วีคือคำตอบ

3 Minutes 3 Months and 3 Years

 

127424635

 

ผมห่อตัวเองกับเสื้อโค้ทกันหนาวตัวยาวที่สวมใส่อยู่ ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยแม่กุญแจนับร้อยนับพันของคู่รักที่มาคล้องไว้ด้วยความเชื่อที่ว่าความรักจะยืนยาวและไม่พรากจากกันไปตลอด ผมไม่รู้หรอกว่ามันจริงแท้แค่ไหน แต่บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมยังติดอยู่ในวังวนความรู้สึกเดิมไม่ต่างไปจากสามปีที่แล้ว

 

3 ปีก่อนหน้า

ทันทีที่ก้าวเท้าออกมาจากสนามบินความรู้สึกเวียนหัวราวกับมีระเบิดสักลูกที่กำลังนับถอยหลังซุกซ่อนอยู่ในขมับทั้งสองข้างก็ตรงเข้าเล่นงานผมทันที อาการผะอืดผะอมอยากจะพ่นอาหารของสายการบินที่เพิ่งทานเข้าไปทำให้ผมมั่นใจว่ากำลังถูกอาการเจ็ทแล็กเล่นงานเข้าแล้ว ไม่บ่อยครั้งที่จะได้นั่งเครื่องบินเป็นเวลานานๆ อย่างเช่นระยะทางจากอังกฤษมาถึงเกาหลีเหมือนครั้งนี้ มันเลยไม่แปลกนักที่ร่างกายของผมจะปรับตัวไม่ทันเมื่อต้องเดินทางข้ามโซนเวลาของสองซีกโลก

อากาศในตอนเกือบเที่ยงทำให้อาการของผมแย่ลงและแสงแดดที่ร้อนระอุก็เหมือนจะเร่งให้ลูกระเบิดในหัวทำงานได้เร็วขึ้น สิ่งแรกที่ผมเลือกจะทำในตอนนี้คือเดินทางกลับไปยังคอนโดของพี่ชายที่ผมถือคีย์การ์ดและกุญแจเก็บไว้

กระเป๋าเดินทางและข้าวของที่อยู่ในมือถูกโยนกระจัดกระจายลงบนเตียงและพื้นไม้ขัดมัน ผมวิ่งเข้าห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงนอนเพื่อระบายเอาความปั่นป่วนในช่องท้องออกมาจนรู้สึกดีขึ้นก่อนจะอาบน้ำเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายตัวเอง ผมพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็อาการเวียนหัวก็ยังคงไม่หายไปไหน ผมออกจากคอนโดตอนเกือบจะบ่ายสองโมงเพื่อเรียกรถแท็กซี่ไป LA CADOLE ร้านอาหารฝรั่งเศสของพี่ชายผม

มันเป็นร้านเล็กๆประกอบด้วยผนังอิฐสีขาว บริเวณกำแพงรอบร้านมีช่อดอกไม้สดประดับอยู่จนได้กลิ่นหอมอ่อนลอยมากับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ภายในร้านมีโต๊ะไม้อยู่สี่ห้าชุดที่ปูด้วยผ้าปูสีขาวสะอาดและล้อมรอบด้วยเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเข้ม ส่วนบนเพดานก็มีโคมไฟรูปทรงเหมือนแก้วสีใสห้อยคว่ำลงมาส่งแสงสีเหลืองอ่อน และมีเคาน์เตอร์เล็กๆอยู่อีกฝั่งซึ่งมีเครื่องชงกาแฟและเครื่องดื่มหลายชนิดรวมทั้งแก้วและขวดไวน์ดีไซน์ต่างๆ

พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับผมด้วยท่าทางยิ้มแย้มพร้อมกับเมนูอาหารที่อยู่ในมือผมเลยเอ่ยปากบอกไปตามตรงว่าต้องการพบคิมซอกจินเจ้าของร้านและปล่อยให้เขาเดินกลับเข้าไปหลังร้านอีกครั้ง

“สวัสดีครับ”

ผมหันไปมองที่มาของเสียงที่ได้ยิน ดวงตาพร่ามัวไปชั่วขณะจนต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อให้ภาพกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะแสงจากโคมไฟบนเพดานหรือแสงอาทิตย์ตอนบ่ายสามที่ส่องผ่านกระจกของร้านที่ทำให้ตาผมเบลอแบบนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นดวงตาสีดำสนิทที่ทอประกายเจิดจ้าจนผมแสบตาไปหมด

“คุณคงเป็นคนที่นัดสัมภาษณ์งานเอาไว้ ตอนนี้พี่จินไม่อยู่ครับแต่อีกสักพักก็คงกลับแล้ว รบกวนนั่งคอยสักครู่นะครับ” เขาอยู่ในชุดยาวสีขาวและหมวกคลุมผมสีเดียวกันที่บริเวณคอปกและสาบเสื้อถูกกุ้นด้วยผ้าสีดำตามแบบฉบับของพ่อครัวร้านอาหาร ผมพยักหน้ากลับไปแต่ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดของเขาหรอกเพราะอาการเวียนหัวที่เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้งผมเลยไม่สบายตัวจนไม่อยากจะพูดอะไรอีก

ผมมองเข็มนาฬิกาบนผนังที่ขยับไปทีละวินาที และไม่เกินสามนาทีตั้งแต่ที่ผมเดินเข้ามาในร้านก็มีแก้วบรรจุเครื่องดื่มสีสวยวางลงตรงหน้า

“สตรอว์เบอร์รี่เลมอนเนดครับ สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยและมันน่าจะช่วยให้สดชื่นขึ้น” ผู้ชายคนเดิมในชุดพ่อครัวผู้เป็นเจ้าของดวงตาสดใสที่ผมละสายตาไม่ได้ ใจดีจังเลยน้านั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก เขาหยิบยื่นน้ำใจมาให้ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนและไม่รู้ว่าผมเป็นน้องชายเจ้าของร้าน

รสชาติเปรี้ยวอมหวานของเลมอนและสตรอว์เบอร์รี่ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นตามที่เขาบอก ความเย็นของมันช่วยลดอาการปวดหัว รวมทั้งกลิ่นสะระแหน่ที่ถูกผสมอยู่ก็ทำให้รสชาติพิเศษมากขึ้นเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าตอนเช้าตรู่และได้กลิ่นสดชื่นของธรรมชาติ ผมค่อยๆจิบเครื่องดื่มในแก้วจนพร่องไปเรื่อยๆแล้วผู้ชายในชุดพ่อครัวก็กลับมาอีกครั้งเพื่อเชิญในผมไปนั่งรอในห้องทำงานส่วนตัวของเจ้าของร้านที่กำลังจะกลับมาถึง

 

OS : 3 Minutes 3 Months and 3 Years (KookV)

#วีคือคำตอบ

 

แอ๊ดดด เสียงเปิดประตูดังขึ้นในขณะที่ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้และไม่ได้หันหลังไปมองผู้ที่เดินเข้าใหม่ รอจนเขานั่งลงหลังโต๊ะไม้และเผชิญหน้ากับผม

“สวัสดีค….อ้าว แทฮยอง นายมาได้ไงเนี่ย” ผมหัวเราะให้กับสีหน้าเหวอของพี่ชายที่แปลกใจที่ได้เจอผม แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะกลับมาจากอังกฤษเพื่อใช้เวลาว่างสามเดือนกับวันหยุดฤดูหนาวที่เกาหลี

“คิดถึงเกาหลีนี่ ไปเรียนที่อังกฤษตั้งนาน คนที่นี่ก็ไม่มีแก่ใจจะไปเยี่ยมเราสักนิด” ผมเอ่ยแซวพี่ซอกจิน สามปีที่ไปเรียนต่างบ้านพี่ชายคนนี้ไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผมสักครั้งมีแต่บอกว่าจะหาเวลาว่างไปให้ได้

“ขอโทษที่พี่มัวแต่ยุ่งกับงานที่ร้าน แล้วน้องชายสุดที่รักจะอยู่เกาหลีถึงเมื่อไหร่ล่ะ”

“ว่าจะอยู่สามเดือนเลย เมื่อกี้คุณพ่อครัวเขาบอกว่าพี่มีนัดสัมภาษณ์คนเข้างานหรอ” ผมถามในสิ่งที่ได้ยินมาจากพ่อครัวคนนั้น

“ใช่ เด็กเสิร์ฟคนใหม่ แต่คงไม่มาสัมภาษณ์แล้วมั้ง”

“งั้นรับผมแทนได้มั้ย” แน่นอนว่าผมไม่อยากใช้เวลาปิดเทอมฤดูหนาวสามเดือนไปกับการนั่งๆนอนๆในคอนโดหรูแล้วที่สำคัญเหมือนผมจะค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจที่นี่ด้วย

“นายจะไม่ทำข้าวของในร้านพี่พังหรือไล่ลูกค้าพี่ใช่มั้ย”

“โห ใจร้ายกับน้องชายตัวเองจัง เชื่อใจผมเถอะน่า แต่พี่อย่าบอกคนอื่นนะว่าผมเป็นน้องเดี๋ยวเขาจะเขม่นว่าเป็นเด็กเส้น”

“เส้นมาเป็นพนักงานเสิร์ฟเนี่ยนะ ก็ตามใจนายแต่ห้ามทำของร้านพี่พังละกัน” ผมหัวเราะให้กับคำพูดของเขา ไม่ได้มีเหตุผลให้ต้องปิดบังฐานะตัวเอง ผมก็แค่คิดว่ามันสนุกดีเฉยๆไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

 

 

“แทฮยองงานโอเคใช่มั้ย”

“โอเคครับพี่จิน” หนึ่งอาทิตย์ที่เข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟไม่ได้มีอะไรให้ลำบาก หน้าที่ของผมมีเพียงรับรายการจากลูกค้าและนำอาหารที่เชฟทำเสร็จไปเสิร์ฟด้านนอก

“แล้วจองกุกล่ะ วัตถุดิบในร้านขาดอะไรมั้ยต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า”

“ไม่มีครับพี่จิน” น้ำเสียงนิ่งๆหลุดออกมาจากปากเชฟของร้าน แน่นอนว่าเขาคือคนที่ทำสตรอว์เบอร์รี่เลมอนเนดให้ผมในวันแรกที่มาถึงที่นี่

ฝ่ามือหนาและนิ้วเรียวยาวจับกระทะอย่างคล่องแคล่ว กลิ่นหอมของพาสต้าวองโกเล่ที่กำลังถูกปรุงอบอวลไปทั่วครัวห้องเล็ก ผมหันมองจานที่วางเรียงอยู่ในชั้นไม่ห่างจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่และเลือกจะหยิบจานใบใหญ่สีขาวล้วนขึ้นมา

เพล้ง เสียงจานแก้วกระทบกับพื้นจนเป็นเสี่ยงเรียกทุกคนให้หันมองมาที่ผม อันที่จริงมันก็แค่ลื่นหลุดมือไปแต่ทำไมจองโฮซอกถึงต้องมองผมด้วยสายตาเขียวปั้ดแบบนั้น

“ขอโทษทีผมแค่ตั้งใจจะช่วยหยิบจาน เดี๋ยวอันนี้ผมทำความสะอาดเองก็ได้” ผมก้มตัวลงตั้งใจจะเก็บเศษแก้วชิ้นใหญ่ๆก่อนแล้วค่อยเอาไม้กวาดกับที่โกยผงมากวาดเศษแก้วเล็กๆที่พื้นอีกรอบ

“โอ๊ะ” ให้ตายเถอะ ผมซุ่มซ่ามจนทำแก้วบาดนิ้วตัวเองจนได้และนั่นก็เรียกสายตาแสนเบื่อหน่ายจากโฮซอกอีกรอบ

จองโฮซอกเป็นพนักงานเสิร์ฟคนแรกที่ผมเคยเจอตอนเดินเข้ามาในร้านนี้ นอกจากเสิร์ฟอาหารแล้วเขามีหน้าที่รับผิดชอบการชงเครื่องดื่มรวมถึงมาช่วยงานในครัวบางครั้ง เพราะผมต้องเก็บกวาดเศษแก้วที่ที่พื้นไม่ให้ใครเผลอมาเหยียบเลยต้องปล่อยให้หน้าที่เสิร์ฟอาหารตกเป็นของโฮซอกไป

“มานี่สิ” เจ้าของดวงตาสดใสและใบหน้าเรียบเฉยเดินมาเรียกผมให้เดินตามไปจนกระทั่งผมได้รู้เหตุผลของเขา

“นั่งลง” เขาหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาวางไว้แล้วดึงนิ้วผมไปเพื่อเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์แตะลงที่ปากแผล

“ใจดีอีกแล้ว” ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปแต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าท่าทีเรียบเฉยเหมือนปกติ ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมากขึ้นผมก็รับรู้ได้ว่าถึงเขาจะเป็นคนเงียบๆแต่ที่จริงใจดีมาก

ทั้งวันผ่านไปอย่างราบรื่นถ้าไม่นับความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของผม อย่างเช่นเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะ หรือรับรายการอาหารผิด ซึ่งสุดท้ายพวกเราก็แก้ไขจนมันผ่านไปได้

“เหนื่อยจังบ้านไกลด้วย เชฟไปส่งหน่อยสิ”

“โตขนาดนี้ยังกลับบ้านไม่เป็นอีกหรือไง มาเองได้แล้วทำไมกลับเองไม่ได้ ต้องให้เชฟไปส่งทุกวันเลย” เหมือนผมจะได้ยินเสียงบ่นจากที่ไหนสักที่ พอมองไปมองมาถึงได้รู้ว่าออกมาจากปากโฮซอกคนชอบขัด

“กลับเองไม่ได้แล้วไงฉันไม่ได้รบกวนนายสักหน่อย รบกวนเชฟต่างหาก ไปกันเถอะเชฟ” ผมหันไปหาคนที่กำลังถอดชุดพ่อครัวออกแล้วยังเอื้อมมือไปลากแขนเขาออกมาด้วย ความจริงตอนนี้ผมไปอาศัยคอนโดพี่จินอยู่ซึ่งถ้าจะให้กลับพร้อมกับพี่ชายก็สะดวกดีแต่ทุกวันผมก็ยังเลือกจะตื้อคนใจดีให้ขับรถไปส่งเหมือนที่โฮซอกบอก

“วันนี้เชฟว่างมั้ย ผมหิวไปหาอะไรกินกัน” ถ้าสงสัยว่าผมกำลังจะทำอะไรล่ะก็นะ

“คุณอยากทานอะไรล่ะ”

“อยากกินเชฟ”

“…” โอ้โห เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้รับสายตาดุๆจากคนที่ผมพร่ำบอกเสมอว่าใจดีที่สุด

“หมายถึงอาหารที่เชฟทำน่ะ” ที่จริงผมก็หมายความตามประโยคแรกแหล่ะแต่เพราะกลัวจะถูกไล่ลงจากรถเลยต้องเปลี่ยนคำพูดนิดหน่อย

“ตกลงจะทานอะไรครับ”

“พาสต้าวองโกเล่แบบที่เชฟทำวันนี้” ผมหมายถึงพาสต้าใส่หอยอย่างพวกหอยตลับ เพราะตอนกลางวันที่เห็นเขาทำเมนูนี้ดูน่าอร่อยมาก

เราแวะที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างทางเพื่อเลือกซื้อของที่จำเป็นอย่างพวกหอยและเส้นพาสตาหมึกดำที่ผมชอบ ก่อนขับรถไปจุดหมายปลายทางซึ่งก็คือห้องของคนทำที่เป็นความตั้งใจของผม ภายในคอนโดไม่กว้างเท่าไหร่แต่มีพื้นที่สำหรับทำครัวที่มีอุปกรณ์ครบครันสมเป็นห้องของเชฟมือหนึ่งแห่ง LA CADOLE ผมมองเชฟที่สวมผ้ากันเปื้อนสีเทาและกำลังต้มเส้นพาสต้า คิดในใจว่าคงจะดีถ้ามีคนคอยทำอาหารให้กินแบบนี้ทุกมื้อ

“คุณไปนั่งรอที่โซฟาก่อนก็ได้” เขาเงยหน้าขึ้นมาบอกผมที่ปีนขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนเคาน์เตอร์ข้างซิงค์ล้างจาน

“เชฟอยู่คนเดียวหรอ” แล้วผมก็เริ่มเผยความตั้งใจที่แท้จริงออกมาทีละนิด

“ครับ”

“สะอาดดีจัง เคยพาเพื่อนมาสังสรรค์ที่ห้องบ้างมั้ย”

“ผมไม่เคยพาใครมาที่นี่”

“แสดงว่าผมเป็นคนแรกที่พามาใช่ป่ะ” ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองมีความหวังยังไงก็ไม่รู้สิ

“เป็นคนแรกที่ขอมาครับ คนอื่นเขาไม่เคยขอเลยไม่เคยพามา” ยอมรับว่าคำตอบของเขาทำให้ความดีใจของผมลดลง แต่แค่นิดเดียวเท่านั้นนะเพราะผมถือว่ายังไงผมก็เป็นคนแรกที่ได้มาเยือน

แล้วมื้อนั้นก็เป็นพาสต้าที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา รสชาติอาหารดีรวมกับคนที่นั่งกินด้วยที่ทำให้บรรยากาศกลายเป็นดีมากจนผมรู้สึกเหมือนจะเริ่มเสพติดบรรยากาศแบบนี้

“ง่วงจังเลยเชฟ ตาจะปิดแล้วนอนนี่เลยได้มั้ย” ผมส่งยิ้มรูปสี่เหลี่ยมไปให้เขา พี่จินและคนอื่นบอกเสมอว่ารอยยิ้มของผมมันดูออดอ้อนจนใครๆก็ยากที่จะปฏิเสธ

“ถ้าง่วงก็ไปนอนในรถครับ เดี๋ยวผมขับไปส่ง” แต่วันนี้ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลเพราะคนใจดีไม่ได้ใจดีเหมือนเดิม ทั้งที่อ้อนก็แล้วยื้อเวลาจนดึกดื่นก็แล้วแต่สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนคอนโดพี่ซอกจินอยู่ดี

 

“กลับดึกนะ” ผมหันไปมองพี่ซอกจินที่นั่งอยู่หน้าโซฟาในมือถือเอกสารมากมายที่น่าจะเกี่ยวกับการจัดการร้านอยู่ การเปิดร้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่ายไหนจะต้องวุ่นวายกับการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบและคนอีก

“โธ่พี่ ผมโตแล้วนะ” ใจคอพี่ชายคงจะไม่มาเป็นโรคหวงน้องชายที่อายุ 21 ปีในตอนนี้หรอกมั้ง ผมเรียนอยู่ปีสามจนอีกนิดเดียวก็จะจบปริญญาอยู่แล้วไม่ใช่เด็กสิบหกสิบเจ็ดสักหน่อย

“เปล่า พี่ไม่ได้ห่วงนาย ห่วงจองกุก เชฟเก่งๆที่ทำงานเข้ากันได้ดีหายากนะ อย่ารุกมากจนเขารำคาญลาออกจากร้านพี่ล่ะ” ใครก็ได้บอกทีเถอะว่าคนที่เป็นน้องชายของเขาคือผมไม่ใช่เชฟ พอได้ยินแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจเลย

“แต่สรุปพี่ไม่ห้ามใช่มะ”

“พี่เคยห้ามนายได้หรือไง” แล้วผมก็ต้องหัวเราะขึ้นมา ผมไม่ใช่เด็กดื้อที่คนอื่นห้ามไม่ฟังแต่ก็มักจะเชื่อและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันดีแล้ว อย่างน้อยถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกเองจะได้ไม่ต้องโทษคนอื่นให้วุ่นวาย

126695005

เช้าวันต่อมาที่แสนจะวุ่นวายใน LA CADOLE  ผมได้เรียนชงกาแฟกับทำลาเต้อาร์ตแบบง่ายๆเพราะพี่จินสั่งให้โฮซอกสอนผมไว้ เผื่อในเวลาที่มีลูกค้าเข้าร้านมากๆหรือโฮซอกไม่ว่างผมอาจจะช่วยในส่วนนี้ได้

แก้วกาแฟบนโต๊ะออกมาเป็นลาเต้อาร์ตรูปหัวใจที่ดูบิดๆเบี้ยวๆ แต่ผมก็พอใจกับมันเหลือเกินในการทำครั้งแรก ส่วนคนสอนจำเป็นกลับเอาแต่บ่นไม่หยุดว่าผมไม่ทำตามที่เขาสอน มันถึงออกมาไม่สมบูรณ์แบบ ผมหยิบแก้วกาแฟที่ตัวเองทำขึ้นมาแล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ไปหลังร้านเพื่ออวดกาแฟถ้วยนี้

“รสชาติผ่านไหมครับ”

“ไม่เลวเลย แต่ยังไม่สวยเท่าไหร่” ความภาคภูมิใจพองฟูอยู่ในอกเมื่อได้รับคำชมจากการชงกาแฟแก้วแรกในชีวิต ผมไม่ใช่คอกาแฟเพราะไม่ชอบรสขมและไม่เคยคิดจะชงดื่มสักครั้ง ผมมองรอยยิ้มของพี่ซอกจินที่กำลังดื่มกาแฟแก้วแรกในชีวิตของผม แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดจะเอาไปให้เชฟดื่ม เพราะขืนชงไม่อร่อยก็เสียหน้าแย่ สู้เอาให้พี่ซอกจินทดลองดื่มดูก่อนดีกว่า

“ชงกาแฟเสร็จแล้วก็กลับไปทำงานได้แล้วนะ อู้งานกินแรงคนอื่นเขาไม่ดี” ผมค้อนให้พี่ชายตัวเอง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟตามปกติ กลิ่นซุปหัวหอมออยอบอวลอยู่ในครัวห้องเล็ก ผมมองถ้วยซุปที่มีขนมปังวางอยู่ข้างบนและโรยด้วยชีสเยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปยกมันตั้งใจจะเดินไปเสิร์ฟให้ลูกค้าที่สั่งซุปถ้วยนี้

“อ๊ะ” เพล้ง! ผมหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเพื่อจะเอาซุปไปเสิร์ฟจนไม่ทันระวังว่าอาจมีคนอยู่ด้านหลัง และเมื่อหันไปเจอโฮซอกที่แทบจะอยู่ติดกันเลยตกใจจนเผลอทำซุปหัวหอมหกรดมือตัวเอง ผมรู้สึกถึงความร้อนและความแสบที่ฝ่ามือสองข้าง ในขณะที่ถ้วยซุปตกแตกกระจายบนพื้นเรียบร้อย แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ที่สุดไม่ใช่อาการแสบร้อนที่มือสองข้างหรอก

“นี่นายจะสร้างแต่ปัญหาใช่มั้ย ไม่มีวันไหนที่จะไม่ก่อเรื่อง นายคิดว่าเชฟว่างมากหรอถึงจะได้มีเวลามาทำใหม่ทุกครั้งที่นายเสิร์ฟผิดโต๊ะ รับเมนูมาผิดหรือทำตกแตกแบบนี้ แล้วถ้าลูกค้าด่าที่ต้องรอนาน ใครจะต้องรับหน้าถ้าไม่ใช่ฉันกับเชฟ”

“…”

“นายไม่เคยรับผิดชอบอะไรได้เลยแม้แต่หน้าที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ ถามจริงตั้งใจมาทำงานหรือเปล่า ฉันไม่เคยเห็นประโยชน์อะไรเลยตั้งแต่นายมาอยู่นี่”

“คือ ฉันไม่ได้ตั้งใจ…”

“ตั้งใจซะบ้างก็ดี คำขอโทษที่ได้ยินจากปากนายมากพอๆกับคำทักทายที่ฉันพูดกับลูกค้า ถ้าพัฒนาตัวเองไม่ได้ก็ลาออกไปสิ อย่าอยู่เป็นตัวถ่วงคนอื่น นายน่ารำคาญมากรู้ตัวหรือเปล่า ที่เชฟไม่พูดคงเพราะเขาใจดีแค่นั้นแหล่ะ”

ผมไม่เคยคิดพิจารณาเลยว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นขนาดไหน เพราะเห็นว่าสุดท้ายแล้วเราก็สามารถจัดการให้มันผ่านไปได้ด้วยดี เลยลืมไปว่ากว่าจะผ่านไปได้ไม่ใช่ผมที่ต้องเดือดร้อนหรือเหน็ดเหนื่อย แต่เป็นอีกสองคนต่างหาก ผมรู้สึกผิด พอคิดได้แบบนี้แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เหมือนที่โฮซอกพูดว่าผมไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สามารถช่วยพวกเขาแก้ปัญหาได้ แม้แต่คำขอโทษเขาก็คงไม่อยากจะได้ยินอีก

“พอเถอะโฮซอกนายมาทำความสะอาดซุปที่หก แทฮยองนายก็ไปทำแผลที่มือให้เรียบร้อย ส่วนซุปเดี๋ยวฉันทำใหม่เอง” ผมไม่กล้าเงยหน้าไปสบดวงตาสีดำสนิท กลัวเหลือเกินว่าประกายตาสดใสที่ผมชอบมองจะเปลี่ยนไปเป็นความผิดหวังและเบื่อหน่ายแบบที่โฮซอกพูด เชฟเป็นคนใจดีผมรู้และเขาอาจจะใจดีจนผมดูไม่ออกว่าลึกๆแล้วเขากำลังรำคาญผมมากแค่ไหน

ผมเดินไปที่ห้องน้ำล้างคราบซุปที่เปื้อนมือและชุดพนักงานเสิร์ฟ ความแสบทั่วฝ่ามือเกิดขึ้นทันทีที่โดนน้ำ อีกไม่นานมันผิวหนังบางส่วนอาจพองเป็นตุ่มน้ำใสๆเพราะซุปร้อนมากเมื่อตอนที่ผมเผลอทำหก แต่ในเวลาเช่นนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจมากพอที่จะไปนั่งทำแผลแล้วดูสองคนวุ่นวายเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความสะเพร่าของผม

โฮซอกที่ดูหัวเสียตลอดเวลาที่เก็บกวาดเศษแก้วและเศษอาหารบนพื้น แล้วยังต้องเอาไม้ถูพื้นมาถูคราบเหนียวให้สะอาด ส่วนเชฟก็วุ่นวายกับการผัดหัวหอมใหม่แล้วต้องเคี่ยวกับน้ำสต๊อกอีกเป็นสิบนาทีก่อนจะเอาใส่ถ้วยวางด้วยขนมปังและโรยชีสเพื่อนำเข้าเตาอบ ถึงผมจะไม่ได้ตั้งใจสร้างปัญหาแต่สุดท้ายมันก็คือความผิดของผม เป็นความผิดที่ผมไม่สามารถรับผิดชอบและแก้ไขอะไรได้ ผมไม่มีหน้าแม้แต่จะเอ่ยปากเสนอความช่วยเหลือ เพราะคงไม่มีใครไว้ใจให้ผมทำอะไรอีก

บางทีโชคดีอาจจะยังเป็นของผมอยู่ที่ทำให้ทั้งโฮซอกและเชฟจัดการกับปัญหาทั้งหมดได้อีกครั้ง แต่บางทีปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคงเป็นที่ตัวผมหรือเปล่าที่ควรถูกกำจัดออกไป ไม่ควรอยู่เป็นตัวถ่วงคนอื่นอย่างที่โฮซอกบอก

“ทำไมยังไม่ไปทำแผลอีก” แค่ได้ยินเสียงอ่อนโยนของคนใจดีน้ำตาที่กลั้นไว้ก็เหมือนจะไหลออกมาดื้อๆ ผมยังคงก้มหน้านิ่งไม่ยอมเงยหน้าสบตาเขา คนเราจะมีความอดทนได้มากขนาดไหนกันที่จะมีน้ำใจกับคนที่ทำได้แค่เป็นตัวปัญหา

นิ้วเรียวสวยที่ผมชอบมองเวลาจับกระทะหรือจัดแต่งจานอาหารอย่างสวยหรูเอื้อมมาดึงผมแล้วลากให้เดินตามเขาไป ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นเมื่อในหัวเต็มไปด้วยคำขอโทษที่เพิ่งจะถูกตอกย้ำว่ามันไร้ค่า แล้วใจผมก็อ่อนยวบเมื่อเนื้อยาสีขาวใสถูกป้ายลงบนฝ่ามืออย่างแผ่วเบาทะนุถนอม

“แสบหรือเปล่า คุณควรจะไปหาหมอนะ” น้ำตาที่ผมพยายามจะกลั้นไว้ไหลลงมาทันที ถึงอยากจะพูดขอโทษออกไปพันครั้ง อยากจะบอกว่าไม่ตั้งใจพันครั้งแต่ทำได้แค่กัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพราะรู้ว่าในเวลานี้มันช่างไร้ความหมาย ผมรู้สึกว่าร่างกายตัวเองสั่นไปหมดตามความรู้สึกที่พังทลายไม่เหลือความมั่นใจแม้แต่น้อย

“อย่าร้องไห้” ไม่เพียงน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ปลอบประโลมผม แม้แต่ฝ่ามือหนาก็คอยเช็ดน้ำตาที่รินไหลและอ้อมกอดอุ่นๆก็คอยประคับประคองร่างกายและความรู้สึกของผมเอาไว้อย่างอ่อนโยน เพราะเขาใจดีเหลือเกิน ใจดีจนผมกลัวว่าตัวเองจะทำให้เขารำคาญและเบื่อหน่าย ทั้งที่ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้แต่ในตอนนี้กลับสลัดความกลัวนี้ออกไปไม่ได้

“มันไม่เป็นไรหรอก” ผมพยักหน้าไม่หยุดกับแผ่นอกของเขา ผมเชื่อใจเขาว่ามันจะไม่เป็นไร ทั้งที่ความผิดพลาดได้ผ่านไปหมดแล้วแต่กลับทิ้งตะกอนเล็กๆให้ติดอยู่ในความรู้สึกของผม

“ผม..ไม่ได้ตั้งใจ” ผมกลัวเหลือเกินว่าประโยคที่ออกมาจากเขาอาจจะไม่ต่างจากโฮซอก ได้แต่ภาวนาให้คนใจดียังคงใจดีเหมือนเดิม อย่าเพิ่งเกลียดกัน อย่าเพิ่งทำลายความอบอุ่นที่ประคองหัวใจของผมอยู่

“ผมรู้”

หากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือบาดแผลใหญ่ที่ทิ้งความเจ็บปวดไว้ เขาก็ไม่ต่างจากเนื้อยาที่รักษาอาการบาดเจ็บให้ทุเลาขึ้น ผมสูดหายใจลึกๆ กลั้นน้ำตาตัวเองให้หยุดไหล บางทีผมอาจจะต้องคิดหาคำตอบให้ตัวเองอีกครั้งว่ายังควรจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือเปล่า

 

 OS : 3 Minutes 3 Months and 3 Years (KookV)

#วีคือคำตอบ

 

ในวันนี้ที่ผมไม่ได้ตื๊อขอให้เขาไปส่งแต่ฝ่ามือหนากลับเป็นฝ่ายลากผมให้เดินตามไปขึ้นรถของเขา วิวนอกหน้าต่างผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาหยุดในที่ที่ผมเพิ่งมีโอกาสมาเยือนเป็นครั้งที่สอง ผมไม่คิดว่าเขาจะพาผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในคอนโดของเขาแล้ว

เมนูรีซอตโต้เห็ดพอร์ชินี่จากฝีมือของเขาอร่อยไม่ต่างจากพาสต้าเมื่อวาน กลิ่นของครีม ไวน์ขาว น้ำซอส เนยชีสและหัวหอมเข้ากันได้ดีกับข้าวและเห็ดพอร์ชินี่ที่ผัดรวมกัน เพียงแต่สิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมคงเป็นบรรยากาศที่ไม่สดใสเหมือนเก่า

“อร่อยมั้ย” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่อง ความรู้สึกอุ่นวาบในใจเพราะสายตาที่มองมายังคงเต็มไปด้วยความใจดีเหมือนเดิม

“ครับ ก็เชฟเป็นเชฟ ทำอะไรก็อร่อย” ไม่ว่าจะอาหารจานไหน เครื่องดื่มแก้วไหนที่ถูกปรุงถูกชงขึ้นจากฝีมือของเขา ผมก็เห็นทุกคนทานอย่างพึงพอใจหมดและเป็นเหตุผลให้ลูกค้าที่เคยมาที่ร้านแวะเวียนกลับมาอีกครั้ง

“แล้วคุณรู้หรือเปล่า ว่าเชฟต่างจากคนทำอาหารอยู่หน้าเตายังไง”

“เชฟก็คือคนที่ทำอาหารอยู่หน้าเตา ไม่เห็นจะต่างกัน” ทั้งที่ผมมั่นใจแบบนั้น แต่แววตาของเขากลับบอกว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปมันไม่ถูก

“คนที่ทำอาหารอยู่หน้าเตาก็คือพ่อครัว แม่ครัว รับผิดชอบอาหารที่ตัวเองทำ แต่เชฟต้องรับผิดชอบมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่อาหารทุกจานที่ออกไปเสิร์ฟให้ลูกค้าและความสะอาด แต่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างในห้องครัว รวมถึงพนักงานทุกคนที่อยู่ภายใต้การสั่งงานของเราด้วย ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เชฟต้องรู้จักแก้ปัญหาและไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบนั้นได้เลย”

“รวมทั้งปัญหาทุกเรื่องที่ผมก่อใช่มั้ย” ปัญหาของผมที่เขาต้องรับผิดชอบเสมอ โดยที่ผมทำได้แค่ยืนมอง

“ไม่เคยมีใครไม่สร้างปัญหา ผมเป็นเชฟ ผมต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดของลูกน้อง ในขณะเดียวกันพวกคุณที่เป็นลูกน้องก็ต้องคอยสนับสนุนทุกการทำงานและการสั่งงานของผม พวกเราไม่ต่างจากทีมที่ต้องร่วมมือกัน ต้องช่วยเหลือกัน ถ้าใครไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดี ก็อาจทำคนอื่นลำบากไปด้วย”

“เหมือนผมที่ทำเป็นแค่ก่อเรื่อง ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยอย่างที่โฮซอกบอก” ผมรู้ดีว่าถ้าเป็นคนอื่นมาอยู่ในทีมแทนผม เขาก็คงช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ ไม่ใช่ส่วนเกินที่เป็นได้แค่ตัวถ่วง

“สิ่งที่คุณขาดไม่ใช่ความสามารถ แต่เป็นความรอบคอบและระมัดระวัง คุณไม่เคยทวนรายการอาหารเวลาลูกค้าสั่ง ไม่ได้ตรวจหมายเลขโต๊ะให้ดีเวลาไปเสิร์ฟ ไม่เคยถามลูกค้าว่าเขาได้รับอาหารที่สั่งครบหรือเปล่า มันไม่ใช่เรื่องของความสามารถ แต่มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น และผมมั่นใจว่าหลังจากนี้คุณจะทำมันได้ดีแน่ๆ”

“แต่โฮซอก…”

“ที่โฮซอกพูดแบบนั้นเพราะเขาเป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก และผมขอสั่งให้คุณพิสูจน์ให้เขาเห็น ว่าคุณไม่ใช่คนไม่มีประโยชน์”

“เชฟ”

“อย่าคิดจะถอดใจคิมแทฮยอง เพราะผมจะไม่ยอมให้คุณทำแบบนั้นแน่” ถึงเขาจะพูดว่าสั่งแต่ในความรู้สึกของผมราวกับเป็นคำขอร้องให้ผมสู้ต่ออีกสักครั้ง ใจดีอีกแล้วสินะ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เขาก็มีแต่ความใจดีที่มอบให้เสมอ แล้วก็เป็นผมเองที่ไม่อาจเมินเฉยกับความใจดีของเขาได้ต้องยอมปล่อยให้เขามามีอิทธิพลกับทั้งตัวและใจของผมมากขึ้นเรื่อยๆ

“ทานข้าวให้หมดเถอะ คืนนี้ดึกมากแล้ว ผมคงเหนื่อยเกินกว่าจะขับรถกลับไปส่งคุณ นอนที่นี่คงไม่มีปัญหาใช่มั้ย”

“อ่า ครับ” ผมแค่แปลกใจเพราะวันนี้ไม่ได้ดึกไปกว่าเมื่อวานที่เขาขับรถไปส่งผมกลับคอนโดพี่จิน แต่บางทีเขาอาจเหนื่อยกับการตามแก้ปัญหาของผมวันนี้

“คุณใส่เสื้อผ้าของผมละกัน ส่วนเสื้อผ้าของคุณถอดมาให้ผมเอาไปปั่นให้ จะได้แห้งทันใส่พรุ่งนี้” ผมยอมทำตามที่เขาพูด หลังจากทานรีซอตโต้หมดก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าของเขาแล้วเอาชุดที่ตัวเองสวมมาส่งให้เขาไปปั่นให้ ผมมองตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อนอนตัวโคร่งใหญ่ที่พอใส่เกือบคอกว้างจนเกือบจะหลุดโชว์ลาดไหล่ตัวเอง  ไหนจะกางเกงผ้านิ่มขายาวที่ตัวใหญ่และดูลุ่มล่ามจนเดินไม่สะดวก ดีหน่อยที่เป็นเอวยางยืดเลยพอจะใส่ได้เพราะถ้าเป็นเอวตะขอป่านนี้คงหลุดลงไปกองที่พื้นแล้ว

ผมเดินออกจากห้องน้ำโดยที่ใช้มือสองข้างยกชายกางเกงนอนที่ยาวลากพื้นขึ้น ตั้งใจว่าจะไปนั่งดีๆเพื่อพับขากางเกงแต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิดก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน

“อ๊ะ” น่าฆ่าให้ตายจริงผมสะดุดขากางเกงนอนอีกแล้ว ผมหลับตาปี๋เพราะมั่นใจว่าพื้นขัดมันของห้องต้องแข็งแล้วมันคงเจ็บเวลาที่ล้มลงไปกระแทกพื้น

“โอ๊ย” ความเจ็บที่เกิดจริงๆกลับอยู่ที่หน้าผากที่โขกดังโป๊ก แต่ไม่ใช่กับพื้นห้อง กับหน้าผากของเจ้าของห้องต่างหาก ผมลืมตาขึ้นมาในอ้อมแขนของเขาที่เข้ามารับ สบตากับดวงตาสีดำสนิทที่ตอนนี้ก็ยังเป็นประกายสว่างจ้าไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้เจอกัน น่าเสียดายนี่ไม่ใช่ละครที่จะสบตากันปิ๊งๆหรือปากจุ๊บโดนกันให้ขัดเขิน มีแต่หน้าผากที่แดงเป็นปื้นของเราสองคนเท่านั้น

“เชฟ ขอโทษ ทำให้เชฟเจ็บตัวอีกแล้ว” ขัดใจนะที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เรื่องแม้แต่เดินยังสะดุดขากางเกงจนต้องทำให้คนอื่นเจ็บตัวเลย รู้สึกเหมือนว่าถ้าเชฟคือความใจดีที่ผมหลงรัก ผมก็คงเป็นตัวโชคร้ายในชีวิตของเขา

“ขอโทษทำไม ผมเป็นคนเข้ามาช่วยคุณเอง คุณไม่ได้ขอร้องสักหน่อย” เขาประคองผมให้ยืนขึ้นแล้วก้มลงไปพับขากางเกงนอนให้ คำขอโทษที่ผมคิดว่าตัวเองพูดบ่อยแต่ความจริงมีอีกประโยคที่พูดบ่อยยิ่งกว่า

“ใจดีจังเลยน้า” ครั้งนี้สีหน้าของเขาไม่ได้นิ่งเฉยแต่มีเป็นรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นที่มุมปาก เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาและมันเจิดจ้ายิ่งกว่าประกายสดใสในดวงตาสีดำสนิทอีก

“เหมือนผมจะต้องทายาให้คุณเพิ่มอีกแล้ว ที่หน้าผากด้วย” มีความอบอุ่นเกิดขึ้นที่ฝ่ามือที่โดนซุปหัวหอมลวกและหน้าผากที่ดูเหมือนจะนูนขึ้นนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยานวดหรือนิ้วเรียวที่ค่อยๆนวดให้เนื้อยาซึมลงไปในผิวหนังกันแน่

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นผมที่ต้องเป็นฝ่ายทายาให้เขา เชื่อเถอะว่าหัวผมแข็งกว่าเชฟมากเพราะหน้าผากเขาดูบวมกว่าผมเสียอีก ผมป้ายยาสีขาวลงบนตำแหน่งที่นูนนวดให้เนื้อยาซึมลงไปจนหมด ในขณะที่รอบตัวเราตอนนี้มีแต่กลิ่นยานวดลอยฟุ้งเต็มไปหมด ผมละมือออกมาเมื่อทายาให้เขาเสร็จเพื่อปิดฝาหลอดยาและเก็บมันลงกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น

“เชฟ”

“ครับ” ผมมองสบตาสีดำสนิทที่จ้องมาที่ผม ฟังเสียงเขาที่ตอบรับคำเรียกขาน ผมเอื้อมสองมือไปรั้งรอบคอของเขาไว้แล้วยกตัวเองขึ้นจนใบหน้าตัวเองอยู่สูงกว่าหน้าของเขา ระยะห่างของเราน้อยลงเรื่อยๆ ก่อนที่ผมจะกดริมฝีปากลงบนรอยนูนแดงแล้วค่อยถอยออกมา

“ขอบคุณนะครับที่ใจดีกับผมมากขนาดนี้” ไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่าที่ภายในอกมันเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งเหมือนจะระเบิดออกมาข้างนอก

“เอ่อ นอนกันดีกว่า คุณนอนบนเตียงเถอะเดี๋ยวผมไปนอนที่โซฟาเอง” ถ้าเป็นในละครทีวีคนดูคงกรี๊ดกับความเป็นสุภาพบุรุษของเชฟแต่ผมแอบคิดว่าเหตุผลที่เขาทำแบบนี้เป็นเพราะกลัวผมหรือเปล่า

“ถ้าเจ้าของห้องนอนโซฟาผมก็ต้องไปนอนบนพื้นแล้วล่ะ นอนบนเตียงด้วยกันไม่ได้หรอ ผมไม่ทำอะไรเชฟแน่นอน สัญญาเลย”

“ผมก็ไม่ได้กลัวว่าคุณจะทำอะไรหนิ เฮ้อ เอาเถอะ นอนก็นอนครับ นอนด้วยกันนี่แหล่ะ” ผมกลั้นยิ้มไม่ได้อีกแล้วกับท่าทีจนมุมจนไม่รู้จะทำยังไงดีของเขา แล้วพอถึงเวลานอนจริงๆผมก็เอาแต่จ้องหน้าเขาที่นอนอยู่ข้างๆ น่าเสียดายที่กลิ่นยานวดแรงจนผมไม่สามารถได้กลิ่นกายของเขาได้ชัดเจนแล้วผมก็ไม่กล้าพอที่จะเขยิบเข้าไปใกล้มากกว่านี้เพราะกลัวว่าเสียงหัวใจตัวเองจะไปทำให้เขาตื่นขึ้นมา

 

 

 

ผมมาทำงานที่ร้านพร้อมเชฟในตอนเช้าหลังจากที่เมื่อคืนไปนอนค้างที่ห้องของเขา ทันทีที่เดินเข้าไปในร้านก็พบโฮซอกที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะเพื่อเตรียมเปิดร้านในอีกสิบกว่านาทีที่จะถึง ส่วนห้องทำงานของพี่ซอกจินก็เปิดไฟอยู่แสดงว่าเจ้าตัวคงจะมาถึงแล้ว

“แทฮยองมาพบพี่หน่อย” พี่จินเปิดประตูห้องตัวเองออกมาตะโกนเรียก ผมเลยรีบเอากระเป๋าของตัวเองไปเก็บไว้ในล็อคเกอร์ของพนักงานแล้วจึงเดินไปพบเขาที่ห้อง

“เมื่อคืนไม่กลับ?”

“คือ ค้างที่ห้องเชฟน่ะ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะพี่จิน” ผมรีบอธิบายเพราะกลัวพี่ชายเข้าใจผิด เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วทำให้เชฟเดือดร้อนไปด้วย

“หรอ พี่ก็ว่างั้นแหล่ะ จองกุกคงไม่ตกหลุมพรางนายง่ายๆ งั้นก็ไปทำงานต่อเถอะ”

“นี่พี่ไม่ได้เรียกมาเพราะห่วง?”

“หือ ห่วงสิ ห่วงจองกุก” โอเคผมยอมแพ้ ดูเหมือนสามปีที่ไปเรียนที่อังกฤษ ตำแหน่งน้องชายสุดที่รักคงจะกลายไปเป็นของเชฟเรียบร้อยแล้วล่ะ

 

ผมใช้เวลาหลังจากนั้นในการเรียนชงเครื่องดื่มสูตรอื่นๆโดยมีโฮซอกเป็นคนสอน เขายังคงมีท่าทางโมโหผมอยู่จากเรื่องเมื่อวานนี้ แต่ผมก็เข้าใจว่าที่ผ่านมาผมก่อเรื่องไว้มาก หากจะเปลี่ยนความคิดของเขาอาจต้องใช้เวลาและใช้ความตั้งใจในการพิสูจน์ ผมเริ่มต้นกับการชงโกโก้ที่ผมชอบดื่ม แต่พิเศษไปจากปกติเพราะใส่โฟมนมไว้ข้างบนและใช้แท่งเล็กวาดลวดลายลงไป มันง่ายกว่าการเทนมลงในถ้วยแล้วทำให้เกิดเป็นรูปร่างแบบที่เรียนเมื่อวานซะอีก

“อ่ะ ชิม” และครั้งนี้คนที่ผมเลือกให้ชิมก็คือครูจำเป็นของตัวเอง โฮซอกเบ้ปากนิดหน่อยแต่เขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องชิมว่าโกโก้ที่ผมชงรสชาติโอเคหรือเปล่า

“ก็…พอใช้ได้อ่ะ”

126695005

 

“อีกแล้วหรอ” โฮซอกรับแก้วกาแฟไปจากผม ทุกๆวันผมจะต้องชงกาแฟหรือไม่ก็โกโก้ให้เขาวันละแก้วและเป็นแบบนี้มาตลอดสองอาทิตย์

“ฉันจะชงทุกวันจนกว่านายจะบอกว่าฉันชงอร่อย”

“โอเค ฉันยอมรับแล้วว่านายชงกาแฟกับโกโก้อร่อย เพราะงั้นพรุ่งนี้ไม่ต้องชงแล้วนะ” พอได้ยินประโยคนั้นผมก็ยิ้มออกมาทันที แม้แต่พี่ซอกจินกับเชฟก็แอบยิ้มที่มุมปาก สองอาทิตย์ที่ผ่านมาทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ผมตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองตามที่เชฟบอก จนไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นๆ แม้แต่โฮซอกก็ไม่ได้มีท่าทีหัวเสียตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน

วันต่อมาผมยังคงชงกาแฟแก้วใหม่ ครั้งนี้ผมใส่โฟมนมไว้ข้างบนแล้ววาดเป็นตัวการ์ตูนผู้ชายที่ใส่หมวกคลุมผมทรงสูง ถึงมันไม่ได้ออกมาสวยนักแต่ก็ดูตลกดีและแน่นอนว่าเจ้าของกาแฟแก้วนี้ไม่ใช่โฮซอกเหมือนเคย ผมเดินถือแก้วกาแฟที่ตั้งใจทำไปหาคนที่อยู่ในครัวที่กำลังหั่นผักเตรียมทำสลัดที่ลูกค้าสั่ง ในขณะที่ผมตื่นเต้นเหลือเกินว่าเขาจะแสดงออกยังไง แต่กลายเป็นเมื่อเขารับแก้วไปแล้วก็รีบยกขึ้นดื่มทันทีโดยไม่ได้ดูรูปการ์ตูนที่ผมวาด

“เชฟ!!!!” ผมร้องอย่างผิดหวังแล้วเอากำปั้นทุบแขนเขาไปหนึ่งรอบ

“ผมไม่ได้จะให้ชิม จะให้ดูลายที่ผมวาดต่างหาก” เขาคงเข้าใจว่าผมชงกาแฟมาให้เขาชิม พอได้แก้วไปถึงยกดื่มจนลายที่วาดไว้หายไปหมด

“ขอโทษทีผมไม่รู้ คุณอย่าโกรธเลย”

“ง้อสิ ที่บ้านผมหอมแก้มกันเพื่อง้อนะ” เป็นอีกครั้งที่ผมทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงโดยการยื่นแก้มซ้ายของตัวเองออกไปแล้วใช้นิ้วชี้แก้มตัวเอง

“โอ๊ย” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลายเป็นนิ้วโป้งและนิ้วกลางที่ดีดลงบนหน้าผากพร้อมสีหน้าดุๆ ก็แค่ล้อเล่นนิดเดียวแต่ทำไมต้องลงไม้ลงมือด้วย

“ขออย่างอื่นครับ”

“งั้นคืนนี้ไปดูหนังกันนะเชฟ”

 

สุดท้ายผมก็ลากเขาเข้ามาในโรงหนังจนได้และหนังที่ผมเลือกก็ไม่พ้นหนังผีที่ปกติไม่ชอบสักเท่าไหร่ ยอมรับเลยว่าผมกลัวผีมาก แต่ก็ถ้ามีคนนั่งอยู่ข้างๆ พอตกใจก็อาจเผลอไปซบเขาก็ได้

“เฮือกก!!” ผมแทบจะสิ้นสติตอนที่ผีโผล่มาบนหน้าจอแบบไม่บอกกล่าว แล้วพอตั้งใจจะไปเกาะแขนคนข้างๆก็พบว่าเชฟหลับไปแล้ว ผมเข้าใจนะว่าโรงหนังที่มืดๆเย็นๆมันเหมาะแก่การนอนหลับ แต่ด้วยซาวนด์ที่ดังขนาดนี้กับหนังผีที่เรียกความตื่นเต้นได้ตลอดทั้งเรื่อง นี่เชฟไปอดหลับอดนอนมาจากไหนกันเนี่ย

“ขอโทษด้วยเมื่อคืนผมมัวแต่คิดเมนูใหม่ของร้านเลยนอนดึกไปหน่อย” ถึงเชฟจะหลับไปตั้งแต่ต้นเรื่องแต่ก็ยังตื่นมาทัน end credit ของหนังอยู่ดี พวกเราเดินออกจากโรงหนังมาด้วยกันและเมื่อผมดูเวลาที่มือถือก็พบว่ามันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว

“วันหลังเชฟง่วงนอนก็น่าจะบอกสิ ดีนะที่ตอนขับรถมาไม่พาหลับในแหกโค้งตายกันก่อน ถึงได้ตายพร้อมกันมันจะดีแต่ถ้าไม่ตายเลยก็น่าจะดีกว่ามั้ย เดี๋ยวขากลับผมขับไปส่งเชฟเองดีกว่า ไม่ไว้ใจอ่ะ” ผมแย่งกุญแจรถมาจากเขาแล้วขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับ ที่จริงก็ไม่ได้โกรธอะไรมากเพราะรู้อยู่แล้วว่าที่เขาทำแบบนี้เพราะความใจดีเป็นเหตุ

“ถ้าง่วงเชฟหลับไปเลยก็ได้ ถึงแล้วเดี๋ยวผมปลุก แต่คราวหลังไม่เอาแบบนี้นะเชฟ มันอันตร….”

จุ๊บ…ผมปิดปากสนิทเลยเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่ข้างแก้ม

“ขอโทษ ง้อแล้ว อย่าโกรธเลยครับ” ทั้งที่ปกติมีเพียงแค่ผมที่เป็นฝ่ายตื๊อ แต่วันนี้เขาที่ไม่ค่อยแสดงออกอะไรกลับเป็นฝ่ายง้อแทน มันหมายความว่าเราเข้าใกล้กันมากขึ้นอีกนิดแล้วหรือเปล่า

 

126695005

 

“เชฟ วันนี้อยากกินแนมบีกุกซู ทำให้กินหน่อยน้า”

“งั้นเดี๋ยวแวะซื้อของที่ซุปเปอร์ก่อนเข้าห้องนะครับ” เรายืนคุยกันท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของพี่ซอกจินกับโฮซอก ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเชฟมันอาจไม่ได้มีชื่อเรียกที่ชัดเจน แต่ด้วยระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาทำให้ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนที่ใกล้ชิดเขามากที่สุด เรามักใช้เวลาหลังเลิกงานที่คอนโดห้องเขา ทานอาหารเย็นด้วยกัน นั่งคุยกันหรือแม้แต่ดูละครตอนค่ำบนโซฟาในห้องเขา

“คิดยังไงอยากกินแนมบีกุกซูครับ” เขาถามถึงเหตุผลที่ผมเลือกมื้อเย็นวันนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวใส่ไข่ เห็ดและโอเด้ง

“กินตามโทมินจุน เปิดทีวีนะเชฟ โทมินจุนจะมาแล้ว” ในขณะที่ผมเดินไปเปิดทีวีเพื่อรอดูละครเรื่องโปรด เขาก็ยกชามก๋วยเตี๋ยวที่ปรุงเสร็จมาที่โซฟาเพื่อที่เราจะทานตอนดูละครด้วยกัน

“เบื่อมั้ยครับที่พวกเราไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากกลับมานั่งทานข้าวกับดูละครที่ห้อง” ผมหันไปมองคนถาม คงเพราะพวกเราต้องทำงานทุกวัน กว่าจะเลิกงานก็ดึกเลยไม่สามารถไปเที่ยวตอนกลางวันได้เหมือนคนอื่น

“ไม่เบื่อหรอกแค่เสียดายนิดหน่อย โอ๊ะ นัมซานทาวเวอร์” ผมชี้ไปที่ภาพในทีวีที่ซอนซงอีกับโทมินจุนพระนางในละครกำลังคล้องกุญแจคู่รักอยู่ที่นั่น

“ถ้าเป็นนัมซานทาวเวอร์ก็พอไหวนะ ไปตอนกลางคืนได้ อยากไปหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองแววตาทอประกายเจิดจ้า เจ้าของคำชวนที่ไม่ต่างจากขนมหวานซึ่งใช้หลอกล่อเด็กอย่างผมให้ดีใจจนเนื้อเต้น

“เชฟจะพาไปจริงๆหรอ พูดแล้วนะ”

 

แล้ววันที่ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อก็มาถึง กว่าเราจะมาถึงนัมซานทาวเวอร์ก็สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ผมค้นของในกระเป๋าก่อนจะดึงเอาสิ่งที่ต้องการออกมา เชฟมองด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งที่ผมถืออยู่เพราะมันคือแม่กุญแจสีชมพูกับปากกาสีดำอีกแท่ง

“ถ้ามาแล้วไม่คล้องกุญแจก็เหมือนมาไม่ถึงนี่” เขาหัวเราะให้กับคำพูดของผมที่ไม่เคยได้ยินคนเกาหลีที่ไหนพูดมาก่อน ผมเขียนชื่อตัวเองลงไปบนกุญแจแล้วยื่นส่งต่อให้เขา เพราะพกกุญแจมาแค่อันเดียวเลยต้องเขียนชื่อลงไปด้วยกัน

ผมมองชื่อของตัวเองที่อยู่ด้านบนและชื่อของเชฟที่อยู่ด้านล่าง ตรงกลางระหว่างชื่อของเรามีช่องว่างมากพอให้ผมเติมรูปหัวใจดวงเล็กลงไป และผมก็หวังเหลือเกินว่าหัวใจดวงนี้จะช่วยเติมเต็มความเชื่อที่ว่าจะทำให้ความรักยืนยาวและไม่พรากจากกันตลอดไป หลังจากที่คล้องกุญแจเสร็จผมก็เอาลูกกุญแจไปหย่อนลงตู้ เป็นอันจบภารกิจแรกของพวกเราลงอย่างสวยงาม

127424667.jpg

 

เราขึ้นลิฟต์ไปชมวิวด้านบน ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมืดสนิทจนเห็นแสงดาวระยิบระยับรวมถึงแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนด้านล่างดูสว่างไสว ผมเกาะกระจกใสมองวิวโดยรอบของกรุงโซลที่ไม่ได้มีโอกาสเห็นมานานถึงสามปีตั้งแต่ย้ายไปเรียนที่อังกฤษ จนรู้สึกถึงความอุ่นของคนที่มายืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง และโอบแขนสองข้างผ่านเอวของผมไปยันฝ่ามือไว้กับกระจกใสด้านหน้า

“ถ้ามาตอนกลางวันก็จะสวยไปอีกแบบ ไว้ถ้ามีโอกาสเราค่อยมากันใหม่นะ” ผมเอนตัวพิงเข้ากับอกคนพูดที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง รับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่สั่นสะเทือนมาบนแผ่นหลังของตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช้สองมือโอบรอบคอคนสูงกว่า

“เชฟสัญญาแล้วนะว่าเราจะมากันใหม่” ฝ่ามือหนาที่เคยยันกระจกเปลี่ยนมาโอบรอบเอวผมไว้หลวมๆ ผมมองประกายในดวงตาสีดำสนิทซึ่งเจิดจ้าไม่ต่างจากดวงดาวที่อยู่นอกกระจกทางด้านหลัง เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าเราเข้าใกล้กันมากกว่าครั้งก่อนๆ ทั้งในแง่ของความรู้สึก ร่างกาย รวมถึงริมฝีปากที่ระยะห่างเริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

วันต่อมาพวกเรามาทำงานพร้อมกันเพราะใช้เวลาไปที่นัมซานทาวเวอร์จนดึกเลยต้องนอนค้างที่คอนโดของเชฟเพราะผมเกรงใจถ้าจะให้เขาอ้อมรถไปส่งผมที่คอนโดพี่จินอีก ทันทีที่ผมเดินไปเก็บของที่ล็อกเกอร์ตัวเองในตอนเช้าแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลซึ่งสกรีนลายโลโก้ของร้านขึ้นมาใส่ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นผ้ากั้นเปื้อนสีดำอีกผืน ผมหยิบผ้าผืนนั้นมาซ่อนไว้ด้านหลัง เฝ้ารอเวลาให้เจ้าของมันเดินเข้ามาค้นหา

ผมมองเชฟที่หาผ้ากันเปื้อนตัวเองไม่เจอ ยกยิ้มสี่เหลี่ยมอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งเขาได้สำเร็จและหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อเขามองมาด้วยสายตาจับผิด ผมออกตัววิ่งเมื่อมั่นใจว่าเขารู้แล้วว่าผมซ่อนผ้ากันเปื้อนของเขาไว้ และแน่นอนว่าเขาก็วิ่งตามมาในระยะประชิด

ผมวิ่งมาถึงประตูที่กั้นระหว่างห้องครัวและโต๊ะอาหารด้านนอก เอื้อมมือไปปิดประตูไม้บานใหญ่ได้ทันก่อนที่เขาจะวิ่งมาถึง ด้านบนของประตูมีตรงกลางที่เป็นบานกระจกใสทำให้สามารถมองเห็นภายในห้องครัวได้ พวกเราที่ถึงจะยืนอยู่กันคนละฝั่งแต่ก็สามารถเห็นหน้ากันได้ชัดเจน

ผมส่งยิ้มสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวให้เขา ยื่นแก้มไปใกล้กระจกที่สุดแล้วใช้นิ้วชี้แก้มตัวเองเหมือนที่เคยทำครั้งนึงก่อนหน้านี้ ผมคิดว่าการหอมแก้มผ่านกระจกคงไม่ทำให้ตื่นเต้นเท่าครั้งก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้หัวใจผมเต้นถี่รัวกว่าดิม

เขาเป่าลมหายใจลงบนกระจกใสจนเป็นฝ้า จดปลายนิ้วชี้แล้ววาดเป็นสัญลักษณ์ที่ผมรู้จักดี สัญลักษณ์ที่เต้นอยู่ในอกข้างซ้ายของเราสองคน ทั้งที่ผมมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเองและมีความสุขกับช่วงเวลานี้ แต่ผมกลับลืมบางอย่างไป ลืมความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น

127424643.jpg

 

“รับสมัครพนักงานเสิร์ฟคนใหม่หรอครับ” ทุกคนหันไปมองแผ่นกระดาษสีขาวที่พี่จินแปะลงที่หน้าร้านด้วยความงุนงง

“ก็อีก 2 อาทิตย์แทฮยองจะออกแล้วพี่ก็ต้องหาคนใหม่สิ” สองสายตาจ้องมองมาที่ผม ทั้งสายตาสงสัยของโฮซอกและสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของเชฟ

“เอ่อ คือใช่ ฉันต้องกลับไปเรียนน่ะ” เพราะผมมัวแต่มีความสุขกับเวลาสองเดือนครึ่ง จนลืมไปว่าอีกแค่สองอาทิตย์ก็จะครบสามเดือนและผมต้องกลับไปใช้ชีวิตนักศึกษาที่อังกฤษอีกครั้ง

“ต้องลาออกเลยหรอ มหาลัยนายไม่ให้ทำงานพิเศษหรือไง หรือนายเรียนอยู่ที่จังหวัดอื่น” คำถามของโฮซอกเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากตอบ แน่นอนว่าทั้งเขาและเชฟไม่รู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน ไม่รู้ว่าผมเป็นน้องชายพี่จิน ไม่รู้ว่าผมแค่มาทำงานที่นี่ในวันหยุดฤดูหนาว

“เอ่ออ คือ ฉัน…ต้องกลับไปเรียนที่อังกฤษ”

“อังกฤษ!!!!” กลายเป็นเพียงโฮซอกที่ดูตกใจ แต่อีกคนกลับนิ่งจนผมเดาอารมณ์ไม่ออก และไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

“เดี๋ยวเชฟ คุยกันก่อนสิ” ผมคว้าแขนเขาเอาไว้เมื่อเขากำลังจะหันเดินหนี ทั้งวันเขาเอาแต่นิ่งเงียบจนผมอึดอัด โชคดีที่ตอนนี้ลูกค้าในร้านมีไม่มาก แล้วอาหารที่สั่งมาก็ถูกปรุงเสร็จหมดแล้วโดยมีโฮซอกที่ช่วยนำออกไปเสิร์ฟ

“เชฟจะไม่พูดอะไรหน่อยหรอ”

“แล้วผมควรจะพูดอะไรล่ะ” ทั้งที่ควรจะตอบคำถาม แต่เขากลับเป็นฝ่ายย้อนกลับมาถามผม

“จะรั้งผมไว้ หรืออะไรก็ได้น่ะ” อะไรก็ได้ ขอแค่เขาพูดมันออกมา

“จำเป็นต้องรั้งด้วยหรอครับ” ผมควรจะตอบคำถามนี้ว่ายังไงดีนะ เขาใช้คำว่าจำเป็นหรอ ในเวลาที่ผมกำลังจะจากไป แต่เขาไม่มีอะไรที่อยากจะพูดกับผมเลยแม้แต่คำเดียว

“ผมไม่จำเป็นกับเชฟเลยหรอ ผมจะอยู่หรือไปมันไม่สำคัญเลยหรอ” ช่วงเวลาที่ผ่านมาถึงจะไม่มีสถานะที่ชัดเจน แต่ผมเข้าใจว่าความรู้สึกของเราตรงกัน เพียงแต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเรื่องทั้งหมดผมคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า

“เชฟชอบผมบ้างมั้ย หรือแค่ใจดีเหมือนที่ทำกับคนอื่น” ผมเคยคิดว่าระหว่างเรามันคือความรัก แต่ความจริงเขาไม่เคยพูดอะไรออกมา ไม่ต่างจากรูปหัวใจที่เขาวาดบนกระจก มันเลือนหายไปในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีแต่กลับซึมลึกลงไปในความรู้สึกของผม และมีเพียงผมเท่านั้นที่คิดจริงจัง ทั้งที่สุดท้ายระหว่างเรามันไม่เคยมีอะไรเลย

เข็มนาฬิกาที่ผ่านไปทีละวินาที จนกลายเป็นนาที และกลายเป็นชั่วโมงไม่ทำให้ผมได้รับคำตอบอะไรนอกจากความเงียบที่ยืนยันถึงความว่างเปล่าระหว่างเราทั้งคู่ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังคงรอ รอว่าวันต่อไปที่เหลือเขาอาจจะพูดอะไรออกมาบ้าง

 

ในขณะที่คนที่ผมรอให้พูดเขาไม่ยอมพูด แต่คนที่ผมไม่ได้อยากให้พูด กลับพูดอะไรมากมายที่ไม่เข้าหู

“เรียนอังกฤษแสดงว่าฐานะทางบ้านต้องดีมากๆ แต่กลับมาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟเนี่ยนะ”

“…”

“หรือว่าตอนแรกที่ทำงานไม่เป็นเพราะนายเป็นคุณหนูไม่เคยทำงานแบบนี้หรอ” บางทีคงไม่เคยมีโครบอกโฮซอกหรือเปล่าว่าอะไรที่เขาควรพูดหรือไม่ควรพูดกันแน่

“ฉันเรียนที่อังกฤษแล้วไงหรอ มาทำงานเสิร์ฟแล้วไงหรอ งานเด็กเสิร์ฟมันไม่ดีหรือไม่มีเกียรติตรงไหน หรือถ้ามันไม่ดีจริงทำไมนายยังทำอยู่ล่ะ ทำไมไม่ไปทำอย่างอื่น”

“…”

“แล้วการที่บ้านฉันรวยมันเป็นยังไง เงินก็เงินพ่อแม่ไม่ใช่เงินฉันสักหน่อย ถ้าฉันอยากจะมาทำงานเสิร์ฟแล้วมันลำบากนายตรงไหนหรอ”

“…”

“หรือบางทีคงลำบากนายตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาที่นี่แล้วมั้ง นายไม่ชอบฉันหนิ แม้แต่ตอนนี้ที่ฉันตั้งใจทำงานทุกอย่างแล้วแต่นายก็ไม่เคยมองฉันในแง่ดีขึ้นเลย” ผมยอมรับเลยว่ามันเป็นวันที่แย่ที่สุดตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ที่นี่ เพราะในวันที่ผมทำผิดพลาดจนโดนโฮซอกตำหนิผมยังมีเชฟคอยปลอบ จนกระทั่งเมื่อวานที่ทุกอย่างดีและมีความสุขมากจนผมไม่ทันคิดเลยว่าวันนี้ผมจะไม่เหลืออะไรสักอย่าง ไม่เหลือแม้แต่คนที่คอยประคองให้ผมผ่านความรู้สึกแย่ๆในวันเก่า

สองอาทิตย์สุดท้ายกลายเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุด แย่จนพี่ซอกจินจับบรรยากาศแปลกๆระหว่างเราได้ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างผมกับเชฟที่ต่างคนต่างทำงาน หรือระหว่างผมกับโฮซอกที่มองหน้ากันไม่ติด แต่เพราะพวกเราต่างก็รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองอย่างดีที่สุด งานถึงผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหา

พี่จินเรียกผมเข้าไปหาที่ห้องในวันหนึ่งของอาทิตย์สุดท้ายที่ผมต้องทำงานที่นี่ แล้วคำถามที่ผมคิดว่าพี่คงสงสัยมานานก็ถูกเอ่ยถามขึ้น

“ถามจริงมีอะไรกันหรือเปล่า”

“พี่หมายถึงอะไร”

“นายกับโฮซอก”

“ไม่ถูกกันเป็นปกติ” เรื่องนี้ผมคิดว่าพี่ซอกจินก็คงดูออกบ้างว่าผมกับโฮซอกมีปัญหากันอยู่

“แล้วนายกับจองกุก”

“ต่างคนต่างอยู่”

“ทั้งที่ก่อนหน้าเหมือนจะรักกัน” ดูเหมือนคำตอบของผมจะสร้างความสงสัยให้พี่ซอกจิน ในเมื่อก่อนหน้านี้ระหว่างผมกับเชฟอะไรก็ดูจะลงตัวไปหมด

“ก็เล่นๆป่ะพี่ แค่สามเดือนที่รู้จักกันจะมีใครจริงจังกับความสัมพันธ์ในระยะเวลาสั้นๆแบบนี้” ใช่ คงไม่มีใครจริงจังกับคนที่รู้จักกันแค่สามเดือน นอกจากผมคนเดียว ผมที่อีกไม่กี่วันก็ต้องออกไปจากที่นี่ ผมที่ยังคงเฝ้ารอฟังคำพูดสุดท้ายจากปากผู้ชายคนนั้นอยู่

“ถ้านายบอกว่าไม่มีอะไรพี่ก็สบายใจ แล้วนี่จองตั๋วเครื่องบินยัง”

“จองแล้ว อีกแค่สามวันนี่ ผมขอทำงานพรุ่งนี้วันสุดท้ายนะพี่ ขอเวลาเก็บข้าวของสักวัน” ผมบอกพี่ซอกจิน โชคดีเหลือเกินที่ตัวเองเก่งพอที่จะซ่อนความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้พี่ชายเป็นห่วงได้ ผมบอกลาเขาอีกครั้งก่อนจะออกจากร้านเพื่อเรียกแท็กซี่กลับคอนโด ตั้งแต่วันนั้นที่ผมกับเชฟไม่ได้พูดกัน ผมก็เลือกจะนั่งแท็กซี่กลับคอนโดเองทุกวัน ไม่เคยตื๊อให้เขาไปส่งอีกเลย

วันสุดท้ายในการทำงานมาถึง คนที่ดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับผมยังคงเป็นโฮซอกไม่ใช่คนที่ผมเฝ้ารอให้เขาพูด ภาพผู้ชายที่พูดจาฉะฉานมาตลอดยืนอยู่ตรงหน้าผม เขาดูไม่มั่นใจหรือเย่อหยิ่งเหมือนโฮซอกที่ผมเคยรู้จัก แต่เป็นโฮซอกในแบบที่ผมชอบและดีใจเหลือเกินที่ได้เห็น

“แทฮยอง ความจริงวันนั้นฉันไม่ได้จะหมายความแบบนั้น” อยู่ดีๆโฮซอกก็พูดขึ้นมาในขณะที่เราอยู่กันสองคนที่เคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่มหน้าร้าน

“…”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าที่งานเสิร์ฟมันแย่ ฉันแค่อยากแซวเฉยๆที่นายซึ่งน่าจะรวยมาทำงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟ คือหมายถึงถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไปทำงานอย่างอื่นที่น่าจะได้เงินมากกว่านี้ นายเข้าใจใช่มั้ย ฉันไม่ได้มีเจตนาจะแขวะหรือว่าอะไร ฉันแค่ตั้งใจจะแซวเล่น”

“ที่จริง วันนั้นฉันก็อารมณ์ไม่ดีเองแหล่ะ ถึงได้ตอบไปแบบนั้น”

“แต่ยังไงก็ต้องขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี” เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินคำว่าขอโทษจากปากเขา รวมทั้งท่าทางจริงใจและรู้สึกผิดที่ปัดตะกอนขุ่นมัวระหว่างเราให้หมดไป

“ไม่เป็นไร” และทิ้งไว้เพียงความรู้สึกดีๆที่มอบให้กันผ่านรอยยิ้มของเราทั้งสองคน

 

ผมถอดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลแบบที่ใส่ประจำมาตลอดสามเดือนเก็บพับมันอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเอากระเป๋าออกจากล็อกเกอร์เมื่อเวลาปิดร้านมาถึง ทุกคนยืนรวมกันอยู่ที่หน้าร้านในขณะที่ไม่มีลูกค้าหลงเหลืออยู่แล้ว ผมตกใจนิดหน่อยเมื่อโฮซอกเดินเข้ามาสวมกอดพร้อมคำอวยพรให้ผมเดินทางปลอดภัยและโชคดีหลังจากนี้ ผมส่งยิ้มให้เขารวมไปถึงอีกคนที่ผมอยากจะยิ้มให้มากที่สุด ถึงจะยังไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากเชฟอย่างที่หวัง แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในช่วงฤดูหนาวสามเดือนมานี้

 

 OS : 3 Minutes 3 Months and 3 Years (KookV)

#วีคือคำตอบ

3 ปีต่อมา

ผมมองเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาผ่านกระจกของร้านอาหาร พื้นถนนด้านนอกกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมดจนจินตนาการได้เลยว่าอากาศภายนอกจะหนาวเย็นขนาดไหน โชคดีที่ผมอยู่ในร้านอาหารซึ่งมีเครื่องทำความร้อนอยู่ รวมทั้งเสื้อไหมพรมตัวเก่งซึ่งสวมแล้วทำให้รู้สึกอุ่นไม่หนาวเลยสักนิด

“วี ตกลงนายกินไร”เสียงเรียกจากผู้ชายที่นั่งข้างๆเรียกความสนใจจากผมกลับมาจากการนั่งมองหิมะที่ตกอยู่ด้านนอก

“รีซอตโต้เห็ดพอร์ชินี่ ส่วนเครื่องดื่มเป็นสตรอว์เบอร์รี่เลมอนเนดสินะ” ทั้งที่เขาเป็นคนเอ่ยถามเองแต่กลับตอบเองเรียบร้อย จนผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความแสนรู้ของเพื่อนสนิท

“รู้แล้วจะถามทำไมแจ็คสัน” แจ็คสันเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกัน เรารู้จักกันมาสองปีตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทสาขาการการออกแบบแฟชั่นที่อังกฤษ

“ก็นายสั่งอยู่สองเมนู ไม่รีซอตโต้เห็ดพอร์ชินี่ก็พาสต้าวองโกเล่ แล้วก็สตรอว์เบอร์รี่เลมอนเนด” วีเป็นชื่อที่เขาตั้งให้ผมเพราะไม่สามารถเรียกชื่อภาษาเกาหลีได้ และสิ่งที่เขาพูดก็เป็นสิ่งที่เห็นมาตลอดสองปีตั้งแต่รู้จักกัน

“แล้วไม่คิดว่าวันนี้ฉันจะอยากกินพาสต้า”

“เพราะนายเพิ่งสั่งมันไปเมื่อวันก่อน” หลังจากนั้นไม่นานเมนูที่เราสองคนสั่งก็มาเสิร์ฟ รสชาติของรีซอตโต้ที่นี่อร่อยสมกับราคาที่แพงหูฉี่ของร้านอาหารแถบนี้ แต่แล้วผมกลับวางช้อนลงเมื่อตักทานไปแค่ไม่กี่คำ

“แล้วไม่ว่าจะสั่งอะไรนายก็จะกินแค่นิดเดียวเท่านั้น ทำไมไม่สั่งอย่างอื่น นายสั่งแต่เมนูเดิมทั้งที่ฉันไม่เคยเห็นว่านายจะชอบเวลากินมัน” แจ็คสันพูด เขาไม่รู้หรอกว่าสองเมนูนี้เคยมีความทรงจำแบบไหนกับวี

“ก็แค่คิดถึงน่ะ แต่พอกินเข้าไปแล้วถึงรู้ว่ามันไม่ได้ให้แต่รสชาติของความสุข” มันอาจจะเป็นเมนูที่อร่อยเมื่อกินคำแรกๆ แต่พอยิ่งกินไปก็ยิ่งเลี่ยน ไม่ต่างจากความทรงจำเบื้องหลังของสองเมนูนี้ ที่เรียกความอบอุ่นเล็กๆกลับมา แต่ก็เรียกความผิดหวังและเจ็บปวดให้กลับมาด้วย

“วี ถ้ารสชาติที่ได้มันมีความทุกข์มากกว่าความสุข ก็เลิกสั่งมันแล้วหาเมนูใหม่ที่มอบรสชาติที่ดีกว่าเดิมสักที” เขาอยากให้เพื่อนตัวน้อยของเขาลืมความทรงจำครั้งเก่าแล้วสร้างความทรงจำใหม่ๆที่เต็มไปด้วยความสุขมาทดแทน

 

 

ผมกลับมายืนที่เดิมอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ถึง 3 ปีเต็ม ผมมองภาพตรงหน้าที่เต็มไปด้วยแม่กุญแจนับร้อยนับพันของคู่รักที่มาคล้องไว้ที่นัมซานทาวเวอร์ นึกถึงใครอีกคนที่เคยมาด้วยกันเมื่อวันนี้ในสามปีที่แล้ว แสงอาทิตย์ที่ส่องจ้าจนแสบตาทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เจอเขาครั้งแรก ดวงตาสีดำสนิทที่ทอประกายวิบวับเจิดจ้าทำให้ผมสนใจเขาตั้งแต่แวบแรก และเพียงแค่สามนาทีที่พบกันผมก็ตกหลุมรักเขาด้วยน้ำใจที่หยิบยื่นมาให้พร้อมสตรอว์เบอร์รี่เลมอนเนดแก้วนั้น

จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังแปลกใจกับความรู้สึกของตัวเอง ผมใช้เวลาเพียงสามนาทีในการตกหลุมรักความใจดีของเขา ใช้เวลาแค่สามเดือนที่เปลี่ยนให้เป็นความผูกพันอย่างลึกซึ้ง แต่มาตอนนี้ที่ผ่านไปถึงสามปีกลับไม่ทำให้ผมลืมความรู้สึกเก่าๆได้เลย ไม่แม้แต่จะทำให้มันลดน้อยลงด้วยซ้ำ ทุกความทรงจำที่เกี่ยวกับเขายังคงวนเวียนอยู่กับผม โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นที่นัมซานทาวเวอร์ ที่ที่เป็นดั่งจุดเริ่มต้นที่กักขังให้ผมยังคงติดอยู่ในวังวนความรู้สึกเดิมๆ

            ‘ถ้ารสชาติที่ได้มันมีความทุกข์มากกว่าความสุข ก็เลิกสั่งมันแล้วหาเมนูใหม่ที่มอบรสชาติที่ดีกว่าเดิมสักที’ 

คำพูดของแจ็คสันลอยกลับเข้ามาในความคิด เพราะแบบนี้ผมถึงเลือกจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในวันเดียวกันกับเมื่อสามปีก่อน ผมไม่ได้กลับมาเพื่อค้นหาแม่กุญแจที่เคยคล้องไว้เพราะรู้ดีว่ามันมีการปลดแม่กุญแจเก่าๆออกทุก 2-3 ปี และรู้ดีว่าเป็นตัวเองต่างหากที่ยึดติดอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ถึงได้เลือกจะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมด กลับมาเพื่อจะละทิ้งความทรงจำเก่าๆ และกลับมาเพื่อจบคำสัญญาที่เคยพูดไว้จะมาพร้อมกับใครอีกคน เพียงแต่ในวันนี้มีเพียงผมเท่านั้นที่ยืนอยู่เพียงลำพัง

 

แทฮยองสูดอากาศเย็นชื้นของฤดูหนาวเข้าปอด สามปีที่กลับไปที่อังกฤษเพื่อต่อปริญญาตรีปีสุดท้าย และปริญญาโทจนจบหลักสูตรที่ตัวเองรัก จนได้รู้จักกับแจ็คสันเพื่อนที่สนิทที่สุดซึ่งคร่ำครวญเหลือเกินตอนที่เขาบอกว่าจะเดินทางกลับเกาหลี แต่หมอนั่นก็ให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอีกไม่นานจะตีตั๋วเครื่องบินมาหาเขาให้ได้

แทฮยองมองนาฬิกาข้อมือและพบว่าอีกไม่นานใกล้จะเที่ยง ดูเหมือนมันน่าจะถึงเวลาที่เขาควรจะกลับสักทีหลังจากมายืนหยุดอยู่ที่นี่พักใหญ่ เขากลับหลังหันเพื่อเดินออกจากสถานที่คล้องกุญแจของคู่รัก แต่ก็ชนเข้ากับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังในทันที

แสงสว่างจ้าทำให้เขาแสบตาจนต้องกระพริบตาถี่ๆ จนเมื่อภาพกลับมาชัดเจนถึงรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ตาพร่าไปไม่ใช่แสงในเวลาเที่ยงวันของฤดูหนาวแต่เป็นดวงตาคู่เดิมที่ยังคงทอแสงเป็นประกายไม่เปลี่ยน แทฮยองส่งยิ้มกลับไปให้คนที่คุ้นเคย บางทีโลกก็กลมเกินไปถึงได้เหวี่ยงให้เรามาเจอกันอีกครั้งในวันเดิมและสถานที่เดิม เจอกันในตอนที่แทฮยองอยากจะละทิ้งทุกอย่าง และในวินาทีที่ได้สบตากันอีกครั้ง ความรู้สึกเดิมๆก็ย้อนกลับมาราวกับจะตอกย้ำว่าเวลาสามปีไม่ได้ลบเลือนอะไรไปเลย

“เชฟ มาทำอะไรที่นี่หรอ” ทั้งที่คำถามมีมากมาย แต่ปากของแทฮยองกลับเลือกถามคำถามนั้นออกไป คำถามที่เขากลัวคำตอบของมันมากที่สุด

“ผม..ก็มาคล้องกุญแจ” ในใจของแทฮยองเจ็บแปลบจนบอกไม่ถูก ทั้งที่รู้ดีว่ากุญแจอันเก่าถูกปลดออกไปแล้ว และถ้าจองกุกอยากจะคล้องกุญแจอันใหม่กับคนใหม่มันก็ไม่ผิดตรงไหน

“หรอ แล้วแฟนของเชฟล่ะ ไปไหน”

“ผมกำลังรอเขาอยู่ครับ” ทั้งที่สามปีที่ผ่านมาแทฮยองไม่เคยทิ้งความทรงจำเก่าๆ แต่ดูเหมือนจองกุกจะสร้างความทรงจำใหม่ขึ้นมาแล้ว คงเหลือแค่เขาที่ยังยึดติดกับอดีตไม่เปลี่ยน

“งั้นก็โชคนี้นะเชฟ ผมต้องไปแล้วล่ะ” มันไม่มีเหตุผลให้ยืนอยู่ที่นี่ต่อไป  ไม่มีความจำเป็นที่แทฮยองจะต้องยืนมองจองกุกคล้องกุญแจอันใหม่กับคนที่อีกฝ่ายเลือก

แทฮยองเบี่ยงตัวให้พ้นจากตำแหน่งที่จองกุกยืนอยู่ เขาสูดลมหายใจอีกครั้งก่อนจะเริ่มก้าวเท้าออกไป และเขารู้ดีว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกับก้าวที่แสนยากเย็นครั้งนี้

 

 

 

 

 

นิ้วมือทั้งห้าประสานเข้ากับนิ้วมือของแทฮยองที่กำลังจะเดินสวนไป จองกุกส่งสิ่งที่อยู่ในมือของเขาเข้าไปในมือของแทฮยองที่กำลังจะจากไปอีกครั้ง ไม่ต่างจากสามปีที่แล้วที่เขาไม่ได้เอ่ยปากรั้งอีกฝ่ายไว้

แทฮยองรับเอาวัตถุเย็นๆในมือตัวเองขึ้นมาดู มันเป็นแม่กุญแจสีชมพูที่มีตัวอักษรสีดำเขียนเอาไว้ แต่เป็นข้อความที่ต่างจากอันเดิมคราวที่แล้ว

 

127424665.jpg

 

“ผมมาคล้องกุญแจที่นี่ทุกปี และผมหวังว่าสักวันคนรักของผมจะกลับมาคล้องมันกับผมอีกครั้ง”

“…”

“ผมหวังว่าเขาจะให้อภัยผู้ชายโง่ๆ ผู้ชายที่แค่จะรั้งคนที่ตัวเองรักไว้ก็ยังไม่กล้า”

“…”

“ถ้าคุณเจอเขา ช่วยบอกเขาด้วยนะครับ ว่าผมจะรอเขาอยู่ที่นี่ ไม่ว่ากี่ปีผมก็จะรอ”

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้ำตาของแทฮยองไหลออกมา เขาหันไปกอดคอจองกุกเอาไว้แน่น ตั้งแต่วินาทีที่ได้เจอกันแทฮยองก็รู้ว่าความพยายามที่จะละทิ้งความทรงจำเก่าๆมันไร้ประโยชน์ แค่ได้เห็นใบหน้าคมและดวงตาที่ทอประกายสว่างจ้าแทฮยองก็รู้ว่าเขาไม่มีทางลืมผู้ชายคนนี้ลงได้ แทฮยองซบหน้าลงกับอกหนาปล่อยน้ำตาให้ไหลไม่หยุด ในขณะที่จองกุกทำแค่กอดเอวบางไว้แน่นเพราะกลัวว่าแทฮยองจะหายไปเหมือนเมื่อสามปีก่อน

 

Special Part

แทฮยองนอนซบอกคนรักอยู่บนโซฟาในคอนโดที่เขาเคยมาบ่อยๆ มือบางโอบกอดร่างหนาไว้แน่นเพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการไปเองอีกแล้ว

“เชฟ ทำไมตอนนั้นเชฟถึงไม่พูดอะไรเลย ไม่รั้งผมด้วย”

จองกุกใช้นิ้วมือของตัวเองพันปอยผมนิ่มของร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขน ริมฝีปากหนาประทับจูบลงบนหน้าผากนูน ส่งมอบสัมผัสอบอุ่นทดแทนความเจ็บปวดที่เขาเคยทำไว้

“คุณจะกลับไปเรียน การเรียนเป็นเรื่องสำคัญครับผมจะรั้งได้ยังไง”

“…”

“แล้วอีกอย่าง พอรู้ว่าคุณต้องกลับไปเรียนที่อังกฤษผมถึงรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร สิ่งที่ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือความรู้สึกของคุณ  แต่แล้วผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าที่ผมคิดว่าตัวเองรู้ มันถูกต้องหรือเปล่า” จองกุกยิ้มเยาะให้กับความโง่เง่าของเขาที่ทำให้เราสองคนต้องห่างกันไปคนละซีกโลก

“ผมดูไม่จริงจังขนาดนั้นเลย?” ทั้งที่แทฮยองคิดว่าเขาแสดงออกไปชัดเจนแล้วแท้ๆ

“เปล่าครับ เพราะผมคิดมากเอง จนคุณไปแล้วผมถึงรู้ว่าการที่เอาแต่กลัวมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผมได้แต่ภาวนาว่าขอให้ได้เจอคุณอีกครั้ง ให้ผมได้บอกความรู้สึกของผม”

แทฮยองแนบหูลงกับอกข้างซ้ายของจองกุก ฟังเสียงหัวใจที่เต้นถี่ไม่แพ้จังหวะในอกของเขา

“แล้วถ้าผมไม่กลับมาล่ะ”

“ผมรู้ว่าคุณเรียนจบแล้ว ถ้าคุณยังไม่กลับมาเร็วๆนี้ ผมก็ตั้งใจจะลาพี่จินไปตามคุณที่อังกฤษ” แทฮยองถึงกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของจองกุก จนต้องเงยหน้าไปสบแววตาทอประกายเจิดจ้าที่เขาหลงรัก

“เชฟรู้?”

“พี่จินเพิ่งเล่าเรื่องของคุณให้ฟังหลังจากคุณกลับไปแล้ว ทำเอาโฮซอกเกือบร้องไห้ตอนที่รู้ว่าตัวเองเผลอไปมีปัญหากับน้องชายเจ้าของร้าน”

“แต่เชฟรอนานเนอะ ตั้ง 3 ปีถึงคิดจะไปตามผมอ่ะ”

“ขอโทษครับที่ผมใช้เวลารวบรวมความกล้านานไปหน่อย แต่หลังจากนี้ผมสัญญาว่าจะรักษาความรักของเราให้ดีที่สุด”

แทฮยองกอดร่างของคนรักให้แน่นขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เขาก็อยากจะสานต่อความรู้สึก 3 นาที 3 เดือน และ 3 ปีของตัวเองให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ใส่ความเห็น