วีคือคำตอบ

Twilight

 

วี : วาเรีย, วอร์เรน

จีมิน : จูเลี่ยน / จองกุก : คีน

ยุนกิ : โลอิค / นัมจุน : เรมี่

เจโฮป : เจฟ

 

 

สเต็กชิ้นพอดีคำถูกหั่นก่อนจะส่งเข้าริมฝีปากเป็นกระจับของคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร วาเรียเพลิดเพลินไปกับฝีมือการทำอาหารเย็นของผู้เป็นแม่ ดวงตาสีน้ำตาลสวยจ้องมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างเขา คนๆเดียวในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาตลอด

“จัดของเสร็จแล้วใช่มั้ยลูก”

“ครับ แม่ไม่โกรธจริงๆใช่มั้ยที่ผมตัดสินใจแบบนี้”

“ลูกน่ะอายุ 18 แล้วนะ โตพอที่จะเลือกทางเดินชีวิตตัวเองแล้ว” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ในฐานะคนเป็นแม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งที่เธอพาลูกชายหนีจากคนในครอบครัวนั้นมาได้จนถึงตอนนี้ แต่กลับเป็นลูกเธอเองที่เลือกจะกลับไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นอีก

“ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่ผมอยากเจอน้อง อยากเจอวอร์เรนอีกครั้ง” ชื่อที่เอ่ยออกมาราวกับปลายมีดคมๆที่สะกิดเอาแผลเป็นซึ่งไม่เคยเลือนหายไปไหนให้เจ็บขึ้นมาอีก สีหน้าอ่อนโยนทอประกายเศร้าหมองภายในดวงตาคู่สวย ลูกชายอีกคนที่ไม่ได้เจอกันมานานเกินสิบปี ลูกชายที่เธอแกล้งที่จะลืมเลือนไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางทำได้

“วาเรีย ดูแลน้องดีๆนะ” ฝ่ามือบางลูบลงบนใบหน้าสวยของลูกชายครั้งแล้วครั้งเล่า พลันนึกไปถึงเด็กคนนั้นที่ถึงจะไม่ได้เจอกันนานขนาดไหน แต่ใบหน้าก็คงไม่ต่างไปจากคนที่อยู่ตรงหน้าของเธอตอนนี้

 

 

 

วาเรียตรวจดูข้าวของในกระเป๋าเดินทางของเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ลืมอะไรที่จำเป็นทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นยูนิฟอร์มของโรงเรียน หรือแม้แต่ตำราเรียนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ลำพังการย้ายโรงเรียนกลางเทอมก็มีเรื่องที่ต้องปรับตัวมากพอแล้ว ดังนั้นอะไรที่เตรียมพร้อมได้เขาก็อยากจะจัดการมันให้ดีที่สุด

ห้องนอนเล็กๆที่มีเตียงสีขาวซึ่งเขาอาศัยอยู่มานานแต่กลับกลายเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่ เพราะพรุ่งนี้เขาจะต้องย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำแห่งใหม่และคงไม่ค่อยได้มีโอกาสกลับบ้านบ่อยๆ ร่างบางล้มตัวลงนอนเมื่อมั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมดีอยู่แล้ว เขาเอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่หัวเตียงจนทั้งห้องอยู่ในสภาพที่มืดมิด ก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลงสู่ห้วงนิทราที่แสนสงบ

 

 

 

เสียงครูดของชอล์กที่เสียดสีกับกระดานดำดังขึ้นเป็นจังหวะจนคนที่นอนหลับอยู่รู้สึกตัวอีกครั้ง เนื้อไม้แข็งๆทำให้รู้ว่าที่เขานอนอยู่เป็นโต๊ะเรียนตัวเล็กๆ และอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวก็ทำให้รู้ว่าเขาเผลอนั่งหลับไปในขณะเรียนอยู่

ดวงตาสีน้ำตาลใสกระพริบถี่ๆก่อนจะสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่อาการง่วงงุนที่ยังคงอยู่ ใบหน้าสวยเงยขึ้นมาจากโต๊ะเรียนเพื่อจ้องมองไปข้างหน้า ตรงกระดานดำซึ่งใครบางคนกำลังใช้ชอล์กสีขาวเขียนตัวอักษรอยู่

เพียงแต่ใครคนนั้นกลับไม่มีสิ่งที่ควรจะมี ศีรษะซึ่งหายไป..มีเพียงส่วนคอลงไปและเลือดที่ไหลลงมาไม่หยุด

 

ความกลัวทำให้เขาสั่นและไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนหรือวิ่งหนีได้ ฝ่ามือที่กำชอล์กอยู่เริ่มคลายออกก่อนที่เสียงครูดบนกระดานดำจะหยุดไปเมื่อร่างไร้หัวนั้นหันกลับมาและเดินก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว…จนมายืนอยู่หน้าโต๊ะเรียนในที่สุด

หยดเลือดกระเซ็นลงมาจากลำคอที่ขาดวิ่นจนกระทบลงบนใบหน้าสวย ร่างบางนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเมื่อร่างไร้หัวค่อยๆก้มตัวลงมาพร้อมกับมือซึ่งยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้าเขา

 

 

เฮือกกก!! วาเรียสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันของตัวเองท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนที่ยังไม่ถึงรุ่งสาง เขาใช้มือลูบขมับจนรู้สึกถึงความชื้นของหยดเหงื่อจำนวนมากที่ไหลออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อคลายความตระหนกที่ยังคงอยู่ บางทีเขาคงจะเครียดมากไปกับการย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ที่กำลังจะมาถึง เลยเก็บมาฝันร้ายแบบนี้

 

ยามเช้ามาถึงโดยที่ร่างบางยังคงมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก จนคนเป็นแม่ได้แต่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เป็นห่วงแม่ที่ต้องอยู่คนเดียว” วาเรียบอกออกไปแบบนั้น เขาไม่อยากให้แม่ต้องกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเพราะเขา มือเรียวบางยื่นมือไปจับมือนุ่มๆของผู็เป็นแม่ เอ่ยประโยคสุดท้ายที่ตั้งใจไว้

“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ถ้ามีเวลาผมจะกลับมาเยี่ยม หรืออาจจะพาวอร์เรนมา ถ้าน้องยอมมาด้วย” รอยยิ้มจางๆถูกส่งมาจากผู้เป็นแม่อีกครั้ง วาเรียมองใบหน้าอ่อนโยนของผู้หญิงที่เขารัก และเมื่อเสียงประกาศดังขึ้น เขาก็คว้ากระเป๋าเดินทางแล้วเข้าประตูรถไฟที่กำลังจะปิด

 

 

วินาทีที่สองเท้าก้าวลงจากรถม้าซึ่งนั่งมาจากสถานีรถไฟและหยุดลงตรงหน้าประตูโรงเรียนคือวินาทีที่วาเรียตื่นเต้นที่สุด โรงเรียนเอกชนซึ่งดูหรูหรากว่าโรงเรียนที่เขาเคยเรียนมากนักและพลุกพล่านไปด้วยเด็กนักเรียนที่กำลังรีบเร่งไปให้ทันเข้าเรียนตอนเช้า ให้ความรู้สึกที่ดูวุ่นวายและน่าตื่นตาไปพร้อมๆกัน ร่างบางก้าวเท้าไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ด้านหน้าของเขาเป็นอาคารปูนสีขาว ซึ่งทางเข้าด้านหน้ามีรูปปั้นพระแม่มารีตั้งตระหง่านอยู่ และถัดไปอีกฝั่งมีสิ่งก่อสร้างเล็กๆซึ่งดูคล้ายว่าจะเป็นโบสถ์ของโรงเรียนประจำแห่งนี้ เขาเดินไปตามทางเดินยาวของอาคารซึ่งมีป้ายบอกทางเอาไว้เป็นระยะๆ มุ่งหน้าตรงไปยังห้องริมสุดทางเดินซึ่งป้ายติดไว้ว่าเป็นห้องพักอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้

วาเรียได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้ชายวัยกลางคนคนนั้น ทั้งที่ฐานะทางบ้านของเขากับแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนักแต่กลับได้รับความเกรงอกเกรงใจอย่างมาก ซึ่งคงไม่พ้นเพราะเหตุผลที่ว่าเขาเป็นลูกชายแท้ๆของเจ้าของโรงเรียนนี้ วาเรียเดินตามอาจารย์ใหญ่เพื่อตรงไปยังห้องเรียนที่กำลังจะกลายเป็นห้องประจำของเขา และเสียงพูดคุยที่ดังเป็นระลอกกลับหยุดลงจนเงียบสนิททันทีที่เข้าปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้อง

ทุกสายตาหันมามองที่เขาอย่างตกตะลึงก่อนจะไปซุบซิบกับเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ จนอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนต้องเอ่ยขึ้นเพื่อหยุดเสียงซุบซิบพวกนั้น

“เด็กใหม่นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างนั่นได้เลยนะ” วาเรียก้มโค้งเพื่อเป็นการขอบคุณอาจารย์และเดินไปยังโต๊ะเรียนตัวเดียวที่ว่างอยู่  เขาวางกระเป๋าใบเล็กซึ่งมีตำราเรียนสามสี่เล่มและอุปกรณ์การเขียนเล็กน้อยพิงไว้กับขาโต๊ะเพราะกระเป๋าเดินทางถูกอาจารย์ใหญ่ให้ลุงภารโรงนำไปเก็บไว้ที่หอพักเรียบร้อยแล้ว ที่ตัวของเขาตอนนี้จึงมีเพียงกระเป๋านักเรียนใบนี้เท่านั้น

หลังก้มไปวางกระเป๋าและรื้อเอาข้าวของที่จำเป็นขึ้นมาแล้วเขาจึงกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง และในวินาทีที่จ้องมองไปด้านหน้า ภาพเดิมก็ย้อนกลับมาในหัว ไม่ว่าจะตำแหน่งของโต๊ะเรียนที่เขานั่ง หรือระยะห่างจากกระดานดำ ล้วนแล้วแต่ซ้อนทับกับภาพในความฝันอย่างไม่ผิดเพี้ยน…

 

จึ้กๆ สัมผัสเบาๆที่ต้นแขนทำเอาวาเรียสะดุ้งโหยง เขาหันไปมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มและรอยยิ้มสดใสของคนที่นั่งถัดไปทางด้านข้าง ซึ่งส่งสัมผัสเบาๆผ่านปลายนิ้วที่จิ้มลงที่ต้นแขนของเขาอยู่

“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อจูเลี่ยน นายชื่ออะไรล่ะ”

“ว..วาเรีย ฉันชื่อวาเรีย” วาเลียตอบกลับไปในขณะที่เจ้าของรอยยิ้มสดใสยังคงยกยิ้มไม่หยุด เป็นรอยยิ้มที่ราวกับช่วยปลอบให้ความกลัวลดน้อยลงได้บ้าง

“ทำไมหน้าซีดจังเลย”

“เอ่อ คือ นายจะว่าอะไรมั้ย ถ้าฉันจะขอแลกที่นั่ง”

“เอาสิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ถึงจะเกรงใจคนที่เพิ่งรู้จักแต่เพราะกลัวว่าถ้านั่งที่เดิมต่อไปอาจจะขวัญเสียจนเรียนไม่รู้เรื่อง เขาถึงตัดสินใจขอแลกที่นั่งกับจูเลี่ยน ซึ่งมันก็ช่วยให้ความกังวลในใจของเขาลดลงไปได้ รวมทั้งความสดใสของเพื่อนใหม่ที่ช่วยให้บรรยากาศรอบตัวของเขาผ่อนคลายมากขึ้น

 

คาบเช้าหมดไปเมื่อเสียงกริ่งดังมาตามลำโพง จูเลี่ยนพาวาเรียไปยังโรงอาหารที่นักเรียนส่วนใหญ่ไปรวมตัวกันเมื่อพักกลางวันมาถึง วาเรียกลายเป็นจุดรวมสายตาอีกครั้งเมื่อเขาก้าวเข้าสู่โรงอาหารแห่งนี้ เสียงซุบซิบที่ดังกว่าตอนที่เข้าเดินเข้าไปในห้องเรียนเสียอีก และก็ดังมากพอที่เขาจะได้ยินเนื้อหาที่นักเรียนสนทนากันเข้า

‘หน้าเหมือนวอร์เรนจังเลย พวกเขาเป็นแฝดกันหรือเปล่า’ จูเลี่ยนจูงมือวาเรียพาไปต่อแถวรับถาดอาหารสแตนเลสแบบหลุมเหมือนกับนักเรียนคนอื่นราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินบทสนทนานั้น แต่แล้วเสียงซุบซิบที่ดังอยู่แล้วกลับยิ่งดังมากขึ้นไปอีกเมื่อปรากฏร่างของผู้มาใหม่สองคนที่ทางเข้าโรงอาหาร

‘วอร์เรน’ วาเรียได้แต่เอ่ยชื่ออีกคนในใจเพราะเขาไม่กล้าที่จะเรียกออกไป และในทันทีที่ได้สบดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำนั้น อีกฝ่ายที่กำลังเดินอยู่ก็ชะงักฝีเท้าลง

วาเรียมองน้องชายฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนเขาไม่ผิดเพี้ยน หากจะต่างกันก็มีเพียงสีตาเท่านั้นที่ของเขาเป็นสีน้ำตาลไหม้เหมือนแม่ ในขณะที่ของวอร์เรนเป็นสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำราวกับท้องฟ้ายามพลบค่ำไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ อีกฝ่ายอยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีดำเหมือนของเขา แต่มีเข็มกลัดสีทองรูปปีกอยู่ที่อกเสื้อ ซึ่งวาเรียรู้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของประธานนักเรียนแต่ละชั้นปี

“ท่านวอร์เรน” เรียกเสียงเบาๆจากผู้ชายอีกคนซึ่งเดินตามหลังมาติดๆทำให้ร่างที่หยุดชะงักรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนที่จะเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันที่วอร์เรนจะเดินผ่านหน้าเขาไป เสียงแหลมๆของใครบางคนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันเพิ่งรู้นะวอร์เรนว่านายมีฝาแฝดกับเขาด้วย ถึงจะดูไม่เหมือน เอ่อ ชนชั้นสูงสักเท่าไหร่” วาเรียหันไปมองเจ้าของเสียงแหลมซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยผู้มีเรือนผมสีบลอนด์สว่างที่ค่อนข้างจะว่างท่าเสียหน่อย

“ถ้าไม่รู้ก็หุบปากไปดีกว่านะโรอา ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเธอเป็นใบ้หรอก ตรงกันข้ามยิ่งพูดก็ยิ่งดูรู้ว่าไม่มีสมอง” น้ำเสียงเยือกเย็นที่หลุดออกจากปากวอร์เรนทำให้ผู้หญิงคนนั้นดิ้นเร่าพร้อมกับกัดริมฝีปากบางเฉียบจนสั่นระริก วาเรียได้แต่ยืนนิ่งเมื่อใบหน้าที่ถอดแบบจากเขาราวกับส่องประจกหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงนั้นจะเปิดขึ้น

“จำไว้ให้ขึ้นใจเถอะโรอา ว่าฉันน่ะ ไม่มีพี่น้องหรือฝาแฝดหรอกนะ” เหมือนร่างกายของวาเรียชาหนึบไปตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อได้ยินประโยคนั้นที่ถึงจะเอ่ยชื่อคนอื่น แต่ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบดำนั้นจงใจมองมาที่ดวงตาของเขา ราวกับต้องการพูดให้เขาได้รับรู้

วาเรียไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงที่ส่องเข้ามาในโรงอาหารหรือเปล่าที่ทำให้เขาตาพร่าเกินไปจนมองเห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่เหมือนกับท้องฟ้าเวลาพลบค่ำทอประกายขุ่นมัวมากขึ้น ก่อนที่สีน้ำเงินเข้มนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วง และกลับไปเป็นสีเดิมอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเบือนหน้ากลับไป

 

125849364

 

เสียงกริ่งดังเมื่อคาบเรียนของวันนี้สิ้นสุดลง วาเรียรีบเก็บข้าวของลงกระเป๋านักเรียนเมื่อคิดว่าตัวเองคงต้องกลับไปที่ห้องพักอาจารย์ใหญ่อีกครั้งเพื่อซักถามถึงหอพักที่เขาจะต้องเข้าไปอยู่หลังจากนี้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่ากระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของที่เตรียมมาตอนนี้ถูกเอาไปเก็บไว้ที่ห้องไหนดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวถามขึ้น รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่ขาวๆเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบและเส้นผมสีดำขลับที่ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย รวมทั้งส่วนสูงที่น้อยกว่าเขาไปอีก ไม่ว่าจะมองมุมไหนจูเลี่ยนก็ดูน่ารักมากๆ

“ฉันต้องไปตามหาหอพักของตัวเองต่อน่ะ ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ห้องไหน”

“ถ้าเรื่องนั้น ยังไงนายก็คงได้อยู่ห้องเดียวกับฉัน เพราะมันเป็นห้องเดียวที่มีเตียงว่างอยู่สอ.. เอ่อ หนึ่งเตียงน่ะ”

“อ่า งั้นฉันต้องฝากตัวกับนายแล้วสินะ” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าวาเรียถึงรู้สึกเหมือนในรอยยิ้มกว้างนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ตะกอนความสงสัยนั้นกลับถูกปัดทิ้งไปเมื่อนิ้วเล็กๆยื่นมาพันเข้ากับนิ้วของเขาพร้อมกับดึงให้เดินออกจากห้องเรียนไป

ทางเดินบนระเบียงของตึกเรียนยังเต็มไปด้วยนักเรียนมากมายที่เลิกเรียนพร้อมกัน เสียงเอียดอ๊าดของพื้นไม้ดังเป็นจังหวะถี่ๆออกมาจากห้องเรียนแต่ละห้อง ถึงแม้ตัวอาคารเรียนจะเป็นปูนซีเมนต์แต่พื้นห้องเรียนทุกห้องยังคงเป็นพื้นไม้สีน้ำตาลที่มักจะส่งเสียงดังเวลาเดินเสมอ

วาเรียถูกจูงเดินลงบันไดยาวลงไปชั้นล่าง พื้นบันไดเป็นปูนขั้นเล็กๆที่ดูชันกว่าปกติ ในขณะที่ฝั่งหนึ่งเป็นราวบันได ส่วนอีกฝั่งที่ติดกำแพงนั้นเต็มไปด้วยรูปเขียนและรูปเคารพมากมาย ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไปตามภาพและกระจกสีบนฝาผนังซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาที่ผ่านมานานเหลือเกินรูปแล้วรูปเล่า จนกระทั่งจบลงที่รูปสุดท้ายบนทางเดินชั้นล่างสุด ภาพอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูและบรรดาสาวกของพระองค์

ท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่ตอนที่วาเรียเดินออกมาจากอาคารเรียน ความจริงเขาตั้งใจจะหาห้องพักให้เจอก่อนเพื่อให้สบายใจว่าคืนนี้จะมีที่นอนแน่ๆ แต่จูเลี่ยนกลับพาเขาไปทานอาหารเย็นที่โรงอาหารด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้ต้องวนไปวนมาจนเสียเวลา แล้วหลังจากใช้เวลาไปกับมื้อเย็นพอสมควร ร่างเล็กถึงได้ยอมนำเขาเดินกลับไปยังหอพัก

ท้องฟ้าที่เคยสว่างเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า บรรยากาศภายนอกเริ่มเงียบสงบไม่วุ่นวายเหมือนเดิมเพราะนักเรียนบางส่วนกลับเข้าหอพักจนหมดแล้ว เหลือเพียงส่วนน้อยที่ยังอยู่ในอาคารเรียน หรือโรงอาหารอย่างเช่นพวกเขา

สิ่งก่อสร้างหลังเล็กๆที่อยู่ห่างออกไปจากอาคารหลังอื่นๆและอยู่ท่ามกลางร่มไม้ใหญ่ วาเรียเห็นแสงไฟที่ลอดออกมาภายนอก จนสะท้อนกับไม้กางเขนโลหะขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนของสิ่งก่อสร้างหลังนั้น

“นั่นโบถส์ใช่มั้ย” เขาหันไปถามคนข้างๆ ถึงแม้จะแน่ใจอยู่แล้ว

“ใช่”

“จูเลี่ยนไปที่นั่นบ่อยมั้ย”

“อ่า เคยไปไม่กี่ครั้งหรอก คือฉันไม่ได้เคร่งศาสนาเท่าไหร่” รอยยิ้มแห้งๆที่คล้ายจะรู้สึกผิดปนละอายใจนิดๆ ทั้งที่วาเรียเองก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไรสำหรับคนในวัยพวกเขาที่บางครั้งก็ห่างไกลจากการเข้าโบสถ์ไปบ้าง

“จริงๆ เด็กโรงเรียนเราก็ไม่ค่อยเข้าโบสถ์กันหรอก ตามประสาลูกคุณหนูนั่นแหล่ะ เสาร์อาทิตย์ก็มีคนมารับกลับบ้านหรือไม่ก็ไปเที่ยวช้อปปิ้งข้างนอกน่ะ”

วาเรียละความสนใจจากสิ่งก่อสร้างหลังนั้นเมื่อด้านหน้าเขาตอนนี้คืออาคารปูนหลังใหญ่กว่า หอพักสำหรับนักเรียนที่ถูกแยกออกเป็นสองฝั่งระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ในขณะที่จูเลี่ยนเดินนำเขาขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานหนึ่ง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก คนที่เดินนำหน้าเขาเคาะเบาๆก่อนที่สักพักบานประตูจะถูกเปิดออก จนเห็นดวงตาสีดำซึ่งอยู่ภายใต้กรอบแว่นสีดำอันใหญ่

“เขาชื่อเรมี่ ส่วนนี่ก็วาเรียเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเรา” วาเรียจ้องมองร่างสูงโปร่งของผู้ชายตรงหน้า ผิวสีเข้มและร่างกายกำยำภายใต้เสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงบอล เมื่อรวมเข้ากับแว่นตาหนาๆ ผมยุ่งๆ และกองหนังสือที่ถูกกางอยู่บนโต๊ะแล้ว วาเรียก็สรุปได้ทันทีว่า เพื่อนร่วมห้องคนนี้ของเขาดูจะเป็นพวกขยันเรียนมากทีเดียวล่ะ

สายตาคมที่มองลอดผ่านเลนส์แว่นถึงจะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่เอ่ยถามอะไรออกมา วาเรียนึกขอบคุณที่มีเพื่อนร่วมห้องเป็นจูเลี่ยนกับเรมี่ที่ไม่ถามอะไรให้เขาต้องลำบากใจจะตอบ ทั้งๆที่รู้ดีว่าทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัยเรื่องที่ใบหน้าของเขาเหมือนกับวอร์เรนซึ่งเป็นลูกชายของเจ้าห้องโรงเรียนแห่งนี้

“นี่น่าจะเป็นของของนายนะ” จูเลี่ยนชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่ถูกเอามาไว้ที่ข้างประตูห้อง วาเรียมองตามนิ้วมือสั้นๆจนเห็นว่าเป็นกระเป๋าของเขาจริงๆ ก่อนจะเสมองไปรอบห้องเพื่อหาที่ที่จะสามารถเก็บของของตัวเองได้

ภายในห้องมีเตียงเหล็กสองชั้นอยู่ติดกำแพงทั้งสองฝั่ง ในขณะที่ตรงกลางเป็นที่ว่างโล่งและมีโต๊ะเขียนหนังสือหันหน้าชนกันอยู่อีกสี่ตัว มีตู้เสื้อผ้าไม้สองตู้ รวมทั้งมีห้องอาบน้ำและห้องสุขาอีกอย่างละห้องที่อยู่ติดกับระเบียงซึ่งเปิดออกไปเป็นราวตากผ้า

ในขณะที่เตียงฝั่งซ้ายทั้งชั้นบนและล่างถูกจับจองด้วยหมอน ผ้าห่ม และตุ๊กตาสีน้ำตาลเหลืองที่ดูเหมือนหมีแต่กลับกลายเป็นสิงโตไร้แผงคอซึ่งน่าจะเป็นที่นอนของเรมี่และจูเลี่ยน ส่วนที่เตียงสองชั้นฝั่งขวากลับว่างเปล่าทั้งบนและล่าง

“วาเรียนอนชั้นล่างนะ ส่วนชั้นบนเดี๋ยวเจ้าของเขากลับมาใช้ แล้วก็ตู้เสื้อผ้าตู้ขวามือนะ ส่วนโต๊ะเขียนหนังสือก็ตัวนู้น” วาเรียพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเริ่มขนย้ายกระเป๋าไปยังตู้เสื้อผ้าฝั่งขวาตามที่จูเลี่ยนบอก แต่เมื่อเขาเปิดประตูตู้กลับพบว่าข้างในมีเพียงความว่างเปล่า

ดวงตาสีน้ำตาลใสหันกลับไปจ้องเตียงเหล็กชั้นบนอีกครั้ง ไม่มีหมอนหรือผ้าห่ม แม้แต้โต๊ะเขียนหนังสือที่เหลืออยู่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน มีเพียงคำบอกเล่าของจูเลี่ยนที่ว่ามันมีเจ้าของ สุดท้ายวาเรียก็เลือกจะตัดความสงสัยทิ้งไปแล้วเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ให้เรียบร้อยแต่ก็ยังพยายามจะเหลือที่ว่างเอาไว้อีกครึ่ง เผื่อว่าเจ้าของห้องอีกคนอาจจะกลับมาใช้ในเร็วๆนี้ ในขณะที่วาเรียใช้เวลาไปกับการจัดการข้าวของตัวเอง จูเลี่ยนก็เลือกจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อวาเรียวางมือจากสัมภาระเขาจึงได้เห็นคนตัวเล็กในชุดนอนสีเหลืองพิมพ์ลายลูกเจี๊ยบ

“มันดูแปลกหรอ” เพราะเขาเอาแต่จ้อง คนตัวเล็กในชุดนอนลายตัวตูนถึงหันมาถามพร้อมดวงตายิบหยีที่กระพริบปริบๆ ไหนจะผมที่ยุ่งและเปียกชื้นด้วยหยดน้ำเล็กๆ กับกลิ่นสบู่อ่อนๆ และแป้งสีขาวที่ปะอยู่สองข้างแก้ม

“เปล่า ดูน่ารักดี” วาเรียรู้สึกแบบนั้นจริงๆ จูเลี่ยนดูเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่น่ารักสดใสและมีแก้มป่องๆที่เหมือนมีลูกอมหลายเม็ดอยู่ในนั้น

“ขอไปอาบน้ำบ้างนะ ฉันง่วงนอนมากเลย” วาเรียหยิบผ้าเช็ดตัวและชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำบ้าง เพราะเมื่อคืนเขาฝันร้ายจนนอนไม่หลับ แล้วยังต้องออกเดินทางแต่เช้าทำให้ตอนนี้ง่วงจนอยากจะเข้านอนเต็มที แล้วทันทีที่เสร็จภารกิจทุกอย่างจนหัวถึงหมอน เขาก็ผลอยหลับจนไม่รู้แม้กระทั่งวินาทีที่ไฟในห้องถูกดับลงจนแทนที่ด้วยความมืด

 

 

เอี๊ยด อ๊าดด เสียงดังขึ้นเป็นจังหวะเหมือนสายโซ่ของชิงช้าที่ถูกไกวไปมา แต่เปลือกตาของเขาก็หนักเกินกว่าที่จะลืมขึ้น

เอี๊ยด อ๊าดด นอกจากเสียงแล้วก็เหมือนตัวเขาที่อยู่บนชิงช้าจริงๆ เหมือนพื้นที่ที่เขาอยู่มันโยกไหวนิดๆ

 

เอี๊ยด อ๊าดด เมื่อเสียงนั้นยังไม่หยุดและพื้นที่ที่อยู่ยังคงโยกต่อไป เปลือกตาบางจึงค่อยๆฝืนความหนักให้ลืมขึ้น จนเห็นปลายขาสองข้างที่แกว่งไปมาราวกับนั่งอยู่บนชิงช้า..ชิงช้าที่อยู่เหนือระดับสายตาขึ้นไปสินะ

 

ในขณะที่เปลือกตากำลังจะปิดลงสนิทตามเดิม อะไรบางอย่างก็กระเด็นมากระทบกับใบหน้า จนเจ้าของเปลือกตาที่แสนหนักต้องยอมฝืนลืมขึ้น แล้วใช้มือควานหาของสิ่งนั้น อาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องเขามาทางหน้าต่างเพ่งมองมันให้ชัดๆ

 

อะไรบางอย่างมีขนาดไม่ใหญ่ ดูคุ้นเคยจนดวงตาที่สะลึมสะลือต้องเบิกกว้างขึ้น ก่อนจะจ้องมองไปยังปลายเท้าที่ห้อยลงมาจากเตียงเหล็กชั้นสอง เตียงเหล็กที่ไม่ใช่ชิงช้าแบบที่เขาเข้าใจ และเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ยังดังจากการที่เตียงถูกคนด้านบนโยก

แล้วศีรษะที่มีกลุ่มผมสีดำสนิทก็ห้อยลงมาเอ่ยทักทายเขา “โทษทีน้า แกว่งแรงไปหน่อย นิ้วเท้าเลยกระเด็นไปใส่เลย”

…นิ้วเท้าในมือของเขา นิ้วเท้าซึ่งหายไปจากปลายเท้าที่แกว่งอยู่

 

“อ๊ากกกก” วาเรียส่งเสียงตะโกนดังลั่นก่อนเขยิบไปติดริมหัวเตียงเมื่อเจ้าของนิ้วเท้าปีนบันไดลงมาทีละขั้น พร้อมทั้งแขนขาวซีดที่ยืดออกมาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ จนแตะลงกับนิ้วหัวแม่โป้งเท้าที่วาเรียถืออยู่

“เจฟ!!!” เสียงตะโกนดังจนเจ้าของร่างขาวซีดที่กำลังจะคว้านิ้วเท้าตัวเองคืนมาต้องหันไปมอง และส่งยิ้มแหยๆให้กับร่างเล็กในชุดนอนลายลูกเจี๊ยบ

“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามากวนคนอื่นตอนหลับอยู่น่ะ!!!”

 

วาเรียจ้องมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระรัวไม่หยุด จูเลี่ยนที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่กลางห้อง เรมี่ที่ขยี้ตาอย่างงัวเงียอยู่บนเตียงชั้นสอง เขาอาศัยจังหวะที่เจ้าของร่างขาวซีดไม่ได้สนใจตัวเองวิ่งไปอยู่บนเตียงนอนอีกฝั่งของจูเลี่ยน กอดผ้าห่มของเพื่อนตัวเล็กไว้แน่นเมื่อมือไม้ของเขาเย็นเฉียบด้วยความกลัวสุดขีดกับร่างขาวซีดที่โปร่งแสง

“ค..คือ ฉันแค่กลับมาหานิ้วก้อยเท้าเฉยๆ”

วาเรียเสมองไปยังปลายเท้าคู่นั้นที่เคยนั่งแกว่งอยู่บนเตียงชั้นสอง จนสังเกตว่านอกจากหัวแม่โป้งเท้าที่กระเด็นมาใส่เขาเมื่อกี้แล้วยังมีนิ้วอื่นๆที่ห้อยรุ่งริ่งจวนเจียนจะขาด และมีนิ้วก้อยเท้าที่ขาดหายไปอีก

“ก็เคยบอกแล้วว่าในห้องนี้มันไม่มีไง ไปหาที่อื่นสิ”

“ก็ฉันหาแล้วแต่มันไม่เจอนี่” วาเรียเห็นดวงตากลมโตที่ทอประกายหมองเศร้าของเจ้าของเตียงชั้นสองฝั่งตรงข้าม ก่อนที่ร่างโปร่งแสงนั้นจะค่อยๆเลือนหายไปช้าๆ แล้วก็เป็นจูเลี่ยนที่ถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมาหาเขา

“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ เจฟน่ะไม่ทำอะไรหรอก” ร่างเล็กกว่าที่ก้าวเท้าขึ้นมาบนเตียงก่อนใช้แขนสั้นๆดึงร่างของเขาเข้าไปกอด วาเรียปล่อยมือที่กำปลายผ้าห่มไว้แน่นแล้วเปลี่ยนไปกำชุดนอนเนื้อนิ่มของอีกคนแทน ค่อยๆปล่อยลมหายใจที่เผลอกลั้นเอาไว้เพราะความกลัวพร้อมใช้สายตากวาดมองไปทั่วห้อง

“เมื่อกี้ ค..คือ” ถึงอยากจะถามออกไปแต่ก็พูดไม่ออก เจ้าของเตียงชั้นสอง เพื่อนร่วมห้องคนสุดท้าย มันคือคำตอบที่ว่าทำไมถึงไม่มีหมอนหรือผ้าห่มบนนั้น ไม่มีเสื้อผ้าอยู่ในตู้ และไม่มีข้าวของสักชิ้นวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ

“คืนนี้ดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ฉันค่อยเล่าให้นายฟังนะ เดี๋ยวจะเสียงดังกวนเรมี่เอา หมอนั่นเพิ่งเลิกอ่านหนังสือแล้วเข้านอนได้ไม่นานเอง” ฝ่ามือเล็กกระชับร่างบอบบางในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ก่อนค่อยๆเอนตัวพาวาเรียนอนลงบนเตียงเดียวกันกับเขา ใช้ปลายนิ้วลูบกลุ่มผมของคนที่ซุกหน้าเข้ากับอกของเขาทั้งที่ตัวยังคงสั่นอยู่

“ไม่มีอะไรแล้ว นอนเถอะ” เสียงนุ่มๆกระซิบลงข้างหูพร้อมกับมือที่ลูบปลอบประโลมไม่หยุด วาเรียปิดตาสนิทเพราะกลัวว่าถ้าลืมขึ้นมาอีกครั้งอาจจะเจออะไรที่ไม่คาดคิดอีก และเพราะแบบนั้นเขาถึงมองไม่เห็นแววตาที่สะท้อนอยู่ในดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวคู่นั้น

จูเลี่ยนมองร่างบางในอ้อมแขนที่ปิดตาแน่น ใบหน้าสวยหวานที่ถึงจะมองไม่เห็นลูกแก้วสีน้ำตาลใสแต่ก็ยังเห็นแพขนตายาวและคิ้วโก่งรับกับปลายจมูกโด่งและริมฝีปากบางเป็นกระจับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นคนๆนี้ช่างดูงดงามไม่มีที่ติ รวมทั้งทรวดทรวงเพรียวบาง เอวคอดและสะโพกที่ผายออกซึ่งซ่อนรูปอยู่ในชุดนอนผ้าลื่นสีขาวมุกที่ขับให้ผิวสีน้ำผึ้งดูโดดเด่นยิ่งขึ้น แม้กระทั่งในยามราตรีที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างก็ยังมองเห็นความงดงามตรงหน้าได้ชัด

ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักส่งรอยยิ้มสดใสให้ใครต่อใครอยู่เสมอจดลงบนกลุ่มผมนิ่ม สูดดมกลิ่นพีชอ่อนๆซึ่งมาจากสบู่อาบน้ำที่อีกคนใช้ ก่อนจะส่งมือเล็กๆลูบไล้ลำแขนบอบบางรับสัมผัสที่นุ่มลื่น “ไม่ต้องกลัวนะ วาเรียของฉัน”

 

เจ้าของร่างโปร่งแสงซึ่งบัดนี้กลับมานั่งอยู่บนเตียงชั้นสองอีกครั้งจ้องมองสามคนที่นอนอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงข้าม นึกขอโทษเรมี่ในใจที่เป็นสาเหตุที่ให้เพื่อนคนขยันของเขาต้องตื่นทั้งๆที่เพิ่งเข้านอนไปไม่นาน ส่วนเพื่อนตัวเล็กในชุดนอนลายลูกเจี๊ยบนั่น อันที่จริงเจฟก็ไม่อยากก่อเรื่องให้จูเลี่ยนไม่พอใจสักเท่าไหร่ กับเพื่อนตัวเล็กเจ้าของดวงตาพระจันทร์เสี้ยวที่ดูแสนจะน่ารัก แต่นิสัยจริงช่างขัดกับรูปร่างและชุดนอนลายการ์ตูนที่ใส่อยู่ อย่างบางวันที่เขาเผลอทำเสียงดังตอนหานิ้วก้อยเท้าที่หายไปจนทำจูเลี่ยนตื่นขึ้นมา เจ้าเพื่อนตัวเล็กก็จะเข้ามาเด็ดนิ้วเท้าที่ห้อยรุ่งริ่งของเขาโยนผ่านหน้าต่างออกไปท่ามกลางความมืด จนเขาต้องไปตามหาให้วุ่นวายอีก เชื่อเถอะว่าในโรงเรียนนี้นอกจากผู้ชายเจ้าของห้องใต้ดินคนนั้นแล้วก็มีแค่จูเลี่ยนนี่แหล่ะที่น่ากลัวที่สุด

ใส่ความเห็น