องค์รักษ์กุกวี

EP. 10 : อนาคตและความฝัน

ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสนิทมีเพียงแสงดาวทอประกายวิบวับและแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเบื้องล่างจนเห็นใบหน้าสวยหวานของคนที่ก้าวเท้าไปตามทางเดินกลับบ้าน เจ้าของดวงตากลมโตยกสองมือขึ้นมากุมแก้มอิ่มที่รู้สึกว่ามันร้อนฉ่าและหากได้ก้มลงมองเงาสะท้อนจากน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นสักนิด เขาก็คงจะรู้ว่าเจ้าแสงสีเหลืองนวลนั้นขับให้เห็นสีแดงระเรื่อที่อยู่สองข้างแก้มอย่างชัดเจน

ทั้งที่อากาศยามค่ำคืนเย็นจนสองมือและสองเท้าเริ่มชาขึ้นเรื่อยๆ แต่แทฮยองกลับรู้สึกราวกับลมหายใจร้อนๆของท่านจองกุกยังคงรินรดอยู่ตามผิวเนื้อของเขาไปหายไปไหน ทั้งที่แยกจากกันมาแล้ว ทั้งที่ตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่บนทางเดินที่เงียบเหงา แต่ภาพของคนร่างสูงก็ยังคงรบกวนทุกความคิดของแทฮยองจนหมด แล้วยังน้ำเสียงนุ่มๆที่เอ่ยประโยคแสนหวานนั่นอีกที่ทำเอาหัวใจเต้นรัวและเรียกความปั่นป่วนในช่องท้อง

‘ขอจองไว้ก่อน แล้วข้าจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่าจริงจังแค่ไหน แต่ระหว่างนี้ขออย่าให้กลิ่นของคนอื่นมาทาบทับกลิ่นบนตัวของเจ้าอีกเลยนะ’

ก็ใครจะอยากให้กลิ่นของคนอื่นมาติดทับกลิ่นบนตัวเราล่ะถ้าไม่ใช่กลิ่นของคนที่เราชอบ แล้วพอคิดถึงกลิ่นสะอาดๆบนตัวของท่านจองกุก สองแก้มที่คิดว่าร้อนมากแล้วก็ยิ่งร้อนมากขึ้นอีก แทฮยองรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่ออีกไม่กี่สิบเก้าข้างหน้าคือบ้านของเขาที่ตอนนี้เปิดไฟสว่างโร่ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนในครอบครัวน่าจะรวมกันอยู่ในห้องอาหารและทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว

“แทฮยองทำไมกลับดึกจัง” เสียงทักจากพี่ซอกจินดังขึ้นเมื่อเขาเดินผ่านห้องอาหารที่ทั้งพ่อแม่และพี่ซอกจินนั่งพูดคุยกันอยู่

“แล้วนั่นทำไมหน้าแดงไปหมด” มีหรอที่ซอกจินจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติที่เด่นหราบนหน้าน้องชายของเขา

“เอ่ออ..สงสัยเพราะเหนื่อยน่ะครับ พอดีไปเที่ยวข้างนอกกับจีมินมา ขอตัวก่อนนะครับ” แทฮยองรีบตัดบทเพื่อเดินกลับขึ้นห้อง ถ้าเขายังยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะปกปิดความผิดปกติของตัวเองได้นานแค่ไหน

แทฮยองพลูลมหายใจออกมาทางปากทันทีที่ปิดประตูห้องนอนลง หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวไม่หยุด ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายที่ไม่มีใครยอมรับ แทฮยองจึงกลัวเหลือเกินถ้าจะให้ทุกคนในครอบครัวรับรู้  เขากลัวว่าแม่จะผิดหวัง กลัวคำพูดที่จะออกจากของพ่อที่ไม่เคยภูมิใจในตัวเขา และกลัวว่าสายตาของพี่ซอกจินที่มองเขาเป็นน้องชายที่รักจะเปลี่ยนไป

 

 

บรรยากาศภายในห้องเรียนที่แสนคึกคักก่อนหน้าที่คาบเรียนจะเริ่มต้นขึ้นกลายเป็นเงียบสงัดลงทันทีเมื่ออาจารย์ผู้สอนเดินออกไปจากห้อง นักเรียนสามคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อน แม้แต่องค์หญิงยูจองที่เคยนั่งหลังตรงบัดนี้ก็ทิ้งตัวราบลงกับโต๊ะไม้ที่ใช้เรียนหนังสือเสียแล้ว

“เหนื่อยจัง ไม่ไหวแล้ว” องค์หญิงบ่นพึมพำทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะตัวใหญ่ ส่วนจีมินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอนตัวนอนแผ่หลาไปกับพื้นไม้เรียบร้อย

“จีมินก็ไม่ไหว รีบกลับบ้านไปหาข้าวกินดีกว่า หิวจะแย่อยู่แล้ว” หลังจากใช้เวลารวบรวมเรี่ยวแรงสักพักร่างกลมๆก็สามารถลุกขึ้นมาเก็บอุปกรณ์การเรียนลงย่ามของตนเองจนได้

“แล้วแทฮยองล่ะ” องค์หญิงหันไปถามเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงท่าทางจะดูเหนื่อยอ่อนแต่แววตากลมโตกลับฉายแววร่าเริงสดใส

“แทฮยองจะไปหาท่านจองกุก ไม่รู้ว่าเย็นนี้ต้องฝึกอะไรหรือเปล่า” องค์หญิงพยักหน้าเข้าใจ นึกสงสารเพื่อนตัวบางที่พอเลิกเรียนแล้วยังต้องใช้เวลาในตอนเย็นไปฝึกทหารที่แสนเหน็ดเหนื่อย แล้วก็รู้สึกโล่งใจที่วันนั้นไม่ได้วางเดิมพันลงบนกระดานไฮโล ทำเพียงแค่มองดูอยู่เฉยๆ ไม่อย่างนั้นวันนี้อาจต้องไปเหนื่อยฝึกทหารพร้อมกับแทฮยองก็ได้

“งั้นเราไปด้วย ไปหาพี่นัมจุนบ้างดีกว่า” พอนึกไปถึงท่านจองกุกยูจองก็อดนึกถึงพี่ชายตนเองไม่ได้ ไม่บ่อยนักที่จะได้เจอหน้ากันเพราะพี่นัมจุนมีภารกิจที่ต้องจัดการ แล้วพอไม่เจอกันนานๆเข้าเธอก็เกิดอยากจะไปเยี่ยมเยียนพี่ชายบ้าง

 

หลังจากแยกกับจีมิน องค์หญิงยูจองกับแทฮยองก็เดินออกจากตำหนักมุ่งหน้าไปยังที่ประทับขององค์ชายนัมจุน อาคารหลังใหญ่ทรงยุโรปสีครีมปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า  และเมื่อทั้งสองคนเดินผ่านประตูทรงโค้งเข้าไปก็พบกับทางเดินลาดยาวที่ฝั่งนึงเป็นผ้าม่านสีแดงห้อยลงมาตั้งแต่เพดานจรดพื้นซึ่งถูกเปิดออกจนเห็นกระจกใสและเห็นทิวทัศน์ด้านนอก ส่วนอีกฝั่งเป็นประตูไม้ที่เรียงรายและมีตัวอักษรระบุชัดเจนว่าเป็นห้องของใครหรือเป็นห้องอะไร

แทฮยองมองซ้ายขวาอย่างตื่นเต้น ถึงแม้พี่ชายของเขาจะทำงานอยู่ที่นี่เพราะเป็นถึงราชองครักษ์ขององค์ชายนัมจุน แต่ตัวเขากลับเพิ่งเคยมาตำหนักนี้แค่ไม่กี่ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดก็มาเพื่อนำซุปมาฝากใครอีกคนที่ทำงานอยู่กับพี่ชายเขาเอง

“ห้องพี่นัมจุนอยู่ตรงนั้นไงแทฮยอง อ่ะ อ้าว หายไปไหนซะแล้ว” ถึงจะเดินมาด้วยกันแต่แค่เผลอนิดเดียวหันไปอีกทีเพื่อนตัวบางของเธอก็หายไปแล้ว มองไปทางซ้ายก็เห็นเพียงกระจกใสและผ้าม่าน มองทางขวาก็มีแต่ประตูห้องซึ่งปิดสนิทเรียบร้อยจนยูจองได้แต่แปลกใจว่าแทฮยองหายไปไหนในเวลาที่กระชั้นชิดแบบนี้

แอดดด เสียงประตูห้องขององค์ชายนัมจุนเปิดออกก่อนที่ใครบางคนจะเดินออกมาพร้อมเอกสารและกระบอกพลาสติกมากมายที่อยู่ในมือ องค์หญิงยูจองส่งยิ้มสดใสพร้อมหยิบยื่นน้ำใจให้คนคุ้นเคยที่ได้พบหน้า

“เอกสารเยอะมากเลยค่ะท่านโฮซอก ให้เราช่วยถือนะคะ” ยูจองเดินไปคว้ากระบอกพลาสติกหลายอันที่โฮซอกแบกอยู่มาถือไว้ในมือแล้วเดินตามผู้สูงวัยกว่าไปห้องทำงานที่อยู่ถัดไปไม่ไกลมากนัก

“ขอบพระทัยองค์หญิงนะขอรับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เอกสารอะไรคะเยอะแยะไปหมดเลย” ยูจองวางกระบอกพลาสติกลงบนโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง แล้วหยิบกระดาษบางแผ่นที่ม้วนอยู่เพื่อคลี่ออกมาดู

“ผังเมืองน่ะขอรับ เพิ่งประชุมกับองค์ชายนัมจุนเสร็จเรื่องการทำกำแพงกั้นน้ำสองฝั่งของแม่น้ำแกรนด์ ดูท่าปีนี้น้ำอาจจะท่วมหนัก” แผนที่มากมายที่บอกรายละเอียดภูมิประเทศของเมืองเคปแลนด์ถูกกางลงตรงหน้า ไหนจะเอกสารภาพวาด ภาพถ่ายและภาพเขียนของเส้นทางการเดินเรือ การเดินรถม้าต่างๆที่ติดอยู่เต็มผนัง ดูสมเป็นห้องทำงานของเจ้ากรมการปกครองและเจ้ากรมโยธาธิการและผังเมือง

“โครงการใหญ่เลยนะคะ สงสัยถ้างานนี้เสร็จคงจะได้เลื่อนขั้นหรือไม่พี่นัมจุนก็ต้องต้องเพิ่มเบี้ยหวัดให้แล้ว เพราะท่านโฮซอกทำงานหนักมากเลย”

“กระผมทำตามหน้าที่น่ะขอรับองค์หญิง ถ้าไม่รีบทำเดี๋ยวชาวเมืองจะเดือดร้อนถ้าน้ำท่วมมาถึง”

“รู้สึกผิดเลยค่ะ ที่เราทำอะไรไม่ได้เลย เรื่องบ้านเมืองก็ไม่รู้เรื่องสักอย่าง” โฮซอกยิ้มเอ็นดูให้กับองค์หญิงที่เขาเห็นมาตั้งแต่เริ่มเข้ารับราชการใหม่ๆ เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่มักจะวิ่งเล่นสนุกกับเพื่อนชายอีกสองคนและสร้างความปวดหัวให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายนัมจุน องค์ราชาหรือองค์ราชินี รวมทั้งคุณข้าหลวงที่ต้องตามห้ามปราบและอบรมความเป็นกุลสตรีให้เสมอ

“องค์หญิงยังเด็กขอรับ ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตสนุกๆให้เต็มที่ ตั้งใจเรียนบ้าง โตขึ้นจะได้ช่วยงานองค์ชายได้มากๆ”

“รับทราบค่ะท่านอาจารย์”

“พยายามเข้านะขอรับ องค์หญิงทรงเกิดมาพร้อมแบกรับหน้าที่มากมาย ถึงจะไม่ต้องลำบากทำมาหากินเหมือนชาวเมือง แต่สักวันอาจต้องเสียสละความสุขตนเองเพื่อประชาชนก็ได้ เหมือนที่องค์ชายและองค์ราชากับองค์ราชินีทรงทำอยู่”

ยูจองยิ้มรับคำแนะนำจากผู้มากประสบการณ์ ถึงเวลาสอนท่านโฮซอกจะเข้มงวดไปบ้าง แต่ลึกๆเธอก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายพยายามที่สุดที่จะถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอควรจะรู้ออกมา หลายๆครั้งท่านโฮซอกไม่ได้แนะนำในฐานะของครูอาจารย์ แต่เป็นในฐานะของพี่ชายที่อยากเห็นน้องสาวโตขึ้นมาอย่างสวยงามและเป็นองค์หญิงที่ทุกคนสรรเสริญและชื่นชม

 

แทฮยองเกือบจะร้องตกใจขึ้นมาเมื่ออยู่ดีๆก็ถูกดึงไปหลบอยู่หลังม่านสีแดงผืนใหญ่ที่ยาวตั้งแต่เพดานจรดพื้นห้องและมันก็หนามากพอที่จะบดบังทั้งเขาและบุคคลปริศนาเจ้าของมือที่ลากเขามาอยู่หลังผ้าม่าน

‘ห้องพี่นัมจุนอยู่ตรงนั้นไงแทฮยอง อ่ะ อ้าว หายไปไหนซะแล้ว’  เสียงองค์หญิงยูจองที่เดินเข้ามาในตำหนักนี้พร้อมกันดังขึ้น แต่แทฮยองไม่สามารถพูดตอบกลับไปได้ เพราะนิ้วชี้ยาวๆของคนที่โอบรอบตัวเขาอยู่ที่ยื่นมากดทับริมฝีปากของเขาเอาไว้เป็นเชิงบอกว่าอย่าเพิ่งส่งเสียงดังไป

‘เอกสารเยอะมากเลยค่ะท่านโฮซอก ให้เราช่วยถือนะคะ’ หลังจากประโยคนั้นขององค์หญิง แทฮยองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่ที่ดังเป็นจังหวะแตกต่างกันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหายไปเมื่อเสียงประตูบานหนึ่งปิดลง แล้วความรู้สึกที่กดทับริมฝีปากเขาอยู่ก็หายไปหลังเจ้าของนิ้วชี้นั้นถอนมือออก

“ท่านจองกุกจะดึงเรามาหลังม่านทำไม” แทฮยองเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทำไมต้องมาแอบๆซ่อนๆ ทำลับๆล่อๆ อยู่หลังม่านแบบนี้ หรือท่านจองกุกมีเรื่องอะไรที่อยากจะบอกแต่กลัวคนอื่นจะมารับรู้

“แค่คิดถึง” แค่ประโยคแรกที่เจอกันก็เรียกความร้อนให้มารวมอยู่บนใบหน้าของแทฮยองได้แล้ว เขารู้สึกถึงแรงโอบรัดรอบเอวที่มากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ลำตัวไปแนบชิดกับอกแกร่งภายใต้ชุดทหารราชองค์รักษ์สีกรมท่า

“เอาอีกแล้วนะ ทำรุ่มร่ามกับเราอีกแล้ว” แทฮยองซุกหน้าลงกับอกของท่านจองกุกแน่น ไม่กล้าเงยหน้าไปสบสายตาคมของคนที่กอดเขาอยู่ เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่กำลังพูดไม่ใช่เพราะไม่พอใจ แต่เพราะการกระทำแบบนี้มันสั่นคลอนจังหวะถี่รัวในอกของเขาต่างหาก แทฮยองรู้ดีว่าเขาใจอ่อนมากขนาดไหน ไม่ว่าท่านจองกุกจะทำอะไรก็ไม่ขัดขืนไปซะหมด จนเผลอกลัวว่าตนเองจะยินยอมให้คนร่างสูงทำอะไรที่เกินเลยไปกว่านี้

“แค่กอดเฉยๆ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้ นะแทฮยองอ่า”

 

 

จีมินแยกกับแทฮยองและองค์หญิงยูจองมาแล้ว ยอมรับว่าการเรียนยิ่งนับวันยิ่งหนักขึ้น สารพัดวิชาที่จำเป็นต้องรู้ถูกถ่ายทอดลงมาในหัวน้อยๆ โชคดีเหลือเกินที่เขาเกิดมาเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อย่างองค์หญิงที่ต้องเรียนรู้และจดจำทุกเรื่องให้ได้ ส่วนไหนที่ไม่ไหวจะจำเลยปล่อยให้ผ่านเข้าหูแล้วออกไปโดยไม่เก็บบันทึกลงสู่สมอง

ทางเดินกลับบ้านยังคงเหมือนเดิมในทุกวัน เป็นทางเดินที่มีกรวดหินก้อนเล็กๆให้เตะเล่นแก้เบื่อ  ส่วนสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้แต่ไม่ได้ดูรกชัฏจนมีสัตว์ที่อันตรายมาอาศัยอยู่ นอกจากพวกนกตัวเล็กๆหรือกระรอกกระแตที่มีหางเป็นพวงใหญ่และวิ่งไล่เก็บผลไม้สุกแทะเล่นอยู่บนต้นไม้อย่างสนุกสนาน

ใครบางคนที่เคยมาเฝ้ารออยู่เสมอก็ยังคงมาเป็นประจำไม่ขาดหาย และอาจจะมาบ่อยขึ้นตั้งแต่เขาเลิกตั้งแง่กับอีกฝ่ายแล้ว ในมือคู่นั้นมีขนมที่มักจะหอบหิวมาฝาก ทั้งที่เมื่อก่อนจีมินมักจะปัดมันทิ้ง แต่พอเผลอลองชิมดูถึงได้รู้ว่าเขาพลาดของอร่อยพวกนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

“จีมินคงเรียนหนัก วันนี้ดูเหนื่อยๆ”

“นิดหน่อย พี่ยุนกิล่ะ” รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากด้วยความพอใจกับคำเรียกขานที่เปลี่ยนไป ก่อนหน้ามีเพียงเขาที่เรียกคนเด็กกว่าด้วยสรรพนามที่ยกย่องให้เกียรติเพราะไม่ได้สนิทสนมกันมาก ในขณะที่จีมินเรียกเขาด้วยถ้อยคำที่ห่างเหินและเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ชื่นชอบ

“เดินไปคุยไปเถอะ” ยุนกิก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนเคียงคู่ไปกับคนที่เดินอยู่ข้างกันในยามเย็นที่แสนเหนื่อยล้า ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบายนั้นเต็มไปถ้วยเสียงหัวเราะสดใสและถ้อยคำเจรจาถึงสิ่งที่พบเจอมาตลอดทั้งวัน อบอุ่นและผ่อนคลายคือความรู้สึกของสองคนที่ก้าวเดินไปด้วยจังหวะที่สอดคล้องกัน

 

“ดีใจด้วยนะครับในที่สุดพี่ก็กำลังจะได้เป็นท่านทูตเต็มตัวแล้ว” จีมินเอ่ยแสดงความยินดีกับคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนข้างกัน บ้านของเขาเป็นอาคารปูนหลังไม่ใหญ่มากเท่าบ้านของแทฮยอง แต่ก็มีพื้นที่โดยรอบและมีโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งไว้สำหรับอ่านหนังสือรับลมเล่นซึ่งเขาทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ในขณะนี้

“อืม เป็นเจ้าหน้าที่การทูตมานาน เคยแต่สนับสนุนงานท่านทูตและผู้ช่วยทูต ไม่คิดว่าจะทำความความฝันของตัวเองได้เร็วขนาดนี้”

“ดีจังเลย ต่อไปคงได้เป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศเหมือนท่านพ่อของพี่” ยุนกิยิ้มให้กับคำพูดของคนเด็กกว่าแล้วย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวสมัยก่อน เพราะเป็นลูกชายของเอกอัคราชทูต เขาจึงถูกปลูกฝังเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นความฝันในยามที่เติบโตขึ้น

“แล้วจีมินล่ะ อนาคตอยากเป็นแบบไหนกัน” ยุนกิเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในความคิดของเขาตำแหน่งราชองค์รักษ์ขององค์หญิงยูจองก็ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่พอสมควร และคงจะได้รับการยกย่องและให้เกียรติมากขึ้นหากในภายหน้าองค์หญิงโตพอที่จะเข้าไปมีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองมากกว่านี้

“อนาคตหรือครับ” มันอาจฟังเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่มันช่างห่างไกลเหลือเกินในความคิดของเด็กอายุสิบหก จีมินที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องราวที่ห่างออกไปมากกว่าวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า หรืออย่างมากก็ปีหน้า เขาที่คงจะยังอยู่ข้างๆแทฮยองและองค์หญิงยูจองเพื่อเล่นสนุกกันไปเรื่อยๆ อาจจะหนีออกนอกวังไปแทงม้าหรือชนไก่บ้างตามที่เคยทำมาตลอด

 

จีมินเดินกลับเข้ามาในบ้านหลังส่งยุนกิกลับไปแล้ว ในหัวของเขายังคิดถึงคำถามสุดท้ายที่คุยค้างกันไว้อยู่ หรือเพราะอนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เขาเลยจินตนาการไม่ถูกว่ามันว่าจะออกมาเป็นแบบไหน

“ท่านยุนกิกลับไปแล้วหรือจีมิน”

“กลับไปแล้วครับ” เขาตอบกลับคำถามของแม่ที่จัดเตรียมโต๊ะอาหารสำหรับมื้อค่ำ วันนี้ทั้งพ่อและแม่กลับบ้านมาตั้งแต่เย็น มื้อค่ำวันนี้เลยเป็นการทานข้าวพร้อมกันทั้งครอบครัว

“จะว่าไปท่านยุนกิคนนี้ก็เป็นเด็กหนุ่มไฟแรงใช้ได้ เห็นว่ากำลังจะเข้ารับตำแหน่งทูต รับราชการไม่ทันไรก็ก้าวหน้าถึงขั้นนี้แล้ว” จีมินเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ที่พูดถึงพี่ชายตัวขาว  ที่ผ่านมาเขาก็เคยได้ยินคำสบประมาทที่ยุนกิได้รับ ว่าใช้เส้นสายของผู้เป็นพ่อเข้าไปทำงานในกระทรวง แต่สุดท้ายพี่ชายคนนี้ใช้ความพยายามพิสูจน์ให้คนอื่นยอมรับจนได้

“โชคดีที่เมืองเรามีคนมีความสามารถอยู่มาก อย่างท่านโฮซอก หรือซอกจินกับจองกุกเอง ช่วงนี้ก็เห็นคร่ำเคร่งกับการช่วยองค์ชายนัมจุนเรื่องก่อสร้างกำแพงกั้นน้ำ ถ้าเสร็จโครงการใหญ่นี้ไปก็คงได้เลื่อนขั้นไม่ก็ปรับเบี้ยหวัดขึ้นอีกเยอะ”

“นั่นสิคะ เห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ แล้วก็คาดหวังว่าลูกชายของเราจะได้ใช้ความสามารถช่วยเหลือบ้านเมืองแบบนั้นบ้าง” ถ้อยคำที่พ่อกับแม่พูดไม่ได้ทำให้จีมินเครียดหรือกดดันอะไรนัก เพราะรู้ว่าพวกท่านต้องการหยอกเย้าเขาเท่านั้น เพียงแต่ลึกๆแล้วคำพูดเหล่านั้นสะกิดคำถามของยุนกิที่ติดอยู่ในใจของเขาขึ้นมาอีกครั้งว่าในอนาคตชีวิตของเขามันจะเดินไปในรูปแบบไหน

 

อากาศในตอนเช้าที่แสงอาทิตย์จับขอบฟ้าเป็นสีเหลืองทองทำให้จีมินเดินเล่นไปเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดี เพราะเมื่อวานเขาเข้านอนเร็วกว่าปกติเลยตื่นเช้าจนสามารถทานอาหารได้เต็มอิ่มกว่าวันอื่นๆ เขาสะพายกระเป๋าย่ามประจำตัวเพื่อเดินทางไปตำหนักขององค์หญิงที่วันนี้มีเรียนวิชาของท่านอาจารย์โฮซอก

ดวงตาเรียวเล็กสังเกตเห็นใครบางคนในชุดข้าราชการเต็มยศอยู่ในสวนดอกไม้ข้างตำหนัก กระบอกพลาสติกและม้วนกระดาษที่ถูกวางไว้บนพื้นหญ้าทำให้เขามั่นใจว่าคนที่ยืนหันหลังอยู่คืออาจารย์ประจำวิชาที่เขาต้องเข้าเรียนในวันนี้

“สวัสดีครับท่านโฮซอก” จีมินส่งเสียงทักทายพร้อมก้มตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพคนที่ยืนอยู่ สายตาของท่านโฮซอกที่หันมาหลังจดจ้องอยู่ที่บ่อน้ำทำให้จีมินมั่นใจว่าท่านโฮซอกคงมาเยี่ยมเยียนสัตว์เลี้ยงขององค์หญิงยูจองก่อนเข้าสอน

“ไม่คิดว่ามันจะยังอยู่” จีมินมองตามนิ้วของท่านโฮซอกที่ชี้ลงไปในน้ำจึงเข้าใจว่าหมายความถึงปลาบู่ที่ว่ายวนไปมาอยู่ภายในบ่อ ตั้งแต่ที่องค์หญิงให้ทหารมาขุดแล้วเอามันมาปล่อยดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ส่วนใหญ่มักจะเอาเวลาไปสนใจอองตวนมากกว่า พอไถ่ถามก็ได้ความว่าเพราะอองตวนทำเงินให้หลายเหรียญ เลยนึกเห็นใจว่าถ้าปลาที่ได้มาเป็นปลากัดที่หาเงินได้บ้าง องค์หญิงยูจองคงจะสนใจมันมากกว่านี้

“ว่าแต่ท่านจีมินทราบไหมว่าทำไมขนอองตวนถึงเหลือแค่นั้น” จีมินกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะนิ่งเงียบไปสักพักเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไป หลังจากที่กลับมาจากการหนีเที่ยวคราวก่อนองค์หญิงยูจองก็ให้ทหารหาสุ่มไก่แล้วเอาออกตวนมาไว้ในสวนดอกไม้ข้างตำหนัก ด้วยเหตุผลที่ว่าอองตวนจะได้ไม่บินไปทั่วและรบกวนการนอนของเธอในตอนกลางคืน ดังนั้นหากใครผ่านไปผ่านมาก็มักจะได้เห็นไก่ขนเกือบเปลือยที่ส่งเสียงร้องและบินไปมาภายในสุ่มที่ตั้งอยู่ในสวน

“คงเป็นโรคในไก่น่ะครับ ขนก็เลยร่วงนิดหน่อย ” จีมินได้แต่กลั้นใจตอบกลับไปทั้งที่คิดว่าท่านโฮซอกคงไม่เชื่อ แล้วที่ว่าขนร่วงนิดหน่อยความจริงขนสีสวยบนตัวอองตวนก็แทบจะมีไม่เหลืออยู่แล้ว

“ว่าแต่ท่านโฮซอกถืออะไรมาเต็มเลย” จีมินรีบบ่ายเบี่ยงไปยังกระบอกพลาสติกและม้วนกระดาษที่อยู่บนพื้น เพราะตั้งใจจะเบนความสนใจของท่านโฮซอกให้ออกจากเรื่องของอองตวนให้เร็วที่สุด

“ผังเมืองน่ะครับ หลังคาบเรียนต้องไปนอกเมืองดูเรื่องการสร้างกำแพงกั้นน้ำต่อ”

“เห็นองค์หญิงพูดอยู่ว่าช่วงนี้ท่านโฮซอกทำงานหนัก สงสัยจะได้ขึ้นเป็นเสนาบดีกระทรวงเร็วๆนี้ หรือไม่ก็อาจได้ควบตำแหน่งเจ้ากรมอื่นๆอีกสัก 2-3 ตำแหน่ง” เสียงหัวเราะเบาๆของคนสูงวัยกว่าทำให้จีมินสบายใจว่าครั้งนี้คงจะปกปิดความผิดที่พาองค์หญิงกับอองตวนออกไปหนีเที่ยวนอกวังไว้ได้

“เห็นทีจะไม่ไหว ตำแหน่งมาพร้อมความรับผิดชอบ ยิ่งตำแหน่งใหญ่ ความรับผิดชอบก็ยิ่งมาก”

“แต่ใครๆก็อยากจะก้าวหน้าในอาชีพทั้งนั้นนะครับ” แม้แต่พี่ยุนกิเองก็ไต่เต้าตั้งแต่เป็นข้าราชการตำแหน่งเล็กๆ จนสามารถเลื่อนสูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ

“ก็ไม่เสมอไป กระผมแค่อยากใช้ความสามารถช่วยเหลือบ้านเมืองและประชาชน เรื่องตำแหน่งชื่อเสียงเงินทองไม่ได้สำคัญอะไร แค่ได้ใช้ชีวิตให้มีค่าและมีประโยชน์กับคนอื่นก็พอแล้ว”

“นั่นคือความฝันของท่านโฮซอก?” แล้วจีมินก็อดสงสัยไม่ได้ว่าความฝันและอนาคตของคนเราจะแตกต่างกันได้มากขนาดไหน ลึกๆแล้วความฝันของเขามันคืออะไรกันแน่

“ท่านจีมินจะเรียกว่าแบบนั้นก็ได้ครับ ความฝันของคนเราไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แค่เป็นตัวเรา เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำและมีความสุขกับมันก็พอ”

บางทีความฝันมันอาจจะยิ่งใหญ่เหมือนพี่ยุนกิ หรือเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยที่มอบความสบายใจแบบที่ท่านโฮซอกบอก

 

 

รอยยิ้มสดใสและความสบายใจยังมาพร้อมกับคนที่ยืนรอเขาอยู่ระหว่างทางกลับบ้านเสมอ จีมินยื่นมือไปรับขนมที่ยุนกิเอามาฝาก แล้วส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆอย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อยหรือเปล่า” น้ำเสียงเอ็นดูถูกหยิบยื่นมาพร้อมกับปลายนิ้วโป้งที่ยื่นมาเช็ดคราบถั่วแดงกวนที่มุมปากออกให้อย่างทนุถนอม

“ดีมากๆเลย” ความรู้สึกของจีมินบอกแบบนั้น การที่มีคนๆนี้อยู่ด้วยมันดีจริงๆ ไม่ใช่เพราะขนมอร่อยๆแต่เพราะความสบายใจที่ได้รับต่างหาก

“ต่อไปพี่คงไม่ได้เอาขนมมาฝากจีมินบ่อยๆ”

“ทำไมล่ะ” ไม่รู้ว่าทำไมแค่ได้ยินประโยคนั้นความสบายใจและความรู้สึกดีก็ลดลงเรื่อยๆ

“พี่กำลังจะเป็นทูตนะ ต้องเดินทางไปเมืองอื่นนานๆ เป็นเดือนสองเดือน คงไม่ได้มาหาทุกวันแบบนี้อีก” ไม่รู้ว่าจีมินควรจะอธิบายความรู้สึกนี้ว่ายังไง ทั้งที่เมื่อก่อนเขาเอาแต่ไล่คนๆนี้ แต่พอเริ่มเปิดใจให้ทำความรู้จักกันจริงๆก็เกิดผูกพันขึ้นมา ทั้งชื่นชมยินดีกับความเสร็จของพี่ยุนกิ แต่พอคิดว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆก็ใจหายอย่างบอกไม่ถูก

“บางทีเดินทางกลับมาอีกที จีมินอาจกลายเป็นนายทหารตำแหน่งใหญ่โตแล้วก็ได้” ยุนกิพูดด้วยน้ำเสียงติดจะหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกโหวงๆในอก ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยากห่างออกไป แต่ก็มีเส้นทางชีวิตที่ละทิ้งไม่ได้เหมือนกัน

“พี่ยุนกิคิดแบบนั้นหรอ ไม่รู้สิ จีมินไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าความฝันหน้าตาเป็นแบบไหน แต่ถ้ามันหมายถึงสิ่งที่อยากจะทำ บางทีมันอาจจะไม่ใช่อาชีพทหารแบบที่เป็นอยู่” ลึกๆแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ต่างรู้ดีว่าทั้งจีมินและแทฮยองไม่ได้ชอบอาชีพนี้นัก และเขาในอนาคตก็คงไม่คิดจะอยู่แบบนี้ไปตลอด

“ถ้าจีมินคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ความฝัน ก็ลองทำอะไรใหม่ๆดูไหม บางทีการเป็นผู้ช่วยทูต เดินทางไปด้วยกันกับพี่อาจจะเป็นคำตอบให้จีมินก็ได้” มันคงไม่ผิดถ้ายุนกิจะตั้งความหวัง ถึงเขาจะไม่สามารถละทิ้งเส้นทางของตนเองได้ แต่หากจีมินจะเปลี่ยนมาเดินบนเส้นทางเดียวกับเขา และก้าวไปพร้อมๆกัน มันก็อาจกลายเป็นถนนเส้นที่สวยงามที่สุดในชีวิต

ใส่ความเห็น