ตลอดไปมินวี

Goodbye My Love

 

 

ในเรื่องความรัก อะไรเป็นสิ่งที่ยากที่สุด

สำหรับผมอาจเป็นการบอกลา

 

 

ท่ามกลางสนามบินที่วุ่นวายไปด้วยนักท่องเที่ยวและผู้คนที่ต้องการเดินทางสัญจรไปยังทั่วทุกมุมโลก ผู้ชายร่างสูงโปร่งเร่งรีบลากกระเป๋าเดินทางเพื่อตรงไปยังเคาท์เตอร์ของสายการบินที่จองไว้ และทันที่ที่ผู้โดยสายคนก่อนหน้าเดินออกจากแถว เขาก็รีบก้าวเข้าไปหาพนักงานหญิงทันที

“ขออภัยด้วยนะคะ เคาท์เตอร์ปิดบริการแล้วค่ะ”

แทฮยองถอนหายใจออกมาหลังได้ยินประโยคนั้น มือบางเอื้อมไปลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วเดินไปยังเก้าอี้ว่างซึ่งจัดไว้สำหรับผู้มาใช้บริการสนามบินแห่งนี้ เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ก่อนจะควักเอามือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเพื่อต่อสายไปยังบุคคลที่อยู่อีกประเทศหนึ่ง

 

‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ ประโยคตอบรับเดิมๆวนเวียนให้ได้ยินเป็นรอบที่สิบกว่า แทฮยองไม่แน่ใจว่าทำไมปลายสายถึงได้ปิดเครื่อง ซึ่งเขาในตอนนี้ก็ทำได้แค่ฝากข้อความเสียงเอาไว้ หวังว่าถ้าอีกฝ่ายเปิดเครื่องเมื่อไหร่จะได้ฟังข้อความที่เขาส่งไปให้

“การประชุมของฉัน delay ก็เลยมาขึ้นเครื่องไม่ทันน่ะ รอเที่ยวบินใหม่น่าจะอีกเกือบห้าชั่วโมงเลย”

 

 

 

แทฮยองซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวใหม่เรียบร้อยแล้วที่เคาท์เตอร์ของสายการบิน จากตอนแรกที่ตั้งใจจะสั่งอาหารทานบนเครื่องแต่เพราะต้องเปลี่ยนเที่ยวบินกะทันหันแถมยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงที่ต้องนั่งรออยู่แบบนี้ เขาเลยเลือกจะไปใช้เวลาในร้านอาหารสักร้านแทน

คาเฟ่เล็กๆที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น เพราะร้านอาหารอื่นๆต่างเต็มไปด้วยผู้คนแทฮยองเลยเลือกจะเข้ามานั่งในคาเฟ่ที่พอจะมีของว่างง่ายๆวางขายแทน และเขาก็เลือกแฮมเบอร์เกอร์ที่ตัวเองแสนโปรดปราน

เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถูกเลื่อนออกพร้อมกับใครบางคนที่นั่งลงมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยจากจานอาหารไปสบตาผู้มาใหม่ซึ่งแทฮยองเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะโต๊ะอื่นๆถูกจับจองจนเต็มทั้งหมดจนเหลือเพียงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา เพียงแต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบที่คิด โต๊ะว่างยังคงมีเหลือ แต่สาเหตุที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นเลือกนั่งโต๊ะนี้เพราะเป็นแทฮยองที่นั่งอยู่ และเพราะอีกฝ่ายคือคิมซอกจินเท่านั้น

หน้าตาหล่อเหลาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิดจากเมื่อสิบปีก่อน

 

มันเป็นความรักครั้งแรกสำหรับเด็กม.ปลายที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่รั้วโรงเรียนใหม่ แทฮยองไม่ต่างจากคนอื่นๆที่ตกหลุมรักในความหล่อเหลาของรุ่นพี่คนดังที่ทั้งโรงเรียนชื่นชอบ และดีใจจนแทบบ้าที่อีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกของเขาพร้อมรับช็อคโกแลตวาเลนไทน์ที่เขาตั้งใจทำให้ไป

แต่ความรักแสนหวาน อาจไม่ได้น่าประทับใจในสายตาคนอื่น

ถึงจะป่าวประกาศกับใครต่อใครว่าพวกเขาเป็นแฟนกันแต่ก็ยังคงมีเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายมากมายที่เข้าหาซอกจินซึ่งแทฮยองไม่ชอบใจเอาเลย หลายครั้งที่ต้องทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน เพียงเพราะความสนิทสนมที่ซอกจินมีให้เพื่อนและรุ่นน้องซึ่งแทฮยองมองว่ามันมากเกินไปหน่อย ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ เขาแค่คิดว่าระยะห่างของคำว่าเพื่อนและแฟนมันไม่ควรจะเท่ากันก็เท่านั้น

สุดท้ายเมื่อฝ่ายนึงไม่พอใจ อีกฝ่ายเองก็ไม่เคยยอมเปลี่ยน ความสัมพันธ์เลยฝืนต่อไปไม่ได้

แทฮยองลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ตัดสินใจเลิกกันนั้นพวกเขาทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่ก็คงมากพอที่ทำให้มองหน้ากันไม่ติด จนไม่แม้แต่จะเอ่ยทักเวลาบังเอิญเดินสวนกันในโรงเรียนด้วยซ้ำ

 

แต่ตอนนี้ คิมซอกจินคนนั้นกลับมานั่งอยู่ตรงหน้าแทฮยองอีกครั้ง

 

“โตขึ้นเยอะเลยนะ” ประโยคเอ่ยทักที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเรียกเสียงหัวเราะของแทฮยองให้ดังขึ้น คิมซอกจินก็ยังคงเป็นคิมซอกจินที่มีเสน่ห์ไม่ต่างจากรุ่นพี่ซอกจินคนเดิม และเรื่องราวในอดีตก็ผ่านมานานจนแทฮยองแทบจะลืมมันไปหมดแล้ว

“พี่ก็แก่ขึ้นเยอะเลยเหมือนกัน” เสียงหัวเราะดังประสานกันแทบจะตลอดครึ่งชั่วโมงที่คนทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น แล้วก็เป็นซอกจินที่ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อน

“ใกล้เวลาขึ้นเครื่องของพี่แล้วนี่ครับ”

“ใช่ เดี๋ยวพี่ต้องบินไปประชุมที่ไต้หวันต่อแล้วถึงจะกลับเกาหลีได้ ว่าแต่พี่ขอเบอร์…” ยังไม่ทันที่ซอกจินจะพูดจบประโยคเสียงประกาศของสนามบินก็ดังขึ้น และแทฮยองมั่นใจว่ามันคือเที่ยวบินของคนตรงหน้า

“ประกาศเรียกแล้วพี่รีบไปเถอะครับ ขอให้โชคดี เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ” แทฮยองส่งยิ้มไปให้ซอกจินอีกครั้ง ในขณะที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเหมือนจะพูดอะไรออกมาสักอย่างแต่สุดท้ายก็ทำเพียงส่งยิ้มมาให้ก่อนจะลุกจากเก้าอี้

“อืม ขอให้โชคดีเหมือนกัน” แทฮยองมองคนที่ลากกระเป๋าออกจากคาเฟ่ไปแล้ว เขาก้มลงมองแก้วโกโก้ร้อนซึ่งตอนนี้มันเย็นจนไม่มีความอุ่นหลงเหลืออยู่ ยกมันขึ้นมาจิบเล็กน้อยก่อนจะวางลงบนจานรองแก้วอีกครั้ง

ดูเหมือนเขาจะทิ้งไว้นานจนเย็นชืด รสหวานๆเลยที่ไม่ได้หอมกรุ่นเหมือนตอนมาเสิร์ฟแรกๆ แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก

 

 

แทฮยองกลับมาที่เก้าอี้ตัวเดิมก่อนที่เขาจะเข้าไปนั่งในคาเฟ่ ผู้คนในสนามบินยังคงพลุกพล่าน คงเป็นสถานที่เดียวที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนเสมอ

เขาหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งและต่อปลายสายเบอร์เดียวกันกับเมื่อเช้า และสิ่งที่ได้กลับมาก็ยังเป็นระบบอัตโนมัติประโยคเดิม

แทฮยองกลับมาใช้เวลาว่างไปกับการอ่านข่าว อ่านอีเมล์ผ่านมือถือเมื่อไม่มีอะไรให้ทำ ซึ่งในอีเมล์ก็ล้วนแล้วแต่มีข้อความตอบกลับจากลูกค้า รวมถึงหัวข้องานที่ถูกสั่งเพิ่มเติมอีกหลายรายการจากหัวหน้าแผนก

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แทฮยองรู้สึกปวดเท้านิดหน่อยเพราะตั้งแต่เช้าก็เอาแต่ใส่รองเท้ามาตลอดจนผ่านไปเกือบ 7-8 ชั่วโมงแล้วเขาเลยถอดรองเท้าหนังออกหวังว่าจะให้สบายเท้าขึ้นสักนิด พร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะโทรออกอีกสักรอบ

 

ใครบางคนที่เดินผ่านเก้าอี้ที่แทฮยองนั่งอยู่ดูจะรีบร้อนเกินไปหน่อยจนเผลอเตะรองเท้าหนังที่ถูกถอดวางไว้กระเด็นไปด้วย แทฮยองรีบกดตัดสายเพื่อจะวิ่งไปเก็บรองเท้าที่ไถลไปไกลเป็นเมตร แต่ยังไม่ทันได้หยิบขึ้นมาก็มีข้อมือหนาของคนอื่นเก็บมันมาให้เสียก่อน

ดูจะเป็นความบังเอิญครั้งที่สอง ที่แทฮยองได้เจอใครบางคน ในที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดตัวเอง

 

 

คิ้วถูกเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าของรองเท้าที่เขาเก็บได้ ในขณะที่แทฮยองเองก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกันเมื่อคนที่ถือรองเท้าของเขาอยู่คือคิมนัมจุน

ดวงตาเรียวเล็กที่อยู่หลังกรอบแว่นสีดำดูภูมิฐาน ไม่ได้แตกต่างไปจากสมัยเรียนมหาลัยเลยแม้แต่น้อย

 

“ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

แทฮยองส่งยิ้มขอบคุณให้นัมจุนที่ส่งรองเท้าของเขากลับคืนมาให้ นึกหัวเราะในใจที่ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกครั้งเพราะเรื่องของรองเท้า

 

แทฮยองเจอนัมจุนครั้งแรกตอนรับน้องสมัยมหาวิทยาลัย เขาจำได้ว่ารองเท้าผ้าใบสีขาวของตัวเองจมลงไปในโคลนจนเลอะไปถึงด้านใน แล้วก็เป็นรุ่นพี่นัมจุนที่คอยดูแลน้องๆ ที่ไปขอยืมรองเท้าเพื่อนคนอื่นมาให้ แทฮยองประทับใจในความจริงจังของรุ่นพี่คนนั้นที่เขาบอกไปหลายรอบแล้วว่าเขาทนใส่ได้ แต่อีกฝ่ายก็ดึงดันจะหารองเท้าคู่ใหม่ที่สะอาดกว่ามาให้

จากความประทับใจเล็กๆค่อยๆเพิ่มมากขึ้น แทฮยองชอบมองนัมจุนที่ทำสิ่งต่างๆอย่างจริงจังเสมอ ถึงได้ตอบรับทันทีที่รุ่นพี่เอ่ยปากขอคบด้วย และนัมจุนเองก็ชอบความเป็นแทฮยองที่เปลี่ยนบรรยากาศเคร่งเครียดให้กลับกลายเป็นผ่อนคลายขึ้นได้ง่ายๆ

แทฮยองไม่เคยคิดว่าจะมีวันไหนที่ความจริงจังของนัมจุนจะกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ เพียงแต่โชคร้ายที่เรื่องที่นัมจุนจริงจังที่สุดไม่ใช่เรื่องของความรัก

อีกฝ่ายมุ่งมั่นตั้งใจกับการเรียน การทำกิจกรรมต่างๆอย่างไม่บกพร่องในฐานะนักเรียนดีเด่น จนหลายๆครั้งเรื่องของแทฮยองกลายเป็นเรื่องสุดท้ายที่นัมจุนจะจำได้หรือนึกออก

อย่างเช่นวันปีใหม่ที่อีกฝ่ายหอบของขวัญมาอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้เขาหลังจากเพิ่งจำได้เมื่อผ่านไปสองวันแล้ว หรือวันประกาศผลประกวดภาพถ่ายซึ่งทุกคนรอบตัวต่างรอคอยและมารุมล้อมแสดงความยินดีกับเขา ยกเว้นคิมนัมจุนที่ลืมเรื่องการประกวดไปเสียสนิท แม้กระทั่งในวันที่แทฮยองนอนป่วยอยู่บ้านแต่นัมจุนก็เพิ่งจะรู้เรื่องเอาตอนที่เขาหายจนกลับไปเข้าเรียนได้แล้ว ในทุกช่วงเวลาที่แทฮยองมีความสุข เศร้า หรือเหน็ดเหนื่อย คิมนัมจุนกลับกลายเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับรู้และมีส่วนร่วม

เมื่อคนนึงไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างของการมีหรือไม่มีอยู่ และอีกคนก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจให้มากขึ้น สุดท้ายเลยห่างกันไปจนไม่ได้เอ่ยปากลาเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ

 

 

“ไม่คิดว่าจะมาเจอพี่ที่นี่” แทฮยองเอ่ยไปหลังรับรองเท้ามาใส่เรียบร้อย

“มาเที่ยวน่ะ เพิ่งได้ลาพักร้อนหลังจากทำงานไม่ได้หยุดเลยมาเกือบสองปี” แทฮยองพยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้แปลกใจสักนิดกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อแทฮยองเองรู้ดีที่สุดว่านัมจุนจริงจังกับเรื่องพวกนี้มากแค่ไหน

“แล้วเราล่ะ มาทำงานหรอ”

“ครับ นี่ก็จะกลับเกาหลีแล้ว” หลังจากนั้นกลายเป็นความเงียบที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดอะไรนัก อาจเพราะไม่ได้เจอกันมานาน แล้วสมัยที่คบกันนัมจุนเองก็ยุ่งจนพวกเขาไม่ได้คุยกันมากอยู่แล้ว ตอนนี้นอกจากถามสารทุกข์สุขดิบเลยยิ่งไม่มีเรื่องอะไรให้คุยอีก

“ใกล้เวลาที่ผมต้องไปขึ้นเครื่องแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะครับ ไงก็ขอให้พี่โชคดีนะ”

“เหมือนกันนะแทฮยองอ่า” บทสนทนาสั้นๆไม่กี่ประโยคของสองคนที่บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง ถึงแม้มันจะไม่ได้มีใจความสำคัญอะไรสักเท่าไหร่ แต่กับรอยยิ้มจริงใจที่มอบให้กัน มันก็เป็นสิ่งดีพอให้แทฮยองจดจำได้เวลาย้อนกลับมานึกถึงเหตุการณ์วันนี้

 

 

หลังจากที่นั่งรอมานานในที่สุดแทฮยองก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง เขากดมือถือโทรออกอีกหลายครั้ง แต่ปลายสายก็ยังคงปิดเครื่องเหมือนเดิม แต่กว่าจะถึงเกาหลีก็ยังมีเวลาอีก 6 ชั่วโมงกว่า ถึงตอนนั้นแทฮยองคิดว่าอาจจะติดต่อเจ้าของเบอร์โทรนั้นได้

เพราะเหนื่อยมาทั้งวันพอหลังแตะที่นั่งปุ๊บแทฮยองก็หลับสนิทจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้า เลยไม่ทันได้เอะใจว่าโชคชะตาได้พัดพาใครอีกคนที่หายไปให้กลับมาอีกครั้ง

ตลอดเวลาบนเครื่องที่แทฮยองหลับไปอย่างไม่สบายตัวนักเพราะที่นั่งคับแคบ เขาตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวตอนที่แฮร์โฮสเตสเอาอาหารมาเสิร์ฟหรือมาดูแลผู้โดยสารคนอื่นๆ และกลับมาตื่นเต็มตาตอนที่ล้อของเครื่องบินกำลังจะเทียบลงแผ่นดินบ้านเกิด

 

ในตอนที่ผู้โดยสารหลายคนลุกจากที่นั่งเพื่อหยิบเอาสัมภาระบนช่องเก็บของเหนือศีรษะแทฮยองถึงมีโอกาสได้เห็นหน้าชายหนุ่มเจ้าของที่นั่งด้านหน้าเขาชัดๆ

ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมคายสีดำสนิทที่มีแววตาเป็นประกายระยิบระยับ หากจะเอ่ยถึงความบังเอิญที่น่าลำบากใจที่สุด ก็เห็นจะเป็นตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

“พี่แทฮยอง”

จองกุกอึ้งไปตอนที่หันไปเห็นอดีตคนรักนั่งอยู่บนเครื่องบินลำเดียวกัน คนตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบ ใบหน้าสวยหวานที่เวลาไม่ได้ทำให้ความดูดีนั้นลดน้อยลงแม้แต่นิด ร่างโปร่งบางที่ครั้งนึงเขาเคยชิดใกล้อยู่ในชุดสูทสีดำขนาดพอดีตัวที่ส่งเสริมให้อีกฝ่ายดูดีมากขึ้น

 

แทฮยองจำรุ่นน้องสายรหัสของเขาได้ทันทีที่เห็นหน้า เพราะความสนิทสนมซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน จนกระทั่งพัฒนาไปเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษมากขึ้นเมื่อเขาเลิกลากับพี่นัมจุนได้ปีกว่า

จองกุกเป็นคนมีเสน่ห์ โดยเฉพาะเวลาเจ้าตัวดีดกีตาร์ร้องเพลงบนเวที ไม่จำเป็นต้องมีสปอร์ตไลท์หรือแสงไฟใดๆส่อง แค่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้ตกลงไปในท่วงน้ำนองแสนไพเราะได้ง่ายๆ ซึ่งแทฮยองเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ที่ตกหลุมรักอีกฝ่ายอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

จองกุกเป็นเด็กที่เอาใจใส่คนอื่นเก่ง อีกฝ่ายใส่ใจทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันครบรอบ และมีเวลาให้แทฮยองเสมอโดยที่เขาไม่เคยต้องเรียกร้อง คนรักอย่างแทฮยองถึงไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนตอนที่คบอยู่กับพี่นัมจุน แล้วจองกุกก็มักจะพูดว่ารักเขาที่สุด แทฮยองเลยมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นความรักครั้งสุดท้าย

เพียงแต่คำว่าที่สุดของจองกุก มันคือลำดับที่หนึ่ง ที่มีลำดับที่สอง ที่สามตามมาด้วย

 

แทฮยองจำได้ว่ามันเป็นครั้งเดียวที่เขาอาละวาดขว้างปาข้าวของจนห้องแทบพังทั้งๆที่ไม่เคยเป็นคนอารมณ์ร้ายมาก่อน แต่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เลยตอนที่ถามออกไปว่าผู้หญิงที่อีกฝ่ายยืนจูบด้วยในผับเป็นใคร แล้วไม่รับคำตอบอะไรนอกจากความเงียบ มันเป็นวันที่แทฮยองแทบจะเหมือนคนบ้าที่เอาแต่ร้องไห้ท่ามกลางข้าวของที่แตกกระจายอยู่บนพื้น แต่ตัวต้นเหตุกลับหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์แล้วเดินออกไปจากห้อง

หลังจากวันนั้นแทฮยองก็เหลือแค่หัวใจที่เป็นแผลเหวอะหวะกับเศษซากความรักที่แหลกละเอียด มันกลายเป็นฝันร้ายที่ทำให้เขาเลิกไขว่คว้าหาความรักแบบที่เคยทำมาตลอด

 

 

เป็นความอึดอัดต่างจากตอนที่พบซอกจินหรือนัมจุนเมื่อเช้า แม้กระทั่งว่าแทฮยองเดินลงจากเครื่องมาจุดรอสัมภาระแล้วความอึดอัดนั้นก็ยังไม่หายไปไหน คงเพราะตัวต้นเหตุอย่างจองกุกยังคงยืนอยู่ข้างๆ

“พี่สบายดีไหม”

“อืม” เป็นความเงียบที่เข้ามาแทนที่ แทฮยองมองสายพานที่เลื่อนพากระเป๋าเดินทางของผู้โดยสารผ่านหน้าเขาไปเรื่อยๆ

“ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่อีก”

“นั่นสิ ไม่เคยหวังว่าจะกลับมาเจอกันเลย” หรือพูดให้ถูกแทฮยองหวังเอาไว้ว่าจะไม่ต้องกลับมาเจอกับจองกุกด้วยซ้ำ

“ผมขอโทษนะ ตอนนั้นผมทำผิดกับพี่มาก” น้ำเสียงรู้สึกผิดเอ่ยประโยคที่แทฮยองไม่คิดว่าจะได้ยินหลังจากจองกุกเดินออกจากห้องไปในคืนนั้น

“รู้แล้วหรอว่าตัวเองผิด” แทฮยองเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเดินทางของตัวเองที่เลื่อนมาถึง เขาเดินลากมันออกมาโดยไม่ได้สนใจจองกุกอีก

“พี่แทฮยอง ผมขอโทษ” จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนดังตามมาด้านหลัง แทฮยองยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้หันกลับไปอีกแล้ว ทำเพียงยิ้มที่มุมปาก ก่อนเอ่ยประโยคสุดท้ายให้ดังพอที่คนๆนั้นจะได้ยินชัดๆ “จองกุก นายเป็นแฟนที่ห่วยจริงๆแหล่ะ”

 

 

มือบางลากกระเป๋าเดินทางมาจนถึงประตูทางออก แทฮยองหยิบมือถือมาโทรอีกครั้งแต่ปลายสายก็ยังคงปิดเครื่องอยู่ เขาถอนหายใจอีกรอบ ดูเหมือนต้องหาทางกลับคอนโดเองแล้วเมื่อไม่สามารถติดต่อคนที่ไหว้วานให้มารับได้ มือบางเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงอีกก่อนจะคว้าหูกระเป๋าเตรียมลากไปหาแท็กซี่สักคันที่จอดอยู่

 

ใครบางคนคว้าหูกระเป๋าเดินทางออกจากมือของแทฮยองแล้วเดินไปโดยไม่รีรอ จนคนที่มัวแต่ตกใจต้องเร่งฝีเท้าวิ่งตาม

“เดี๋ยว ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ รู้ไหมว่าฉันโทรไปตั้งกี่สาย โทรศัพท์นายเป็นอะไรหรอ” แทฮยองเอ่ยถามคนที่ลากกระเป๋าเดินทางดุ่มๆโดยไม่สนใจอะไรเขาเลย ท่าทีนิ่งเงียบผิดปกติอย่างที่จีมินไม่เคยเป็นมาก่อน

“นี่นายโกรธอะไรอยู่ แล้วทำไมต้องปิดเครื่องด้วย นายรู้ไหมว่าฉันต้องประชุมเยอะแค่ไหน ฉันยุ่งแค่ไหน ฉันเหนื่อยแค่ไหน ฉันไม่ได้อยากไปไม่ทันเครื่องบินสักหน่อย” แทฮยองเร่งฝีเท้าเพื่อวิ่งตามให้ทันคนที่ดูอารมณ์เสียทั้งๆที่ตัวเองก็เจ็บเท้าจะแย่

“รู้หรือเปล่าว่าฉันรออยู่นานแค่ไหนแล้ว” ประโยคเดียวที่จีมินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาทำให้แทฮยองเองอารมณ์เสีย ทั้งๆที่ก็อธิบายไปแล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะไปไม่ทันเครื่องบิน แล้วเขาเองก็พยายามจะโทรบอกจีมินหลายรอบแล้วแต่เป็นอีกฝ่ายที่ปิดเครื่องจนติดต่อไม่ได้ ทั้งหมดนี่มันไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อย

แทฮยองเดินเชิดหน้าตรงไปลานจอดรถที่มีรถเก๋งสีขาวที่เขาคุ้นเคยดีจอดอยู่ ถ้าจีมินไม่ยอมคุยดีๆเขาเองก็ไม่อยากจะคุยเหมือนกัน ร่างบางระบายอารมณ์ด้วยการกระชากประตูข้างคนขับออกอย่างแรง แต่เขากลับไม่สามารถกระแทกตัวนั่งบนเบาะอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะมีอะไรบางอย่างที่ถูกวางเอาไว้

ดอกไม้ช่อใหญ่ที่ถูกห่ออย่างสวยงามแต่ดูเหี่ยวเฉานิดหน่อย ข้างๆกันมีมือถือสีขาวเครื่องนึงที่แทฮยองแน่ใจว่ามันเป็นของเจ้าของรถที่ขับมารับเขา เพียงแต่สภาพเครื่องกลับแตกยับเยินเหมือนโดนรถทับมาอย่างไรอย่างนั้น แต่นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้

อารมณ์ที่คุกรุ่นของแทฮยองกลับลงมาเป็นปกติ นึกถึงประโยคที่จีมินเอ่ยถามก่อนหน้า เขาเองก็คาดเดาไม่ได้ว่าจีมินมารออยู่ที่สนามบินตั้งแต่เมื่อไหร่

แทฮยองวางช่อดอกไม้ไว้ที่เดิมก่อนจะเดินไปหาคนที่ยืนอยู่กับกระเป๋าเดินทางของเขา มือบางเอื้อมไปโอบร่างหนาไว้ ซบหน้าลงกับอกแข็งๆที่แบบที่เคยชิน

“รอมานานแค่ไหนแล้ว”

“7 ชั่วโมง” ระยะเวลาที่ได้ยินทำเอาแทฮยองนิ่งเงียบ มันนานกว่าที่เขานั่งรออยู่ที่สนามบินตอนตกเครื่องด้วยซ้ำ

“ขอโทษ” แทฮยองเอ่ยเบาๆ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆข้างหู ก่อนที่สัมผัสของอ้อมแขนแกร่งจะเอื้อมมาโอบรอบเอวเขาไว้

“ไม่ได้โกรธ แค่ห่วง” ประโยคที่ได้ยินทำเอาหัวใจดวงน้อยๆฟูฟ่อง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปิดลงก่อนจะแนบหูลงบนอกของจีมินเพื่อฟังเสียงที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ…เสียงที่หนักแน่นและมั่นคงแบบที่เป็นมาตลอด

 

ถ้าถามถึงสิ่งที่เหมือนเดิมและเปลี่ยนแปลงไปน้อยที่สุดเท่าที่แทฮยองพอจะนึกออก หนึ่งในนั้นคงมีพัคจีมินคนนี้ด้วย คนที่แทฮยองรู้จักมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลาย เพื่อนที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด เกินครึ่งชีวิตของแทฮยองไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีใจ เสียใจ ผิดหวัง มีความสุข หรือเหนื่อยล้า ไม่เคยมีครั้งไหนที่แทฮยองจะไม่มีคนๆนี้อยู่ด้วย แม้แต่ในตอนที่ผิดหวังจากสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างความรัก น้ำตาที่ไหลออกมาในทุกๆคืนที่ไม่อาจข่มตาลงได้ก็มีแค่จีมินที่คอยเช็ดให้ แล้วก็เป็นจีมินคนเดิมอีกที่ทำให้เขาบอกลาทุกความเจ็บปวดจากความรักครั้งเก่าแล้วเดินต่อไปข้างหน้า เป็นจีมินที่ช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

 

“วันนี้บังเอิญเจอพี่ซอกจิน พี่นัมจุน แล้วก็จองกุกด้วย” แทฮยองเล่าออกไป ก่อนที่วงแขนแกร่งของจีมินจะคลายออกแล้วเปลี่ยนมากุมมือบางเอาไว้หลวมๆ

“นายโอเคใช่ไหม” เสียงทุ้มที่ถามอย่างเป็นห่วงกับนิ้วมือที่ลูบลงบนหลังมือของเขาทำให้แทฮยองยิ้มกว้างจนจีมินคลายความกังวลลงได้ ร่างหนาขนเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ในกระโปรงหลังรถ แล้วกลับมาประจำที่นั่งคนขับซึ่งมีร่างบางที่กำลังเห่อกับดอกไม้ช่อใหญ่นั่งอยู่ข้างๆ

จีมินเอื้อมมือซ้ายที่ไม่ได้บังคับพวงมาลัยรถไปจับมือแทฮยองมากุมไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็ปล่อยให้เขาทำแบบนั้นโดยไม่ได้ขัดขืน มีเพียงพวงแก้มสีแดงระเรื่อที่ดูจะพยายามซ่อนมันลงไปกับช่อดอกไม้ที่ถืออยู่

 

 

สำหรับแทฮยองแล้ว การต้องกลับไปเจอเจ้าของความทรงจำที่แสนเจ็บปวดอาจเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เพราะมีจีมินที่ทำให้แทฮยองกล้ามากพอที่จะบอกลาเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อเริ่มต้นกับความรักครั้งใหม่ ความรักที่แทฮยองรู้ดีว่ามันอยู่ใกล้ตัวเองมากแค่ไหน

 

‘ลาก่อนครับพี่ซอกจิน พี่นัมจุน จองกุก’

แทฮยองปล่อยให้รอยยิ้มสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง ในตอนนี้เขามีความสุขมากกับสิ่งที่เป็นอยู่ แค่เพราะกล้าที่จะบอกลา ในตอนนี้จึงได้พบสิ่งที่ดีที่สุด

 

ปล. แต่งจากเพลง Brave ของ Cindy Yen 

ใส่ความเห็น