม่ได้ ระยะทางที่เท่าเดิมทุกวันกลับกลายเป็นสั้นลงเมื่อเขากลัวการเผชิญหน้ากับเพื่อนรัก ทั้งที่รู้สึกว่าเพิ่งเดินออกจากบ้านได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ตรงหน้าเขากลับเป็นอาคารใหญ่โตโอ่โถงที่เห็นจนชินตาเสียแล้ว

เสียงฟ้าร้องครืน ครืน และลมที่พัดแรงบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนโปรยลงสู่พื้นเบื้องล่าง แม้แต่เหล่าดอกไม้และต้นหญ้าที่อยู่ปลายเท้าเขาเองก็ราวกับตอบรับสัญญาณเหล่านั้นโดยการชูกิ่งก้านเพื่อรองรับหยดน้ำที่กำลังจะร่วงหล่นจากท้องฟ้าและมอบความชุ่มชื้นมาให้ จีมินได้แต่เก็บความสวยงามที่มองเห็นซึ่งช่วยผ่อนคลายความรู้สึกตึงเครียดของเขาไว้ในใจก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในตัวอาคารเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขากังวล

ทันทีที่เปิดประตูออก สองสายตาที่เขาคุ้นเคยก็มองตรงมาก่อนจะเบือนหนีกันเสียดื้อๆ ไม่มีการทักทายหรือยิ้มให้ จนรอยยิ้มที่เขากำลังจะส่งออกไปต้องค่อยๆหุบลงตามเดิม

“องค์หญิง แท..”

“องค์หญิงเลิกเรียนแล้วไปนั่งเล่นในห้องโถงเอกกันดีกว่า วันนี้แทฮยองเอาขนมแป้งนึ่งที่แม่ทำมาด้วยนะ” ทั้งที่จีมินกำลังจะทักออกไปเพื่อจะบอกเล่าการตัดสินใจของเขา แต่น้ำเสียงสดใสของแทฮยองกลับตัดบทขึ้นมาก่อนจนคำพูดของจีมินถูกเมินไปไม่มีใครสนใจฟัง

“ดีจังเลย จีมินช..” เอ่ยปากออกไปอีกครั้ง เพื่อจะดึงความสนใจของเพื่อน

“ไปกินกันสองคนเนอะ คนอื่นไม่ใช่เพื่อนเราก็ไม่ต้องให้เขากิน” จากที่จีมินเคยเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม เคยพูดคุยหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนาน แต่ตอนนี้เขากลับถูกกันเป็นแค่คนอื่น คนอื่นที่ไม่ได้มีความหมายว่าเพื่อนแบบที่เคยเป็นมาตลอด

ในอกยิ่งบีบรัดด้วยความน้อยใจที่ขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มหัวใจดวงน้อย ภาพเพื่อนสองคนที่พูดคุยและหัวเราะให้กันแต่เขากลับไม่สามารถเข้าไปร่วมด้วย ถูกเมินจนเหมือนไม่มีตัวตนทั้งที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันนัก หากเป็นคนอื่นจีมินคงไม่เอามาใส่ใจนัก แต่เพราะเป็นแทฮยองกับองค์หญิงที่รู้จักและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่สำคัญกับเขา แล้วจีมินจะทำใจได้ยังไงเมื่อถูกมองเหมือนไม่มีตัวตนแบบนี้

สายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักด้านนอกหน้าต่างไม่ต่างไปจากความรู้สึกตอนนี้ บรรยากาศที่มืดครึ้ม อารมณ์ที่ขุ่นมัว ข้างนอกที่เหน็บหนาว ข้างในใจที่เงียบเหงา ยิ่งเสียงพูดคุยและเสียงเราะดังขึ้นเท่าไหร่ จีมินก็ยิ่งรู้สึกเหงามากขึ้นเท่านั้น

ถึงฝนจะตกหนักแค่ไหนการเรียนการสอนก็ยังคงดำเนินต่อไปในห้องเล็กๆที่ไม่ได้หนาวเย็นเหมือนข้างนอก เตาผิงอันใหญ่ช่วยให้ความอบอุ่นกับร่างกาย เสียแต่ว่าไม่ได้อุ่นมาถึงจิตใจของคนที่นั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ในสมองเล็กๆถึงนึกประโยคนึงจากหนังสือที่เคยอ่าน หากเมื่อใดที่ร่างกายสัมผัสถึงความหนาวเย็น คนเราก็จะลืมความหนาวเหน็บในจิตใจไปได้ และจีมินก็ได้แต่สงสัยว่าถ้าเขาอยู่ข้างนอกท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา เขาจะยังรับรู้ถึงความเหงาอย่างที่รู้สึกอยู่ตอนนี้หรือเปล่า

การเรียนจบไปจนกระทั่งอาจารย์เดินออกจากห้อง จีมินหันไปหาแทฮยองกับองค์หญิงที่เก็บอุปกรณ์การเรียนเรียบร้อย

“แทฮยอง องค์หญิง” เอ่ยออกไปด้วยความกล้าที่เขารวบรวมขึ้นมาอีกครั้ง

“รีบไปกันเถอะองค์หญิง แทฮยองหิวจะแย่” ถึงจะถูกทำลายไปด้วยความเฉยเมย จีมินก็ไม่ได้นึกโกรธเลยสักนิด

“อย่าเพิ่งไปสิ” มือของแทฮยองที่จีมินคว้าไว้ได้ยังนิ่มเหมือนเมื่อก่อนที่เคยเดินจับมือกันบ่อยๆ เพียงแต่สายตาที่หันกลับมามีแต่ความว่างเปล่า เหมือนไม่รู้จักกัน เหมือนไม่ใช่แทฮยองเพื่อนที่เขารักคนเดิม

“อย่ามายุ่งกับพวกเรา จะไปไหนก็ไปสิ ไม่ใช่เพื่อนกันแล้วหนิ เรากับองค์หญิงไม่สนใจหรอกนะ พวกเราอยู่กันเองได้ หายไปแค่คนเดียวไม่ตายหรอก” ไม่รู้เลยว่ามือที่ถูกสะบัดออกกับคำพูดที่ได้รับอะไรอะไรกรีดเฉือนหัวใจของจีมินมากกว่ากัน เขาทำได้แค่ยอมปล่อยมือแล้วมองสองคนนั้นเดินออกจากห้องเรียนเพื่อตรงไปยังห้องโถงเอกที่เมื่อก่อนเคยไปนั่งผิงเตาผิงแล้วดื่มชาทานขนมอย่างอร่อย ถึงแม้ตอนนี้จะอยากเดินตามไปขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจทำได้ เมื่อตัวเขาถูกกันออกมาเป็นคนนอกแล้ว

สายฝนตกกระทบร่างเล็กที่เดินออกจากอาคารเพียงลำพัง เส้นผมเริ่มเปียกชื้นจนหยดน้ำฝนไหลลงมาตามกรอบหน้าเล็ก แล้วจีมินก็รู้ว่าประโยคในหนังสือนั้นไม่ถูกต้องสักนิด ในขณะที่ร่างกายหนาวเย็นเขากลับยิ่งรับรู้สึกเหงาที่อยู่ในใจได้มากขึ้น คำพูดที่เคยตระเตรียมมาก่อนไม่มีความหมายเลยสักนิดเมื่อแทฮยองและองค์หญิงไม่เปิดโอกาสให้พูด ทั้งที่เขาตัดสินใจจะไม่ไปกับพี่ยุนกิ แต่การกระทำที่ได้รับเหมือนบอกให้รู้ว่าเขาคงไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อีก แทฮยองกับองค์หญิงยูจองบังคับให้เขาต้องเดินไปทางอื่นที่ไม่ใช่ทางเดียวกันกับสองคนนั้น

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกอุ่นๆรินรดลงมาที่สองข้างแก้ม มันต่างจากหยดฝนที่เย็นเฉียบ และทำให้ขอบตาของเขาร้อนผ่าว แม้ไร้เสียงสะอื้นแต่จีมินรู้ดีว่าเขากำลังร้องไห้ ถึงจะดูเหมือนเติบโตมากขึ้น แต่ลึกๆแล้วก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่หวาดกลัวเมื่อรู้ว่ามันกำลังจะจบลง เขานึกย้อนกลับไปสมัยเด็กที่ได้วิ่งเล่นท่ามกลางฝนที่ตกลงมา เพียงแต่วันนี้ความสนุกเหล่านั้นเลือนหายไปเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ยืนอยู่ตามลำพัง

บนถนนเส้นเดิมที่ตรงหน้าคือบ้านของเขา ดวงตาเรียวเล็กมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีเทาขมุกขมัวเริ่มจางหายไปแล้วและแสงอาทิตย์กำลังจะสาดส่องลงมาอีกครั้ง สายฝนที่เคยเทกระหน่ำก็หยุดลงแล้วเช่นกัน เหลือเพียงน้ำใสๆที่ยังไหลรินลงมาจากดวงตาเรียวเล็กอยู่

…แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ขอร้องไห้ ก่อนที่น้ำตาแห่งความเศร้าจะหยุดลงพร้อมกับชีวิตที่ต้องเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง เหมือนที่แทฮยองพูด ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทั้งแทฮยองและองค์หญิงก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อยู่ดี

 

126695005

 

ความอบอุ่นจากเตาผิงแผ่กระจายไปทั่วห้องโถงเอก กลิ่นชาที่หอมกรุ่นและกลิ่นหอมของขนมแป้งนึ่งลอยออกมาจากจานกระเบื้องที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่บรรยากาศดีๆกลับไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกเศร้าหมองของคนสองคนที่นั่งอยู่ได้เลยแม้แต่นิด

“เหงาจังเลย แค่ไม่มีจีมินเหงาขนาดนี้เลยหรอ” สิ่งที่ออกมาจากปากองค์หญิงเป็นความรู้สึกที่ตรงกับที่แทฮยองคิดอยู่ แค่วันเดียวที่ไม่ได้พูดคุยกันยังเหงาขนาดนี้ แล้ววันข้างหน้าที่ไม่มีจีมินอยู่จะต้องทนเหงามากขนาดไหน

“องค์หญิง แทฮยองไม่อยากให้จีมินไปเลย” ถึงจะเอ่ยไปว่าพวกเขาอยู่ต่อได้โดยไม่มีจีมิน แต่แทฮยองรู้ดีว่าการมีเพื่อนคนนั้นอยู่ด้วยมันดีที่สุด

“ทำแบบนี้มันถูกไหมนะ ตอนเห็นสีหน้าเศร้าๆของจีมินเราใจไม่ดีเลย” สีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้กับดวงตาที่แดงระเรื่อ เพราะจีมินตัวเล็ก ยิ่งเวลาร้องไห้ก็ยิ่งดูเหมือนจะแตกสลายไปได้ง่ายๆ เพราะรักและเข้าใจกันเกินกว่าใครๆ ถึงรู้ดีว่าเพื่อนตัวเล็กจะรู้สึกแย่แค่ไหนกัน

ถึงไม่ได้ร้องไห้ออกมาแต่พวกเขาก็เสียใจไม่แพ้จีมิน ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย แต่แค่ไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนเพื่อรั้งเพื่อนเอาไว้

 

Aide-De-Camp [KookV]

#องครักษ์กุกวี

 

กิ่งไม้ที่จรดลงบนพื้นดินก่อเกิดเป็นรูปร่างต่างๆตามแต่ใจคนที่ถือปลายไม้นั้นอยู่ ดวงตาคมเพ่งมองคนในชุดราชองค์รักษ์ที่นั่งอยู่กลางลานฝึกและจับกิ่งไม้เขียนขีดพื้นทรายไปเรื่อย ท่าทางเหงาหงอยปราศจากความร่าเริงทำเอาจองกุกอดแปลกใจไม่น้อยว่าวันนี้เด็กดีของเขาเป็นอะไรถึงได้ดูแปลกไปจากทุกที

“นั่งทำอะไรอยู่ หืม” แม้จะทักออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่คนมองกลับทำเพียงเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย ก่อนจะถอนหายใจแล้วก้มหน้าลงไปจดจ้องอยู่ที่พื้นดินอีกครั้ง

“ถามไม่ตอบ วันนี้มาแปลก” ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆทั้งสิ้น นอกจากเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมาอีกรอบ

“มีอะไรหรือเปล่า ท่าทางไม่สดใสเลย อยากเล่าให้ฟังไหม” สายตาหวานซึ้งเงยขึ้นมาสบตากับเขาสักพัก แต่ราวกับไม่รู้จะเอ่ยเล่าอย่างไร สุดท้ายเลยหลุบต่ำลงไปจดจ้องที่พื้นดินอีก

“เฮ้อ” คราวนี้เป็นตาจองกุกที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเด็กดีของเขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ ก็ถ้าพื้นดินมันน่าสนใจขนาดนั้น เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแย่งความสนใจของแทฮยองมาจากพื้นดินแล้วล่ะ

มือหนาเอื้อมไปดึงคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น ซึ่งแทฮยองก็ยอมทำตามโดยดี จองกุกเดินนำร่างบางไปยังห้องทำงานของเขา ขืนยังอยู่ในสนามฝึกซ้อมแทฮยองคงไม่พ้นนั่งจ้องพื้นดินไม่หยุด ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันน่าสนใจตรงไหน

โชคดีที่ซอกจินกลับไปตั้งแต่เลิกงานแล้ว ภายในห้องสี่เหลี่ยมจึงไม่มีใครเหลืออยู่ เขาเลื่อนเก้าอี้ทำงานออกมาจากหลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ก่อนจะนั่งลงแล้วฉุดคนที่พามาให้นั่งลงบนตักตนเองด้วย

“อ๊ะ”

“ทีนี้ก็เล่ามาได้แล้วว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” จองกุกไม่ได้สนใจน้ำเสียงใสๆและท่าทางตกใจของคนบนตักสักนิดเมื่อสิ่งที่เขาสนใจมีเพียงเรื่องที่อยู่ในใจของแทฮยองที่ทำให้ท่าทางร่าเริงสดใสหายไปเท่านั้น

 

Aide-De-Camp [KookV] #องครักษ์กุกวี

 

หลังน้ำเสียงของแทฮยองหยุดลง จองกุกก็รวบคนตัวบางให้เอนมาพิงอกของเขา มือหนาลูบผมเส้นเล็กปลอบโยนคนที่มีน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าไหร่ แทฮยองยังเด็กอยู่มากถึงได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในขณะที่คนโตกว่าอย่างเขากลับไม่ได้มองมันหนักหนามากนัก

“จะไม่พูดอะไรหน่อยหรอ”

“ให้พูดตามที่คิด หรือพูดในสิ่งที่เจ้าอยากฟังล่ะ” เขาย้อนถามเจ้าของดวงตากลมโตที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากันสักพักก่อนจะเอนตัวซบอกเขาตามเดิม

“แสดงว่าที่เราทำมันไม่ถูกสินะ” น้ำเสียงเหงาหงอยเสียจนจองกุกลังเลว่าควรจะพูดต่อหรือเปล่า แต่ถ้าเขาไม่พูดก็ไม่รู้ว่าคนตัวบางจะเข้าใจเพื่อนตนเองเอาเสียวันไหน ดีไม่ดีจะจากกันไปทั้งที่ไม่เข้าใจกันเปล่าๆ แล้วเขาก็ไม่อยากเห็นแทฮยองที่ซึมเศร้า แต่อยากเห็นแทฮยองที่แสนซนเหมือนเดิมมากกว่า

“แทฮยอง เคยคิดบ้างไหมว่าอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้าจะทำอะไรอยู่” ทั้งที่เป็นคำถามที่ไม่ได้ยากแต่คนฟังกลับตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยคิดอะไรไปไกลเกินกว่าวันพรุ่งนี้

“หรือคิดจะเป็นทหารแบบนี้ไปตลอดชีวิตกัน” จองกุกยิ้มให้กับเจ้าของหัวทุยที่ส่ายหน้าอยู่กับอกของเขา แทฮยองกลายเป็นเด็กขี้อ้อนสมกับอายุ ไม่ใช่เด็กที่เอาแต่เถียงว่าตนเองโตแล้วเหมือนปกติ

“แล้วรู้สึกอย่างไรที่ถูกพ่อบังคับให้ฝึกทหารมาตั้งแต่เด็กๆ”

“เราไม่ชอบ ไม่เคยคิดอยากจะเป็นทหารเลยด้วยซ้ำ” นั่นคือสิ่งที่จองกุกรู้ดีและอยากให้แทฮยองนึกถึงเหตุผลข้อนี้ให้มาก ไม่ใช่เพื่อให้เข้าใจตนเอง แต่เพื่อให้เข้าใจจีมินต่างหาก

“จีมินก็เหมือนกัน เขาเองก็ไม่ได้อยากเป็นทหาร ถ้าเขาอยากจะลองเลือกเส้นทางอื่นเพื่อตามหาสิ่งที่ชอบ มันก็ไม่ได้ผิดไม่ใช่หรอ”

“แต่เราไม่อยากให้จีมินไป” ไม่ใช่ไม่เข้าใจเหตุผลนั้น เพียงแต่แทฮยองไม่อาจยอมรับผลที่ตามมาได้

“ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอดไปหรอกนะ ทุกคนต้องมีชีวิตของตนเอง มันไม่ดีหรอกถ้าเราจะเอาชีวิตไปผูกติดกับคนอื่น หรือบังคับคนอื่นให้มาผูกติดกับเรา เจ้าไม่ชอบที่ถูกพ่อบังคับให้ฝึกทหารมาตั้งแต่เด็ก ถึงกับดื้อแพ่งต่อต้านมาตลอด แล้วทำไมตอนนี้ถึงทำเสียเองล่ะ”

“เราทำอะไร”

“พ่อบังคับเจ้าด้วยคำพูด ด้วยความคาดหวัง ส่วนเจ้าบังคับจีมินไม่ให้เขาเลือกทางเดินเอง ให้เขาทำตามที่เจ้าต้องการด้วยคำว่าเพื่อน”

“…”

“เพื่อนแท้ต้องคอยช่วยเหลือ สนับสนุนและเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำคือบังคับ เหนี่ยวรั้งไว้อย่างเห็นแก่ตัว ถึงจะพูดว่ามันคือมิตรภาพแต่กลับมองข้ามความความรู้สึกและเหตุผลของเพื่อนไปหมด อนาคตและความฝันของจีมินไม่สำคัญเลยหรอ ถึงได้บังคับให้เขาทิ้งมันเพื่อตัวเจ้าเอง แล้วถ้าสุดท้ายอนาคตของเขาพังลงไป เจ้าจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้ยังไงกัน”

จองกุกมองไม่เห็นดวงตากลมโตและใบหน้าหวานที่เขาหลงใหลแต่กลับรับรู้ถึงความเปียกชื้นที่อุ่นๆอยู่บริเวณหน้าอก เขารู้ว่าครั้งนี้อาจจะพูดตรงเกินไป เขารู้ว่าแทฮยองไม่ได้ตั้งใจจะเห็นแก่ตัวแบบที่เขาว่า แต่ความรักต่างหากที่ทำให้คนเราเป็นเช่นนี้ ความรักทำให้เขาเสียสละเพื่อเพื่อนรักได้ และก็เป็นความรักที่ทำให้เขาเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ สิ่งที่แทฮยองทำลงไปทั้งหมดก็เป็นเพราะรักจีมินมากเกินไปเท่านั้นเอง

“แทฮยองอ่า อาวุธที่ดีที่สุดของคนเราคือคำพูด มันผูกมัดคนอื่นได้ ในขณะเดียวกันก็ทำร้ายคนอื่นได้เหมือนกัน ยิ่งกับคนที่รักมากก็ยิ่งต้องระวัง ไม่อย่างนั้นคำพูดที่ไม่คิดอาจทำร้ายให้เขาเจ็บปวดก็ได้ อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กมาทำลายมิตรภาพดีๆที่มีอยู่เลย ทั้งองค์หญิงและจีมินเป็นเพื่อนเพียงสองคนที่เจ้ามีอยู่ จะปล่อยให้พังไปแบบนี้จริงๆหรอ” จองกุกโอบแขนรอบร่างบางที่สั่นน้อยๆ มือหนายังคงลูบหลังลูบไหล่คนในอ้อมกอดอยู่

“อย่าร้องไห้เลย ไม่ว่าใครจะเดินแยกออกไป แต่รู้ไว้เถอะว่าในเส้นทางของข้าจะยังมีเจ้าอยู่เสมอ” ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่แทฮยองต้องเรียนรู้เพื่อจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และการจากลาก็เป็นอีกสิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าและรับมือกับมันให้ได้ แต่อย่างน้อยจองกุกก็มั่นใจว่าหลังจากนี้ไม่ว่าแทฮยองจะพบเจออะไร ก็จะยังมีเขาที่อยู่เคียงข้างคอยเป็นกำลังใจให้อยู่อย่างแน่นอน

 

126695005

 

เวลาสองอาทิตย์ที่แทฮยองภาวนาให้มันเดินไปอย่างเชื่องช้าหมดลงแล้วเมื่อนาฬิกาลูกตุ้มตีบอกเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า จีมินในชุดเสื้อผ้าสักหลาดสีเลือดหมูดูดีและภูมิฐานสมกับตำแหน่งผู้ติดตามท่านทูตที่ยืนอยู่ข้างกัน รถม้าถูกจัดเตรียมอย่างดีสมเกียรติผู้เดินทางและผู้ติดตามอีกหลายคนที่กำลังจะไปเจริญสัมพันธไมตรีกับเมืองรอบข้าง ในขณะที่แทฮยองกับองค์หญิงยูจองยังจับมือร่ำลาเพื่อนรักไม่ยอมปล่อย

ตั้งแต่วันที่ได้ฟังคำพูดของท่านจองกุกแทฮยองก็คิดทบทวนอยู่ทั้งคืน ถึงแม้ที่พวกเขาตัดสินใจมาเป็นทหารราชองค์รักษ์จะเป็นเพราะคำพูดของจีมิน แต่ลึกๆแล้วพวกเขาทั้งคู่ต่างไม่ได้อยากจะทำอาชีพนี้ไปจนแก่ และมันก็ไม่ผิดถ้าจีมินจะฉกฉวยโอกาสที่มีเข้ามาเพื่อตามหาสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด เพราะฉะนั้นที่แทฮยองควรจะทำในฐานะเพื่อนคงมีแต่อวยพรและคอยเป็นกำลังใจให้จีมินเท่านั้น

โชคดีที่จีมินไม่ใช่คนงี่เง่า พวกเขาถึงสามารถปรับความเข้าใจกันได้ง่ายๆในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะใช้เวลาเล่นสนุกอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่จีมินต้องติดตามท่านยุนกิไปต่างเมืองซึ่งไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่ามันจะยาวนานสักเท่าไหร่

แทฮยองกุมมือเล็กเอาไว้แน่นเพราะรู้ดีว่าหลังจากนี้คงไม่อาจเจอกันได้ทุกครั้งที่คิดถึงเหมือนเมื่อก่อน ดวงตากลมโตสบมองดวงตาเรียวเล็กที่มีน้ำใสคลออยู่แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสุขและรอยยิ้มสดใสแบบที่แทฮยองชอบมองเสมอ ดีเหลือเกินที่เขาแก้ไขความผิดพลาดของตนเองทัน ดีที่คำพูดของเขาไม่ได้ทำลายความสุขและความสดใสเหล่านี้ให้หายไปเหมือนที่ท่านจองกุกเคยเตือน

“จีมินเดินทางดีๆนะ อย่าลืมคิดถึงพวกเราด้วย หรือถ้าเมื่อไหร่ไม่ไหวก็กลับมา เรากับแทฮยองจะรอ” องค์หญิงพูดก่อนจะโผเข้ากอดเพื่อนตัวเล็กจนเกือบล้มหงายหลัง แขนเล็กๆที่ไม่ได้ยาวนักกอดรอบตัวเพื่อนเสียแน่น เพราะไม่อาจรั้งไว้จึงทำได้แค่เฝ้ารออยู่ที่เดิม ที่ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่จีมินก็กลับมาได้เสมอ

“องค์หญิงก็เหมือนกันนะขอรับ ดูแลตนเองดีๆ จีมินจะคิดถึงองค์หญิงกับแทฮยองบ่อยๆ ถ้ากลับมาเมื่อไหร่ก็จะรีบไปหา” จีมินโอบกอดเพื่อนสาวผู้สูงศักดิ์ ชนชั้นที่แตกต่างกันไม่เคยเป็นอุปสรรคของมิตรภาพระหว่างเรา ที่ผ่านมาองค์หญิงไม่ใช่แค่เจ้านายหรือเพื่อน แต่เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ เหมือนคนในครอบครัว ไม่ต่างจากแทฮยองสักนิด

“แทฮยองขอให้จีมินมีความสุขกับสิ่งที่เลือก ต่อไปถ้ามันจะยากลำบากก็ขอให้รู้ว่าเรากับองค์หญิงยังเป็นกำลังใจให้ ถึงจะตามไปอยู่ข้างๆไม่ได้ แต่พวกเราก็จะรออยู่ตรงนี้ ตอนเด็กๆพวกเราเคยกุมมือจีมินไว้ยังไง อีกสิบปีข้างหน้า ยี่สิบปีข้างหน้า หรือต่อให้อีกร้อยปีข้างหน้าพวกเราก็ยังจะกุมมือคู่นี้เอาไว้เหมือนเดิม พวกเรารักจีมินนะ” แทฮยองโอบกอดเพื่อนของเขาทั้งสองคนเอาไว้  ดวงตากลมโตพยายามที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เขาอยากเห็นภาพจีมินชัดๆ อยากเก็บความทรงจำนี้ไว้เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบกันอีก

“จีมินก็รักแทฮยองกับองค์หญิงมากนะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ก็คงไม่มีทางลืมทั้งสองคนได้แน่” ไม่ใช่แค่จีมินที่เป็นฝ่ายรับความรักที่ยิ่งใหญ่จากเพื่อนสองคน เพราะเวลาได้หล่อหลอมให้ทั้งชีวิต จิตใจ ความนึกคิด และความทรงจำของเขาเต็มไปด้วยคนทั้งคู่ จีมินซึมซับเอาความเป็นแทฮยองและองค์หญิงยูจองเข้ามามีตัวตนอย่างชัดเจนในความเป็นตัวเขาทุกวันนี้ ถ้าจะมีวันไหนที่เขาไม่คิดถึงเพื่อนทั้งสองคน ก็คงเป็นวันที่เขาสูญสิ้นและหายไปจากโลกใบนี้แล้ว

 

หีบไม้ขนาดใหญ่ถูกยื่นให้กับจีมินด้วยมือของสองเพื่อนรัก จีมินมองของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับก่อนเริ่มเส้นทางใหม่ ของขวัญที่เพื่อนทั้งสองคนตั้งใจเตรียมไว้ให้

“เก็บเอาไว้เผื่อเวลาเหงาจะได้เอาออกมาเล่นแก้เบื่อ หรือไว้ชวนท่านยุนกิเล่นด้วยก็ได้” ฝาหีบไม้ถูกเปิดออกก่อนจะเห็นของภายในได้ชัดเจน รอยยิ้มสดใสพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับมาสนุกสนานอีกครั้ง สมแล้วที่เป็นของขวัญจากแทฮยองและองค์หญิงยูจองเมื่อด้านในเต็มไปด้วยสำรับไพ่ ลูกเต๋า กระดานไฮโลที่ทำจากผ้า รวมทั้งวงล้อรูเล็ตขนาดเล็กและสำรับไพ่นกกระจอกที่แทฮยองและองค์หญิงช่วยกันหาซื้อมาให้

“ขอบคุณนะองค์หญิง แทฮยอง ไว้จีมินจะเล่นอย่างสนุกเลย” แทฮยองยิ้มรับรอยยิ้มสดใสของจีมินที่ส่งมาให้อีกครั้งก่อนจะเบนสายตาไปมองผู้ชายผิวขาวซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างออกไปจากเพื่อนของเขา

ถึงแม้ไม่รู้ว่าต่อไปจีมินจะพบเจอกับอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยการที่มีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย แทฮยองก็สบายใจแล้วว่าเพื่อนของเขาจะได้รับการดูแลอย่างดี และคงจะก้าวผ่านทุกเรื่องราวที่ต้องเผชิญต่อจากนี้ไปได้แน่

 

ใส่ความเห็น