วีคือคำตอบ

I don’t like your Girlfriend

“แทแท”

นิ้วเรียวหยิบเฟรนซ์ฟรายจิ้มซอสมะเขือเทศก่อนจะส่งเข้าปากไป

“แทฮยอง”

เฟรนซ์ฟรายถูกส่งเข้าปากเป็นชิ้นที่สอง

“คิมแทฮยองงงงงง”

เฟรนซ์ฟรายชิ้นที่สามที่กำลังจะส่งเข้าปากตกลงพื้น

 

“โอ๊ย จีมินนี่ จะตะโกนทำไม เรียกเบาๆก็ได้ยินแล้ว ตะโกนซะดังตกใจหมดเลย ป่านนี้แก้วหูเราคงแตกเปรี๊ยะๆแล้วมั้ง” คิมแทฮยองโอเมก้าเพศชายที่กำลังนั่งกินเฟรนซ์ฟรายกับโคล่าของโปรดอยู่ในโรงอาหารของคณะบ่นขึ้นเมื่อถูกเพื่อนสนิทอย่างพัคจีมินซึ่งเป็นชนชั้นเดียวกันตะโกนใส่หูจนเขาตกใจเผลอทำเฟรนฟราย์ตกพื้นไป ในใจก็อดเสียดายจนอยากจะก้มไปเก็บขึ้นมากินใหม่แต่ไม่เป็นไรแค่ชิ้นเดียว ถ้ากินไม่พอค่อยไปซื้อเพิ่มก็ได้

“ได้ยินกับผีอะไรล่ะ นี่เราเรียกแทแทมา 3 รอบแล้วนะ จนคนทั้งโรงอาหารจะได้ยินกันหมดแล้วเนี่ย” พัคจีมินบ่นไม่หยุด ก็ที่ต้องเรียกเสียงดังนั่นเพราะว่าคนตรงหน้าเขานี่สิ เอาแต่หยิบเฟรนซ์ฟรายเข้าปากไม่หยุด สลับกับดูดโคล่าในแก้ว นับๆดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่หรอก แค่เฟรนซ์ฟรายไซส์ใหญ่ 3 ห่อ กับโคล่าแก้วใหญ่อีก 2 แก้วแค่นั้นเอง แค่นั้นกับผีน่ะสิ!! พัคจีมินหันไปมองคนตรงหน้า โอเมก้าตัวเล็กเจ้าของดวงตากลมโตสดใส เหมือนลูกหมามากกว่าจะเป็นหมาป่า ปลายจมูกโด่งรั้นบ่งบอกถึงความดื้อรั้นของคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี ทั้งๆที่โอเมก้าปกติออกจะตัวเล็กบอบบาง แต่แทฮยองน่ะหรอ กลมจนอีกนิดก็จะกลิ้งได้แล้ว เมื่อก่อนก็บอบบางดีอยู่หรอก เอวเล็กนิดเดียว แต่เดี๋ยวนี้สิเอวหน้าขึ้นมาหลายนิ้ว แถมมีพุงกะทิเล็กๆด้วย สะโพกก็ใหญ่ขึ้นมาก หน้ากลมแก้มยุ้ยไปหมด ส่วนสาเหตุที่กลายมาเป็นแบบนี้น่ะหรอ

“นี่เป็นไร มีเรื่องอะไรอีกล่ะ” จีมินถามขึ้น ก็แทฮยองเป็นพวกคิดมากก็กิน ใช้ความคิดเยอะหน่อยก็กิน เครียดก็กิน เบื่อก็กิน โกรธก็กิน เหงาก็กิน เกือบจะกินตลอดเวลาที่มีปัญหานั่นล่ะ และตามประสาเพื่อนที่ดีก็คงปล่อยไปไม่ได้ใช่มั้ย เพราะแบบนั้นนิ้วสั้นๆเลยเอื้อมไปหยิบห่อเฟรนซ์ฟรายตรงหน้ามาก่อนจะจิ้มซอสมะเขือเทศแล้วยัดเข้าปากตัวเอง แค่นี้แทฮยองก็จะได้กินน้อยลงละ เป็นเพื่อนที่ดีมากๆเลยใช่มั้ยล่ะ

“พี่วีมีแฟนล่ะ” แก้มกลมๆพองลมจนอูมขึ้น

“อืม” นิ้วสั้นๆส่งเฟรนฟรายซ์ชิ้นที่สองเข้าปาก อ้อ เอื้อมไปหยิบโคล่ามาดูดแก้ฝืดคอด้วย

“จีมิน พี่วีมีแฟนแล้วนะ” แก้มกลมๆพองลมจนอูมมากยิ่งขึ้น

“อืม พี่ชายฝาแฝดนายที่เป็นอัลฟ่า แล้วไงอ่ะ” น้ำเสียงไม่เข้าใจยังคงดังขึ้น ก็อีกฝ่ายออกจะป๊อปปูลาร์ขนาดนั้น มีแฟนก็ไม่เห็นจะแปลก

“ไม่ก็เห็นบอกกันเลยนิ ทั้งๆที่ไม่เคยมีความลับต่อกันแท้ๆ” แก้มที่พองลมอยู่ค่อยๆยุบลงก่อนใบหน้าเหงาหงอยจะมาแทนที่ สำหรับฝาแฝดที่เกิดมาพร้อมกัน เติบโตมาด้วยกัน และต่างรู้เรื่องกันและกันดีพอๆกับเรื่องตัวเองนั้น ถ้าได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายมีแฟนมีคนที่สนิทด้วยโดยที่เราไม่รู้จัก ก็คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่เหมือนกำลังถูกแย่งคนสำคัญไป เหมือนกำลังจะถูกใครเข้าจะมาแทนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโอเมก้าที่แสนอ่อนแอและถูกรังแกบ่อยๆอย่างเขา การได้รับการปกป้องอยู่เสมอจากอัลฟ่าผู้เป็นพี่ชาย นับเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่เคยคิดน้อยใจในโชคชะตาตัวเอง

“ไม่ได้บอก แล้วรู้ได้ไงว่าเขามีแฟน”  ริมฝีปากหนายังคงเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะกลับมาสนใจเพื่อนตัวเองอีกครั้ง หลังจากเฟรนซ์ฟรายชิ้นสุดท้ายหมดลง

“เมื่อคืนแอบได้ยินพี่วีคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงน่ะสิ”

“เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้นิ” ยังไงเขาก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมแทฮยองถึงแน่ใจว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันล่ะ หรือว่าเสียงที่แทฮยองได้ยินจะเป็นแบบอู้วว อ๊าา เซ็กส์โฟนอะไรแบบนั้นนะ

“แต่หมู่นี้พี่วีกลับบ้านดึกบ่อยๆ บางวันก็ไม่กลับ สงสัยจะติดแฟน” เขามองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ก็แทฮยองสรุปเรื่องราวเอาเองซะเรียบร้อย อันที่จริงฟังดูก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายมั่นใจแบบนั้น เขาก็ไม่ติดใจอะไร ก็โคล่าแก้วใหญ่ในมือยังน่าสนใจมากกว่าเยอะเลยนินา

“แทแท จะรีบไปไหนน่ะ” โอเมก้าตัวเล็กถามเพื่อนสนิทตัวเอง หลังจากคาบเรียนสุดท้ายสิ้นสุดลงอีกฝ่ายก็ดูจะรีบร้อนเก็บกระเป๋าเหลือเกิน

“จะไปตามเฝ้าพี่วี ไปก่อนนะจีมินเดี๋ยวไม่ทัน” หลังจบประโยคนั้น คนตัวกลมนั่นก็วิ่งออกจากห้องเรียนไปทันที จนเขาอดงงไม่ได้ ตกลงแทฮยองเป็นน้องหรือเป็นแม่กันแน่ ทำไมต้องหวงพี่ชายขนาดนี้

แทฮยองเดินเข้าไปในสนาม เพราะพี่วีเป็นนักกีฬาชมรมบาส หลังเลิกเรียนอีกฝ่ายก็ต้องเข้าชมรมมาซ้อมบาสทุกวัน แทฮยองไม่ได้เข้าชมรมเดียวกับพี่หรอก เพราะเขาตัวเล็กไม่ได้สูงเหมือนพี่วี แล้วก็ไม่คล่องแคล่วว่องไวเท่าอีกฝ่ายด้วย แทฮยองนั่งลงบนอัฒจรรย์ด้านข้างสนามบาส ดวงตากลมโตจดจ้องไปยังคนที่วิ่งอยู่ในสนามนั่น คนที่หน้าตาคล้ายกันกับเขา อัลฟ่าร่างสูงใหญ่เจ้าของหน้าตาหล่อเหลาคมคาย สันกรามคมชัดรับกับจมูกโด่งและดวงตาเรียวทรงเสน่ห์จนทำให้ใครๆต่างหลงใหลได้ไม่ยาก ขายาวๆวิ่งไปรอบๆคอยรับส่งต่อลูกบาสจากคนอื่น ก่อนจะโยนข้ามอากาศไปเข้าห่วงที่ติดอยู่บนแป้นสูงเพื่อทำคะแนน แทฮยองปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อีกฝ่ายดูดีมากจริงๆเวลาวิ่งอยู่ในสนามนั่น เวลาสวมชุดกีฬาแบบนั้น

 

หลังจากนกหวีดเป่าหมดเวลาดังขึ้น นักกีฬาก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างสนาม แทฮยองสังเกตเห็นเบต้าหญิงคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเดินไปคุยกับพี่ชายของเขา ท่าทางสนิทสนมกันของสองคนที่อยู่ด้านหน้าทำให้เขาไม่ค่อยชอบใจนัก ไม่รู้ว่าไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไม่ไม่เห็นพี่ชายเขาเล่าถึงผู้หญิงคนนี้สักครั้ง ก็แค่หน้าตาสวยดูเฉี่ยวๆปนเซ็กซี่ แล้วก็ท่าทางกระฉับกระเฉงมั่นใจในตัวเองจนดึงดูดสายตาคนอื่นได้ง่ายๆ แต่ดูยังไงแล้วก็ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะเหมาะสมกันสักเท่าไหร่ แต่บางทีเขาควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าสองคนนั้นจะไม่มีทางไปด้วยกันได้แน่ๆ

 

คิมแทฮยอง อายุ 11 ปี 

“แทฮยองเป็นฝาแฝดกับวีใช่มั้ย ดูสนิทมากเลยไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เราอิจฉาจัง เราอยากสนิทกับวีบ้าง” แทฮยองพิจารณาคนตรงหน้า เด็กสาวชนชั้นเบต้าหน้าตาน่ารัก แต่มองดูยังไงก็ไม่เหมาะกับพี่ชายของเขาสักนิด

“ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเพราะเราต้องคอยดูแลเอาใจพี่วีน่ะ จีซูอย่าไปบอกใครนะ พี่วีค่อนข้างเอาแต่ใจกับคนสนิท ถ้าเราไม่คอยเอาใจหรือทำตามที่พี่วีต้องการ พอกลับไปบ้านก็จะโดนแกล้งแรงๆเสมอเลย โดนขว้างลูกบอลกระแทกใส่หน้าบ้างล่ะ บางทีก็โดนทุบ โดนผลัก ไม่ก็เอาของเล่นของเราไปโยนทิ้ง ถึงเวลาอยู่โรงเรียนพี่วีจะดูใจดีกับทุกคน แต่พอกลับบ้านทีไรแกล้งเราจนเจ็บตัวร้องไห้ทุกที ก็พี่วีแรงเยอะจะตาย จีซูก็ระวังนะ ถ้าสนิทกับพี่วีมากๆอาจจะโดนเหมือนเราก็ได้” โอเมก้าตัวเล็กพูดระบายออกมาพร้อมสีหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ 

สำหรับเด็กประถมสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการถูกแกล้ง และแน่นอนที่แทฮยองเลือกใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ เพราะหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ดูพยายามที่จะไม่เข้าใกล้พี่ชายของเขาอีกเลย สำหรับโอเมก้าที่อ่อนแออย่างแทฮยองแล้ว การทะเลาะตบตีกับคนอื่นคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก การใช้สมองและคำพูดต่างหากที่ให้ผลที่ดีกว่า และแน่นอนว่าเขามักจะเลือกใช้วิธีง่ายๆแบบนี้เสมอ

 

คิมแทฮยอง อายุ 14 ปี 

“แทฮยองเราฝากขนมไปให้วีหน่อยสิ คือเราไม่กล้าเอาไปให้วีเองน่ะ” แทฮยองเงยหน้ามองโอเมก้าที่ยื่นกล่องช็อคโกแลตมาตรงหน้าเขา รอยยิ้มสดใสและดวงตาที่ยิ้มได้ทำให้คนตรงหน้าดูสดใสและจริงใจดี แต่ก็ไม่เหมาะกับพี่ชายของเขาเหมือนเดิม

“ขอโทษนะแต่มินาเอาไปให้เองได้มั้ย เราไม่กล้าเอาไปให้แทนจริงๆ เรากลัว”

“เพราะเดี๋ยววีจะไม่พอใจน่ะหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ไม่รู้ว่ามินาจะเชื่อรึเปล่านะ แต่คือแฟนพี่วีเค้าเพิ่งเสียไปเมื่อสี่เดือนที่แล้วเพราะถูกรถชนน่ะ แล้วหลังจากนั้นพอมีผู้หญิงคนไหนไปเข้าใกล้หรือสนิทกับพี่วีนะ เหมือนจะเจอเรื่องแปลกๆทุกรายเลยล่ะ เคยมีคนฝากจดหมายเราไปให้พี่วี พอเราเอาออกมาจากกระเป๋ากลายเป็นว่ามีเลือดติดอยู่ที่ซองจดหมายเต็มไปหมดเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมันไม่มีอ่ะ” เสียงสั่นๆเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดกลัว เรียกสีหน้าตกใจให้คนตรงหน้าทันที 

เพราะเด็กวัยนี้มักจะหลงเชื่อและหวาดกลัวอะไรได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้พวกวิญญาณ หรืออาถรรพ์และเรื่องลึกลับต่างๆ แทฮยองจึงใช้เรื่องนี้มาอ้าง ตามด้วยการกระทำอะไรอีกเล็กๆน้อย เช่นแอบเอาเลือดสัตว์ไปป้ายที่โต๊ะที่เก้าอี้หรือหนังสือเรียนของอีกฝ่าย บางทีก็เขียนคำขู่อาฆาตลงไปด้วยนิดๆน้อยๆ แค่นี้อีกฝ่ายก็เชื่อสนิทจนไม่กล้าเข้าใกล้พี่ชายเขาแล้ว นี่ล่ะนะไม่ฉลาดไม่เหมาะสมกับพี่ชายเขาจริงๆ

 

คิมแทฮยอง อายุ 16 ปี 

สายตากลมโตมองจ้องไปยังผู้หญิงชนชั้นอัลฟ่าที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในเวลาพักกลางวัน อีกฝ่ายเป็นหัวหน้าห้องผู้ขยันขันแข็งและมีความรับผิดชอบสูง ความใจดีและมีน้ำใจของคนๆนั้นเป็นเสน่ห์สำคัญที่ทำให้พี่ชายเขากำลังให้ความสนใจ และพยายามตามจีบอีกฝ่ายอยู่ในช่วงนี้

“โซอี คือเราไม่เข้าใจโจทย์ข้อนี้ โซอีอธิบายให้เราฟังหน่อยได้มั้ย” เสียงใสๆเอ่ยถามขึ้นพร้อมสายตาอ้อนวอนไปยังคนตรงหน้า

“อ่า แบบนี้นี่เอง เราเข้าใจแล้ว ขอบคุณโซอีมากๆเลยนะ” 

“ไม่เป็นไรหรอกแทฮยอง เรื่องนี้แค่นี้ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามเราได้นะ”

“โซอี นิสัยดีจังเลย ดีกว่าผู้หญิงคนเมื่อวานกับเมื่อวันก่อนตั้งเยอะ”

“หืม ผู้หญิงไหนหรอ”

“โซอีอย่าไปบอกพี่วีได้มั้ย แค่ตอนนี้เราก็มองหน้าพี่วีไม่ติดแล้วล่ะ”

“เรื่องอะไรหรอแทฮยอง”

“ก็เราเห็นพี่วีคบกับผู้หญิงเยอะมากเลย เมื่อวานก็คนนึง วันก่อนหน้าก็คนนึง พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ก็เหมือนจะนัดกับผู้หญิงคนอื่นๆเอาไว้อีก ทั้งๆที่พี่วีตามจีบโซอีอยู่ เราก็พยายามจะเตือนพี่วีหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกทำแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าพี่วีโกรธเรามากที่เราไปยุ่งเรื่องของเขา จนตอนนี้ยังเข้าหน้ากันไม่ติดเลย จริงๆเราไม่ควรจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ แต่เพราะโซอีเป็นเพื่อนที่ดีกับเรามากจริงๆ เราเลยปิดบังต่อไปไม่ได้ ขอโทษจริงๆนะโซอี แต่ขอร้องล่ะ อย่าไปบอกพี่วีว่าเราเป็นคนบอก เราไม่อยากต้องทะเลาะกับพี่ชายอีกแล้ว”

เพราะพวกผู้หญิงมักจะให้ความสำคัญกับเรื่องความซื่อสัตย์ รวมถึงมักจะหูเบาเชื่อคำพูดคนอื่นง่ายๆด้วย แล้วใครจะคิดว่าคนที่เป็นน้องชายอย่างเขาจะกล้าใส่ร้ายพี่ชายตัวเองให้ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นอีกวิธีที่ใช้ได้ผลง่ายๆ โดยไม่ต้องลงมือทำอะไรมากนัก

          

คิมแทฮยอง อายุ 18 ปี 

“อ๊ะ ขอโทษนะครับ” แทฮยองเอ่ยขึ้น หลังจากเดินไปชนกับคนแปลกหน้า

“เอ๊ะ!!” เสียงผู้หญิงตรงหน้าร้องขึ้น หลังจากที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“อ่อ นายหน้าเหมือนคนที่เรารู้จักน่ะ”

“อ่อ หรือว่าเป็นเพื่อนของพี่วีรึเปล่า ผมเป็นน้องชายฝาแฝดพี่วีชื่อแทฮยองครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” รอยยิ้มสดใสถูกส่งออกไปให้ผู้หญิงตรงหน้า ใครจะรู้ว่าเรื่องบังเอิญที่กำลังเกิดขึ้นอยู่แท้จริงมาจากความตั้งใจของเขา หลังจากที่แทฮยองรู้จากพี่ชายว่าจะออกไปเดทกับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เขาก็แอบตามอีกคนออกมาจากบ้าน เดินเข้าร้านกาแฟที่อยู่ตรงข้ามร้านอาหารที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ ต่อแถวซื้อตั๋วหนังแถวหลังจากคนทั้งคู่ ก่อนจะรอเวลาที่ทั้งสองฝ่ายแยกกัน ถึงได้เริ่มทำตามแผนที่คิดไว้ ผู้หญิงคนนี้ต่างจากคนอื่นๆที่เคยเจอมาทั้งหมด หน้าตาสวย เซ็กซี่ รวมถึงการแต่งกายที่ค่อนข้างจะโชว์เรือนร่าง ก็ไม่แปลกที่จะทำให้พี่ชายเขาสนใจได้ไม่ยาก แต่ดูยังไงก็ไม่เห็นถึงความเหมาะสมกับพี่ชายของเขาสักนิด

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อยูราค่ะ”

“ยูราพอจะมีเวลาว่างมั้ยครับ พอดีตรงนั้นมีร้านเครื่องประดับ รสนิยมผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รบกวนไปช่วยเลือกให้หน่อยได้มั้ย คงใช้เวลาไม่นานหรอก”

“จะซื้อให้แฟนหรอคะ”

“อ่า พี่วีเขาวานมาซื้อให้แฟนเก่าเขาน่ะครับ พอดีพรุ่งนี้เป็นวันเกิดเธอ”                  

“หรือว่าวีจะซื้อไปง้อแฟนเก่าหรอคะ”

“อ่าเปล่าครับ เขาเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหล่ะ คงกลับไปคบกันไม่ได้หรอก คุณเป็นเพื่อนพี่วีก็น่าจะรู้ดีว่าพี่วีน่ะโดนแฟนบอกเลิกบ่อยจะตาย คือมันก็พูดยากนะครับ สำหรับคนเป็นแฟนกัน เรื่องความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งน่ะ ถ้าไม่สามารถให้ความสุขกับอีกฝ่ายได้มากพอ มันก็มักจะมีปัญหาตามมาภายหลัง บางทีผมก็เห็นใจพี่วีนะฮะ มีแฟนมาตั้งหลายคนแล้ว แต่กลับตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ จนโดนพูดใส่หน้าตลอดว่าเป็นอัลฟ่าซะเปล่าแรงยังสู้โอเมก้าตัวเล็กๆไม่ได้เลย ฟังแล้วยังรู้สึกแย่แทนเลย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องแบบนี้มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรีลูกผู้ชายซะด้วย” 

 

สำหรับผู้หญิงที่ดูเซ็กซี่ ร้อนแรง และอยู่ในวัยที่กำลังบานสะพรั่งเหมือนดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วเย้าให้แมลงทั้งหลายมาดอมดมนั้น คงจะให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กส์ไม่มากก็น้อย และเขาก็คิดว่ามันน่าจะได้ผล รวมถึงไม่ต้องกังวลด้วยว่าจะไปถึงหูพี่ชายมั้ย เพราะคงไม่มีใครคนไหนกล้าถามคนไม่สนิทกันนักว่าอีกฝ่ายหย่อนสมรรถภาพทางเพศจริงรึเปล่า

แทฮยองเดินลงมาจากบันไดชั้นสองลงสู่ชั้นล่าง ทุกคนกำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ เพราะเป็นวันเสาร์ที่เขาและพี่ชายไม่มีเรียนด้วยกันทั้งคู่ จึงทำให้ทั้งสองคนยังอยู่ในชุดอยู่บ้านปกติ

“แทแทลงมาพอดี แม่กำลังจะไปตามมากินข้าวเช้าเลย” ” เสียงซอกจินโอเมก้าตัวเล็กดังขึ้น เมื่อเห็นลูกชายอีกคนเดินมาถึงโต๊ะอาหาร

“พ่อแม่ เดี๋ยววันนี้ผมจะไปซ้อมบาสที่มหาวิทยาลัยนะครับ” วีพูดขึ้นมา เพราะวันนี้เขานัดกับคนในชมรมเอาไว้ว่าจะไปซ้อมบาสตอนสายๆ

“พี่วี แทไปด้วยสิ พ่อจ๋าแม่จ๋า เดี๋ยวแทไปกับพี่วีนะ” เสียงใสๆเอ่ยขึ้นก่อนจะก้มลงไปจัดการกับอาหารเช้าตรงหน้าต่อ

“คิดยังไงจะไปดูพี่ซ้อมบาส”

“ก็อยากเห็นว่าพี่เท่แค่ไหนเวลาอยู่ในสนามอ่ะ” แล้วก็แค่อยากไปจัดการใครบางคนนิดหน่อย

 

ทั้งสองคนเดินเข้ามาในสนามบาสซึ่งมีสมาชิกในชมรมยืนอยู่กันก่อนแล้ว แทฮยองแยกไปนั่งที่อัฒจรรย์ด้านข้างสนาม ส่วนวีก็เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนในชมรมคนอื่นๆ แทฮยองหันไปมองพี่ชายตัวเอง ผู้หญิงคนที่เคยเห็นเมื่อวานยังคงยืนอยู่ข้างพี่ชายของเขา สองคนคุยอย่างสนิทสนม ถึงจะอยู่ไกลเกินกว่าที่จะได้ยินว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน แต่ภาพรอยยิ้มกว้างๆและเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาให้ได้ยินเป็นระยะๆก็เพียงพอที่จะทำให้อารมณ์ของคนที่มองดูอยู่ขุ่นมัวมากขึ้น ถ้าจะบอกว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงตรงหน้าก็อาจจะใช่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบพี่ชายตัวเองมากกว่าผู้หญิงคนนั้นซะอีก ทั้งหน้าตาที่ดูมีความสุข รอยยิ้มกว้างๆและเสียงหัวเราะเหมือนคนบ้านั่นดูโง่เง่ามากจริงๆ บุคลิกแบบนั้นน่ะไม่เหมาะกับอีกฝ่ายสักนิด

 

“หวัดดีจ้ะ ชื่อแทฮยองใช่มั้ย เราชื่อเจนนี่นะ เป็นผู้จัดการชมรมบาส พอดีวีวานให้มาอยู่เป็นเพื่อนแทฮยองน่ะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น พร้อมกับนั่งลงข้างๆเขา หลังจากที่ลูกบอลสีส้มลอยขึ้นไปกลางอากาศเป็นสัญญาณเริ่มต้นการฝึกซ้อมการแข่งขันคนของในสนาม แทฮยองได้แค่ยิ้มตอบกลับไปให้คนข้างๆ เขากำลังคิดจะทำอะไรสักอย่าง เพียงแต่ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลรึเปล่า เพราะเขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของผู้หญิงคนนี้กับพี่ชายเขาลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เจนนี่รู้จักพี่วีมานานแล้วหรอ”

“ก็รู้จักตั้งแต่เราเข้ามาอยู่ชมรมนี้ น่าจะเกือบสองเดือนได้แล้วล่ะ”

“ไม่เห็นพี่วีเคยเล่าให้ฟังเลยว่าในชมรมมีคนสวยขนาดนี้อยู่ด้วย เจนนี่สวยเหมือนแฟนเก่าพี่วีเลย”

“แฟนเก่าวีหรอ ตั้งแต่รู้จักวีมาก็ไม่เห็นพูดว่าเคยมีแฟนเลยแฮะ”

“อืม ก็มีอยู่บ้างนะ น่าเสียดายที่ส่วนมากคบกันได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ถูกบอกเลิกซะหมด”

“หล่อๆ เท่ๆแบบวียังถูกบอกเลิกอีกหรอ”

“แหะแหะ ถ้าเล่าให้เจนนี่ฟังแล้วอย่าไปบอกใครนะ ก็พี่วีเป็นนักกีฬา เลยแข็งแรงแล้วก็มีแรงเยอะกว่าอัลฟ่าปกติ รวมถึงเอ่อ จะพูดว่าไงดีล่ะ พี่วีมีความชอบแล้วก็รสนิยมที่แตกต่างจากคนอื่นๆนิดหน่อย แบบว่าชอบอะไรที่ค่อนข้างจะรุนแรงมากๆ เพราะเขาบอกว่ามันน่าตื่นเต้น เร้าใจและไม่น่าเบื่อ สุดท้ายก็เลยคบใครเป็นแฟนได้ไม่นาน เพราะส่วนใหญ่เขาทนแรงพี่วีกันไม่ไหว แต่เจนนี่ก็คงเข้าใจใช่ไหมเรื่องแบบนี้มันก็เป็นความชอบส่วนบุคคลอ่ะนะ”

“อ่า แต่ดูวีไม่น่าจะมีรสนิยมแบบนั้นเลยนะ”

“ถ้ารู้จักกันไปนานๆก็คงจะได้เห็นด้านนั้นล่ะมั้ง”

หลังการฝึกซ้อมสิ้นสุดลงในช่วงเวลาเกือบเที่ยงวัน เมื่อพลังงานในตัวถูกใช้ไปกับการฝึกซ้อมจนหมด ทุกคนจึงเลือกที่จะไปเติมพลังที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย แทฮยองยังคงมองสองคนที่นั่งอยู่ติดกันกับเขา ดูเหมือนว่าสิ่งที่พูดไปจะไม่ส่งผลอะไรกับผู้หญิงคนนั้น อีกฝ่ายยังคงหยอกล้อกับพี่ชายของเขาอย่างสนุกสนาน มันน่าหงุดหงิดนิดหน่อยที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิด หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นพวกมีความสุขกับความเจ็บปวดอะไรแบบนั้นรึเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะเดินเกมผิดไปหน่อย สงสัยอาจจะต้องคิดหาทางอื่น

สองคนตรงหน้ายังคงเย้าแหย่กันไม่เลิก และมันออกจะมากขึ้นอีกด้วยซ้ำ ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีสวยนั่นกระซิบลงที่ข้างหูของพี่ชายเขา ช่องว่างระหว่างสองคนตรงหน้าค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ จนเกือบจะชิดติดกันอยู่แล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นที่สาธารณะคงนั่งเกยตักกันไปแล้วล่ะมั้ง

ปังงง…

เสียงทุบโต๊ะอย่างแรงดังขึ้นจนทุกคนได้แต่หันไปมองทางต้นเสียง

“เป็นอะไรรึเปล่า แทแท” เสียงทุ้มๆถามขึ้น เมื่อเสียงดังนั่นมาจากน้องชายตัวเล็กของเขา

“แทกลับบ้านก่อนนะ ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ไว้พี่เสร็จธุระเมื่อไหร่ค่อยกลับไปเจอกันที่บ้านละกัน” น้ำเสียงฟึดฟัดบ่งบอกถึงความไม่พอใจของคนตรงหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะหุนหันเดินออกจากโรงอาหารไป

 

 

V PART

ผมออกจะงงนิดหน่อยกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของน้องชายตัวเอง มีอย่างที่ไหนอยู่ๆก็ทุบโต๊ะดังปัง ทำสีหน้าเหมือนโกรธใครมาทั้งปีทั้งชาติแล้วยืนยันว่าจะกลับไปรอที่บ้าน เพราะไม่อยากจะขัดใจคนตรงหน้าให้อารมณ์เสียมากขึ้น ผมถึงยอมปล่อยให้เขากลับไปก่อน ผมเดินกลับไปที่ชมรมเพื่อจะเก็บสัมภาระกลับบ้าน ช่วงนี้ใกล้แข่งกีฬามหาวิทยาลัยแล้ว ทุกคนเลยต้องขยันฝึกซ้อม บางวันก็เลิกดึก หรือต้องนอนที่ชมรมบ้าง เลยอาจจะทำให้ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกับน้องมากเท่าไหร่ ในขณะที่ผมกำลังจะเดินออกจากห้องชมรมนั้น เจนนี่เพื่อนสนิทของผมรวมถึงควบตำแหน่งผู้จัดการชมรมก็เดินมาหา อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกๆ อ้ำๆอึ้งๆเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ทำตัวไม่ถูก ผมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย จนในที่สุดยัยนั่นก็เอ่ยปากขึ้น

“เอ่อ วี ขอโทษทีนะ จริงๆก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็อดสงสัยไม่ได้อ่ะ อย่าว่าละลาบละล้วงเลยนะ แต่เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน บางทีถ้ามีอะไรก็น่าจะคุยกันได้ทุกเรื่องเนอะ”

“จะพูดไรเนี่ยเจนนี่ เธอพูดวกไปวนมาจนฉันงงไปหมดแล้ว” ก็อีกฝ่ายเอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ ฟังจนจบยังจับใจความไม่ได้เลย

“เอาตรงๆเลยนะ นายเป็นพวกซาดิสม์ชอบความรุนแรงจริงหรอ” สายตาแสดงความอยากรู้อยากเห็นถูกส่งมาจากคนตรงหน้า

“นี่เธอไปเอามาจากไหนเนี่ย ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายฉันต่อยปากแตกไปละ นี่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรอกนะ” นี่ผมเริ่มหงุดหงิดจริงๆละ ท่าทางผมดูเหมือนพวกชอบความรุนแรงรึยังไง ยัยนั่นถึงได้กล้าถามคำถามนี้ออกมา

“ก็น้องชายนายบอก ยังเล่าให้ฟังอีกว่านายคบกับใครได้ไม่นานก็ถูกบอกเลิกหมดเพราะทนแรงของนายไม่ได้อ่ะ”

“หึ หึ เอาอีกแล้วหรอ สงสัยคราวนี้จะอยู่เฉยๆไม่ได้ละ” หลังจากนั้นผมก็เดินออกจากชมรมเดินกลับบ้านทันที โดยไม่สนใจสีหน้างงงวยของเพื่อนสนิทจอมจุ้นนั่นอีก อันที่จริงผมก็พอรู้มาบ้าง ตั้งแต่เด็กจนโตแทฮยองจัดการผู้หญิงที่เข้าหาผมด้วยวิธีไหน บางครั้งผมก็โกรธนิดหน่อย แต่พอเห็นสีหน้าใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้เวลาที่ผมเล่าว่าอยู่ดีๆผู้หญิงที่คุยกันอยู่ก็เมินผมไป ไม่ยอมเข้ามาคุยกับผมอีก แถมยังคำพูดปลอบใจผมอีกสารพัด ทำให้อดขำจนใจอ่อนไม่ได้ ความจริงได้เห็นแทฮยองตามหวงผม ก็เป็นความสุขอย่างนึงในชีวิต อีกฝ่ายคงคิดว่าผมไม่รู้ แต่อย่าลืมสิว่าเราเป็นฝาแฝดกัน ทำไมถึงแน่ใจว่าผมจะไม่รู้จักนิสัยตัวแสบของผมดีพอ

 

ผมกลับมาถึงบ้านในเวลาไม่นานนัก เพราะเป็นเวลาแค่บ่ายแก่ๆ พ่อกับแม่จึงยังไม่กลับบ้าน ท่านทั้งสองทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะมีคนจำนวนมากใช้ไปใช้บริการโรงพยาบาลในแต่ละวัน ทำให้ไม่เคยมีวันไหนที่จะเห็นคนทั้งคู่กลับถึงบ้านเร็ว ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของบ้าน ซึ่งมีห้องนอนของผมและแทฮยองตั้งอยู่ติดกัน ผมได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ของอีกคนดังลอดออกมา จึงค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในห้องอีกฝ่ายก่อนจะปิดลงอย่างช้าๆ แทฮยองนอนคว่ำหันหลังให้ประตูอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ ร่างเล็กอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น และเสื้อยืดสีขาวตัวเก่ง ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนโผล่ออกมาให้เห็นตามรอยขาดขนาดใหญ่ด้านหลังและไหล่ที่เจ้าตัวชอบเอากรรไกรมาตัดเพราะบอกว่าเป็นแฟชั่นสมัยใหม่ คนตัวเล็กยังคงนอนคว่ำและคุยโทรศัพท์มือถืออย่างออกรสออกชาติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนอื่นเข้ามาอยู่ในห้องนอนตัวเองแล้ว

กลิ่นหอมๆเหมือนดอกลาเวนเดอร์ลอยมาแตะจมูกของผม กลิ่นเฉพาะตัวของคนตัวเล็กนั่น ฟีโรโมนที่ส่งผลโดยตรงกับอัลฟ่าและเบต้า ผมมองไปยังโต๊ะข้างเตียงที่มีแก้วที่ยังมีน้ำเต็มอยู่และมีขวดยาตั้งไว้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะวุ่นวายกับการคุยโทรศัพท์เหลือเกินจนยังไม่มีเวลาแม้แต่จะกินยา…ยาระงับอาการฮีท

“คิดดูสิจีมินอ่า พูดไปขนาดนั้นยังนิ่งเฉยได้อีก สงสัยยัยเจนนี่นั่นต้องเป็นพวกมาโซคิสม์แน่ๆเลย พี่วีจะรู้มั้ยนะว่าแฟนตัวเองเป็นพวกไม่ปกติ” ให้ตายสิน้องชายของผมที่ร้ายจริงๆ ความจริงที่วิธีนี้มันไม่ได้ผลเพราะผมกับเจนนี่ไม่ได้เป็นอะไรกันต่างหาก เพราะฉะนั้นตอนยัยนั่้นได้ยินว่าผมเป็นพวกซาดิสม์นอกจากจะไม่ได้กลัวเกรงอะไรแล้ว ยังมีแต่สนอกสนใจอยากจะรู้มากขึ้นอีก

“จีมินว่าเราจะทำไงต่อดีล่ะ คิดจนปวดหัวไปหมดแล้วนะ หรือว่าเราจะ..” ผมเดินไปหยุดข้างๆคนตัวเล็กนั่น ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากมือของอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสายทิ้งแล้วกดปิดเครื่อง

คนที่นอนคว่ำอยู่หันกลับมามองผมทันที ก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ลำคอเล็กๆกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก

“พะ..พีวีมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็มาตั้งแต่ได้ยินว่าพูดอะไรกับเจนนี่ ว่าแต่แทแทพูดอะไรกับเจนนี่หรอ”

“มะ..ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย แทว่าแทหิวข้าวล่ะ เดี๋ยวขอลงไปหาข้าวกินก่อนนะ” คนตัวเล็กพูดพลางเอามือลูบพุงกะทิตัวเองป้อยๆ ก่อนจะรีบสาวเท้าเพื่อจะเดินออกไปจากห้อง

“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน” ผมคว้าข้อมือเล็กๆนั่นไว้ ก่อนจะพูดต่อไปว่า

“ไม่ใช่ว่าบอกกับเจนนี่ว่าพี่มีรสนิยมชอบความรุนแรงหรอ”

“เปล่านะ นี่ไม่ได้พูดอะไรเลย เรื่องส่วนตัวแบบนั้นแทจะไปรู้ได้ไงเนอะ แทไม่รู้หรอก” สีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของน้องชายผมนี่น่าเอ็นดูอย่างแรงเลยล่ะ

“นั่นสิเนอะ ของแบบนี้ต้องลองก่อนถึงจะรู้” ไม่พูดเปล่า ผมผลักน้องชายลงบนเตียงนอนใหญ่ๆนั่น ก่อนจะก้าวขึ้นไปคร่อมทับอีกฝ่ายเอาไว้

“พะ..พี่วี แทไม่เล่นนะ”

“อืมไม่เล่น พี่จะเอาจริงๆจังๆเลยล่ะ” ก็ต่อไปแทฮยองจะได้ไปเล่าถูกว่าตกลงผมอ่อนหัดหรือชอบความรุนแรงกันแน่

ใส่ความเห็น